Thrustmaster แบรนด์นี้หลายๆคนอาจจะไม่คุ้นกัน แต่มันคือแบรนด์จากเมืองน้ำหอมชื่อดัง ประเทศ ฝรังเศส นั้นเองครับ โดยแบรนด์นี้จะค่อนข้างชื่อเสียงในการ ทำอุปกรณ์เล่นเกมสำหรับสายซิ่ง ทั้งพวงมาลัย ชุดควบคุมรถแข่ง หรือจะเป็นเครื่องบินต่างๆ แน่นอนว่าทำออกมาได้ดีมากๆเลยแหละ และในครั้งนี้ก็ได้เปิดตัวหูฟังสำหรับสายซิ่ง และได้ร่วมมือกับแบรนด์ผู้ผลิตรถยนต์จาก อิตาลี ชื่อดังคือ ม้าลำพอง Ferrari นั้นเอง เป็น Official License ครับ และได้โลโก้ที่ถอดแบบมาจากรถยนต์งาม งานคมๆและสวยมากๆ อีกทั้งหูฟังยังเด่นในเรื่องการออกแบบที่เหมือนกับหูฟังใน พิท สนามแข่งอีกด้วย ใครที่ติดตามกันอยู่น่าจะพอทราบกันดีครับ ใช้สีแดงสด Rosso Ferrari เป็นสีประจำค่ายนี้

Thrustmaster เป็นแบรนด์ที่ค่อนข้างอยู่ในวงการที่ทำอุปกรณ์เสริม สำหรับคอเกมสายเกมมิ่งรถยนต์ มาพอสมควร ทั้งพวงมาลัย แป้นคันเร่งสำหรับเล่นเกมทั้งหลากหลายและมีการจับมือกับ FERRARI มาเรื่อยๆและในครั้งนี้ก็มีหูฟังตัวเทพออกมาที่โดดเด่นด้านการออกแบบมากๆในตัว T.Racing Scuderia Ferrari Edition เสมือนเป็นทีมงานภายในพิทสนามแข่งรถแบบของจริง ด้วยหูฟังทรงเดียวกับในสนามแข่ง หูฟังเกมมิ่งแบบอะนาล็อก 2.0 เชื่อมต่อผ่านรูแจ็ค 3.5mm พลังเสียงจัดจ้านด้วยดอกลำโพงขนาด True 50mm การปรับแต่งสมบูรณ์แบบ Stable Frequency Response Curve ทำให้หูฟังรุ่นนี้มีย่านเสียงที่ครบทุกด้าน เบส กลาง และแหลม ไมโครโฟนสามารถถอดได้แบบ Unidirectional มาพร้อมกับระบบ Noise-cancelling ปรับเสียงได้ทันทีที่ลูกบิดบนตัวหูฟังและตัวควบคุมเสียงบนสายความยาวขนาด 3 เมตร และยังค่อนข้างใส่สบายด้วย ฟองน้ำรองหูพร้อมผิวเจลดูดซับความเย็น ถือว่านุ่มๆเลย

Thrustmaster T.Racing Scuderia Ferrari Edition วางจำหน่ายในราคา 3,790 บาท

UNBOX

ตัวกล่องก็ยังใช้โทนสีแดงเป็นหลักครับ เป็นกระดาษลังถือว่าเป็นการใช้วัสดุที่ดีครับและไม่เปลืองทรัพยากรมากนัก ด้านหน้ากล่องนั้นจะบอกชื่อรุ่น แบรนด์ และ รูปทรงหูฟังคร่าวๆ และบอบมุมขวาล่างว่ารองรับอะไรบ้างเช่น PC – XBOX -PS4 พวกนี้ก็รองรับทั้งหมด และในมุมขวาบนนั้นเป็นแบรนด์ Ferrari โลโก้มาเองเลย ส่วนด้านหลังนั้นจะบอกคุณสมบัติเด่นๆทั้งหมด ทั้งตัวควบคุมไมค์ หูฟัง ไดรเวอร์ ฟองน้ำ  วัสดุอะไรที่เป็นจุดเด่นของตัวหูฟังอันนี้ครับ

เมื่อแกะกล่องออกมาแล้วนั้น จะพบอุปกรณ์ที่ให้มาที่เพียงพอต่อการใช้งาน รวมถึงคู่มือก็ให้มาพร้อมกับสายแปลงต่างๆ

  • ไมค์สำหรับเสียบเข้าหูฟัง
  • จุกปิดรูสำหรับคนที่ไม่ใช้ไมค์
  • สายแปลงเสียง 1 ออก 2 สำหรับเสียบคอม
  • คู่มือ
  • หูฟัง พร้อมสายยาว 3 เมตร พร้อมตัวควบคุมไมค์บนสาย

DESIGN

ทางด้านการออกแบบนั้นเป็นอีกจุดเด่นมากๆของรุ่นนี้ เพราะเป็นการอิงหูฟังในสนามแข่งมาแบบเป๊ะๆด้วยการออกแบบหูฟังแบบใน พิท สนามแข่ง ซึ่งถ้าใครที่ติดตามการแข่งรถนั้นน่าจะทราบกันดีว่าทรงแบบนี้เลยแหละแต่ขนาดอาจจะไม่ได้ใหญ่เท่านั้นเองครับ ส่วนเรื่องของการใช้วัสดุ นั้นต้องบอกว่าพรีเมี่ยมเหมือนกัน ทั้งการใช้สแตนเลสเป็นโครงหลักและ ใช้วัสดุหนังรวมถึง สีแดงสดที่ทำออกมาสวยมากๆ และผิวสัมผัสดีเลยแหละ รวมถึงโลโก้ Ferrari นั้นเป็นอีกวัสดุนึงที่งานนั้นคมชัดและสวยมากๆครับน่าจะเป็นจุดเด่นที่สุดของหูฟังนี้ และ ตัวไมค์นั้นก็ออกแบบได้เข้ากันมากๆ

ด้านซ้ายและด้านขวา การออกแบบรวมๆนั้นเหมือนกันทั้งหมด มีโลโก้มาให้ทั้ง 2 ข้างและ ข้างขวาในภาพบนนั้นจะเป็นเรียบๆไม่มีตัวควบคุมอะไรครับ และเห็นแกนสแตนเลสที่เป็นการออกแบบที่ค่อนข้างสวยเลยแหละ ส่วนในด้านซ้ายนั้นเป็นส่วนควบคุมเสียง และที่อยู่ในการเสียบไมค์ครับ รูปทรงหูฟังมาในทรงที่ครอบหูได้พอดีและมีขนาดกำลังดี

ตัวปุ่มควบคุมเสียงนั้นสามารถปรับได้ที่ตัวหูฟังด้านซ้ายสามารถปรับเสียงให้เพิ่มและลดเสียงได้ ในตัวเองและเมื่อหมุนสุดนั้นจะเป็นการปิดเสียงครับ ส่วนการปรับความยาวของขาหูฟังนั้นสามารถหมุนตรงเม็ดมะยมและปรับได้อิสระไม่มีตัวล็อคเป็นจังหวะอะไรนะครับ ก้านที่ปรับนั้นก็เป็นวัสดุ สแตนเลนทั้งชิ้นให้ความยืดหยุ่นในการกางออกได้ดี

วัสดุด้านขอบบนนั้นแบบ Memory Foam ที่รองรับกับหัวของเราเป็นหนังที่มีความนุ่มและนิ่มมากๆกดและรู้สึกเลยว่ามีความหนาของตัวฟองน้ำที่ทำออกมาได้ดี และเลือกใช้วัสดุหนังได้นิ่มดีมากๆครับ ส่วนด้านบนก็มีการเล่นลวดลายเป็นหนังเหมือนกัน แต่จะบางกว่าครับเพราะส่วนด้านบนนั้นไม่ได้รองรับกับตัวหัวของเราเลยอาจจะไม่จำเป็นต้องทำให้หนาเท่าด้านใน

ปุ่มควบคุมด้านขอบล่างนั้นดูโล่งๆ ไม่มีอะไรครับสำหรับตัวนี้ เพราะมีปรับที่ด้านข้างและตรงสายทั้งหมด ซึ่งจะแตกต่างจากหูฟังในรุ่นอื่นๆนั้นเอง และเมื่อมองจากด้านล่างนั้นจะเห็นความหนาของตัวฟองน้ำที่หนามากๆเลยแหละ และใส่สบายเอาเรื่องครับ ส่วนตรงโลโก้ของ Ferrari นั้นเป็นชิ้นงานคุณภาพจริงๆทำออกมามีมิติและคมชัดทุกรายละเอียดเหมือนกับดึงจากบน Super Car เอามาใส่เลยครับเป็นจุดที่สวยมากๆและสำหรับสาวกต้องไม่พลาดเลยแหละ

ตัวควบคุมไมค์ ทั้งเรื่องของการปรับเสียงและเปิด ปิดไมค์นั้นสามารถปรับได้ที่ตัวสายครับ จะไม่เหมือนยี่ห้ออื่นๆที่มันปรับที่ตัวหูฟังนั้นเอง แน่นอนว่าตัวสายก็มีความยาวพอสมควรใช้งานได้ไม่ยุ่งยากครับแต่บางคนอาจจะชินการปรับที่ตัวหูฟังมากกว่าบนสาย ส่วนไมค์ตัวนี้สามารถถอดเก็บได้ ถ้าไม่ใช้และรวมถึงสามารถหมุนได้ค่อนข้างอิสระในการใช้งาน มีระบบตัดเสียงรวมถึงการออกแบบที่ยังคงอิงกับหูฟังตามสนามแข่งอยู่เหมือนกันครับ

ตัวที่รองหูนั้นเป็นวัสดุผ้า ผสมกับหนังในด้านข้างครับจะเริ่มเห็นหลายๆยี่ห้อเริ่มใช้วัสดุแบบนี้รวมถึงการใช้เจลเย็นข้างในทำให้ไม่สะสมความร้อนและไม่ร้อนเวลาใช้งานนานๆครับทำให้ใส่สบายมากขึ้นเยอะ วัสดุฟองน้ำนั้นนุ่มและหนามากๆในการใช้งาน ถือว่าทำได้ดีมากครับ ใส่เล่นนานๆได้ไม่ร้อนและไม่ปวดหูอีกด้วย แต่ถ้าเล่นห้องไม่ปิดแอร์อาจจะร้อนเป็นเรื่องปกติครับ แต่ใส่สบายๆจริงๆ ฟองน้ำครอบคลุมได้ทั้งใบหูและไม่กดทับใบหูด้านใน ถือว่าออกแบบได้ลงตัวเลยครับ

SPEC

  • True 50mm/2” analytic drivers provide crystal-clear audio without any saturation
  •  Provides audio feedback designed exactly as game developers intended, thanks to the stable frequency response curve that has been optimized for gaming sessions, with perfect balance between bass, mids and treble
  •  116±3dBSPL output for elite distortion control (≤1%) and precision
  •  รองรับการใช้งานทุกแพลตฟอร์ม PlayStation 4, Xbox One, Nintendo Switch, PC and Mac
  • เชื่อมต่อผ่านรูแจ็ค 3.5mm
  • ไมโครโฟนสามารถถอดได้แบบ Unidirectional มาพร้อมกับระบบ Noise-cancelling
  • สายความยาวขนาด 3 เมตร
  • ฟองน้ำรองหูพร้อมผิวเจลดูดซับความเย็น
  • The official Ferrari license
  • วางจำหน่ายในราคา 3,790 บาท

SOUND 

ในเรื่องของเสียงตัวหูฟังในรุ่นนี้มาพร้อมกับเสียงที่ค่อนข้างดี หนักแน่น และนุ่มครับเสียงแหลมไม่ได้จัดมากนัก เสียงตัวนี้ขับออกมาผ่านทาง ไดรเวอร์เสียงขนาด 50mm/2” ซึ่งมีขนาดใหญ่พอสมควรเลย ส่วนเสียงนั้นรองรับสูงสุดที่ 116±3dBSPL เรื่องเสียงนั้นไม่ต้องห่วง เพราะว่ารองรับได้สบายๆและยิ่งมีตัวขับแรงๆตัวหูฟังก็รองรับได้สบายครับ จากที่ลองถ้าเครื่องไหนมีซาวด์การ์ดเทพๆนั้นจะทำให้เสียงเบสนั้นมาแน่นมากๆ และกำลังขับสะใจมากๆ แต่ถ้าเสียบกับมือถือ หรือ คอมพิวเตอร์ทั่วไปอาจจะไม่ได้รูสึกถึงความแน่นของมันเท่าไรและเบสอาจจะไม่แน่น ส่วนเรื่องเสียงร้องชัดเจนครับแต่ไมได้เด่นอะไรมาก เสียงแหลมมาแบบกำลังดีไม่จัดและไม่แสบหู ในการเล่นเกมนั้นตัวนี้รองรับเสียงได้ดีแม้จะไม่มีระบบเสียง 7.1 ก็ตาม แต่ก็เสียงได้ทิศทางซ้ายขวาชัดเจน รวมถึงเสียงเท้า และระเบิดพวกนี้ก็เก็บรายละเอียดได้ดีเลยแหละ เล่นเกมมันเหมาะมากๆ และพวกเกมแข่งรถอะไรก็ทำได้ดี เสียงเครื่องยนต์ชัดเจนและแน่นมากๆครับ แต่จะมีบางเครื่องที่อาจจะขับพลังเสียงยากถ้าคอมพิวเตอร์เครื่องนั้นไม่มีตัวขับแรงๆ

ส่วนเรื่องของเสียงไมค์นั้นตัวนี้รองรับการตัดเสียงรบกวนได้ด้วยจากที่ลองใช้งานเสียงตัดเสียงได้ดีครับ ฟังเสียงคนได้ชัดเจน เพื่อนๆในเกมนั้นก็ได้ยินชัดเจน รวมถึงสามารถปรับความดังต่างๆได้ผ่านตัวปรับตรงสาย เสียงที่ออกมาจากไมค์อาจจะไม่ได้นุ่มอะไรมากนัก เสียงจะแบนๆนิดนึงแต่จะได้ยินคนพูดชัดครับ เป็นคุณภาพเสียงปกติเวลาใช้ไมค์หูฟัง แต่ที่ชอบคือมันตัดเสียงรบกวนได้ดีเหมือนกันนะ เวลาใช้งานเสียงลมอะไรพวกนี้จะไมค่อยเข้ามาในตัวไมค์ด้วยครับ เพราะประเด็นหลักๆของหน้าที่ไมค์คือการที่ได้ยินชัด สื่อสารชัดเจน ไม่ได้เอามาร้องเพลงจึงไม่ต้องห่วงเรื่องความนุ่มอะไรมากครับ จะไม่เหมือนไมค์ คอนเดนเซอร์ที่เอามาร้องเพลงแน่นอนว่าเทียบกันไม่ได้ครับ โดยรวมนั้นใช้ได้เลยแหละ

FEELING 

การใส่สบายและความรู้สึกในการใช้งานรุ่นนี้ต้องบอกว่าเป็นหูฟังไม่กี่ตัวที่ใส่แล้วรู้สึกสบายแบบสบายจริงๆ เพราะมันไม่บีบไม่รัดหรือไม่กดหัวเลยครับ แน่นอนว่าหลายๆรุ่นก่อนหน้านี้ที่รีวิวไปมันจะมี ฟองน้ำบางไป ความลึกตื้นไป ทำให้ชนกับใบหู หรือ บีบส่วนหูมากเกินไป อีกทั้งยังเจอแบบกดด้านบนมากเกินไปครับ แต่ใน Thrustmaster ตัวนี้ต้องบอกเลยว่าทำออกมาได้สบายเกินคาดมากๆด้วยการออกแบบที่ทำได้ดี ทำให้มันใส่สบายได้แบบไม่น่าเชื่อคือรองรับใบหูได้ดี และส่วนด้านบนก็นิ่มและไม่กดเกินไป เป็นไม่กี่ตัวที่ออกมาได้ดีและรองรับได้หลายๆรูปทรงของศรีษะของเรา ความนุ่มนิ่มของตัวฟองน้ำและหนังที่เอามาใช้เลือกมาได้ดีมากๆใช้งานได้สบาย และนุ่มรวมถึงสัมผัสของผิวทำได้ดี

ตัวฟองน้ำส่วนหูนั้นเป็นแบบเย็นทำให้ใส่นานๆไม่ร้อนและสบายครับ ซึ่งแน่นอนว่าพวกสายเกมจะเจอกันหลายๆคนกับปัญหา ที่เล่นเกมนานๆแล้วเหงื่อจะออกและทำให้ร้อนบริเวณใบหู ตัวฟองน้ำและวัสดุตรงนี้จึงเป็นผ้าและหนังผสมกัน ทำให้ตรงที่สัมผัสใบหูนั้นเป็นผ้าจะช่วยในเรื่องนี้ได้เยอะมาก และอีกจุดเด่นคือความหนาลึกของตัวฟองน้ำที่ทำออกมาได้ลึกมาครอบหูได้ทั้งหมด โดยที่ไม่ไปชนใบหูของเรา ซึ่งในบางยี่ห้อจะเจอปัญหานี้เพราะความตื้นของตัวฟองน้ำที่น้อยเกินไปด้วยครับ ส่วนปุ่มและไมค์ทั้งหลายนั้นก็ออกแบบมาได้พอดีกับการใช้งานรวมถึงสามารถปรับได้ ตัวปุ่มปรับได้ง่ายเช่นกันแต่แอบเสียดายว่าตรงไมค์นั้น ต้องปรับที่สายและอาจจะลำบากหรือไม่ถนัดเท่าไรสำหรับบางท่าน หรือปุ่มสำหรับปรับ Muted นั้นแบบเร่งด่วนนั้นน่าจะมีให้ตรงหูฟังหรือกดได้ง่ายๆนั้นเอง จุดนี้ที่อยากให้มีเสริมเข้ามาครับ

Thrustmaster T.Racing Scuderia Ferrari Edition

” การออกแบบที่โดดเด่น และ พรีเมี่ยม ใช้งานใส่สบายกว่าที่คิด “

เป็นหูฟังที่โดดเด่นสุดๆเลย คือสีแดงสดของตัวบอดี้และโลโก้ รถยนต์ระดับโลกจากอิตาลี ทำให้มันแตกต่างและสวยมากๆ และนอกเหนือจากดีไซน์ การสวมใส่ของมันก็ทำได้ดีมากใส่บาย ไม่บีบหัว ไม่กด และ ไมปวดหูเลยแม้จะใส่นานๆ รักษาความเย็นได้ดีในการใส่นานๆไม่ร้อนและเหงื่อไม่เยอะเพราะการใช้วัสดุและเจลแบบเย็นครับ ตัวเสียงที่ได้นั้นเสียงเบส แหลมมากำลังดีนุ่มและลึก เสียงแหลมไม่จัดไม่แสบหู แต่ขับอาจจะยากไปหน่อยต้องมีซาวด์การ์ดดีๆซักตัวครับ ส่วนเรื่องฟีเจอร์นั้นไม่ได้เยอะแยะหรือหวือหวาแบบรุ่นอื่นๆแบรนด์อื่นๆ เพราะมันเป็นหูฟังแบบ 2.0 ปกติเลยแต่เน้นเรื่องดีไซน์ คุณภาพเสียง และ ความแข็งแรงเป็นหลัก เป็นหูฟังที่ใช้งานดี และเสียงดี เป็นอีกตัวเลือกที่น่าสนใจครับ

ข้อดี

  • งานออกแบบค่อนข้างเป็นเอกลักษณ์และแตกต่าง
  • วัสดุการประกอบ พรีเมี่ยมมาก
  • ฟองน้ำทั้งด้านบนและครอบหู นุ่ม ใส่สบาย และ ไม่ร้อน
  • EarCup รองรับได้ดีครอบเต็มหูและไม่กดทับใบหู
  • ระบบเสียง ไมค์ตัดเสียงรบกวนได้ดี
  • รายละเอียดเสียงดี เวทีกว้าง
  • Ferrari Official Lisence
  • ราคาทำได้ดี เทียบกับสิ่งที่ได้

ข้อสังเกต

  • ไม่รองรับระบบเสียง 7.1
  • เบสจะแน่นขึ้นถ้ามีซาวด์การ์ดช่วยขับ
  • ไม่สามารถถอดสายเสียงได้

สำหรับรีวิวนี้ผมก็ต้องขอตัวลาไปก่อนสำหรับรุ่นอื่นๆก็ติดตามกันได้เลย ถูกใจฝากกดไลค์กดแชร์ด้วยนะครับ  มีข้อผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ  เพื่อนๆสนใจอยากให้พวกผมรีวิวรุ่นไหนสามารถ Inbox มาบอกเราได้เลยนะ
ฝากไลค์เพจ FACEBOOK เราด้วยนะครับ >>>>>>>>>  TECHHANGOUT

เข้าร่วมกลุ่ม TECHHANGOUT พูดคุยแลกเปลี่ยน ข้อมูล คุยกันเองชิลๆได้เลยที่ — Facebook  Techhangout พูดคุย Smartphone gadget 

Review by Nineztr