สหภาพยุโรป (EU) เตรียมออกกฏในการกำกับดูแลโลกออนไลน์แบบเข้มงวดขึ้น โดยเมื่อสุดสัปดาห์ทาง EU ได้ลงมติเกี่ยวกับพรบ.การให้บริการดิจิทัล (Digital Services Act หรือ DSA) แล้ว ซึ่งจะกำหนดให้บริษัทเทคโนโลยีมีความรับผิดชอบต่อคอนเทนต์ที่ปรากฏอยู่ในแพลตฟอร์มของตัวเองมากขึ้น

โดยพรบ.ดังกล่าวกำหนดให้บริษัทต้องทำการลบเนื้อหาที่ผิดกฎหมายออกไปจากแพลตฟอร์มให้รวดเร็วมากขึ้น พร้อมทั้งอธิบายแก่ผู้ใช้งานและผู้วิจัยถึงวิธีการทำงานของอัลกอริทึ่มที่ใช้ในแพลตฟอร์มของตัวเอง และมีมาตรการที่เข้มงวดในการจัดการกับข้อมูลที่เป็นเท็จ ซึ่งหากว่าบริษัทไม่ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่กำหนดอาจถูกปรับมูลค่าสูงสุดถึง 6% ของผลประกอบการประจำปีของบริษัท

ประธานของคณะกรรมาธิการยุโรประบุว่า พรบ. DSA จะทำให้หลักการที่ว่าสิ่งที่ผิดกฎหมายในโลกออนไลน์ต้องผิดกฎหมายในโลกออนไลน์ด้วยเป็นจริงได้ และยิ่งขนาดแพลตฟอร์มใหญ่เท่าใหญ่ยิ่งต้องมีความรับผิดชอบบนแพลตฟอร์มของตัวเองมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม DSA เป็นคนละฉบับกับพรบ.การตลาดดิจิทัล (Digital Markets Act หรือ DMA) ที่ผ่านมติไปเมื่อเดือนที่แล้ว โดยแม้ว่าทั้งสองอย่างจะบังคับใช้ในโลกออนไลน์เหมือนกันแต่ DMA บังคับใช้ระหว่างหน่วยงานระดับธุรกิจ แต่ DSA นั้นกำหนดให้บริษัทเทคฯต้องกำกับดูแลคอนเทนต์บนแพลตฟอร์มของตัวเอง

ทั้งนี้แม้ว่า DSA จะถูกบังคบใช้กับพลเมืองของสหภาพยุโรปเท่านั้น แต่ผลกระทบขอบพรบ.ดังกล่าวอาจส่งผลเป็นวงกว้างได้ เนื่องจากบริษัทเทคฯข้ามชาติอาจเล็งเห็นว่าการบังคับใช้มาตรการกำกับดูแลคอนเทนต์บนแพลตฟอร์มตามกฎของสหภาพยุโรปแบบเดียวกันทั่วโลกอาจประหยัดค่าใช้จ่ายมากกว่า

อย่างไรก็ดีเอกสารฉบับล่าสุดเกี่ยวกับ DSA นั้นยังไม่ถูกเผยออกมา แต่คณะกรรมาธิการยุโรป และรัฐสภายุโรป ได้ออกมาเผยข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับข้อบังคับดังกล่าวแล้วคือ

  • การโฆษณาโดยมุ่งเป้าไปยังคนกลุ่มน้อย หรือโฆษณาไปยังกลุ่มคนโดยใช้ ศาสนา, เพศวิถี, เชื้อชาติเป็นเกณฑ์จะถูกแบน
  • “Dark patterns” หรือการออกแบบ UI ที่ชี้นำผู้ใช้งานให้เลือกทางเลือกที่ผู้ออกแบบต้องการนั้นจะถูกแบน โดยทาง EU กล่าว่าตามกฎแล้ว การยกเลิกการ subscription ควรจะเป็นเรื่องที่ง่ายเท่า ๆ กับการสมัคร subscription
  • แพลตฟอร์มออนไลน์ขนาดใหญ่อย่าง Facebook จะต้องทำให้อัลกอริทึ่มในการแสดงเนื้อหาต่าง ๆ มีความโปร่งใสต่อผู้ใช้งาน ผู้ใช้งานไม่ควรจะเห็นเนื้อหาโดยอิงจากโปรไฟล์ของตนเอง โดยในกรณีนี้อาจหมายถึงการเปลี่ยนไปแสดงผลเนื้อหาตามเวลาที่อัพโหลด (chronological feed)
  • ผู้ให้บริการ Hosting และแพลตฟอร์มจำเป็นต้องอธิบายถึงสาเหตุของการนำเนื้อหาผิดกฎหมายออกไปจากแพลตฟอร์มให้แก่ผู้ใช้งาน พร้อมทั้งเปิดโอกาสให้ผู้ใช้งานสามารถอุทรณ์การตัดสินใจดังกล่าวของแพลตฟอร์มได้ ทั้งนี้ DSA ไม่ได้ให้คำนิยามของเนื้อหาผิดกฎหมาย กรณีนี้จึงอาจมีรายละเอียดแตกต่างกันในแต่ละประเทศ
  • แพลตฟอร์มออนไลน์ขนาดใหญ่มาก ๆ จำเป็นต้องให้ข้อมูลที่สำคัญแก่ผู้วิจัย เพื่อให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับความเสี่ยงในโลกออนไลน์
  • ตลาดออนไลน์ต้องเก็บข้อมูลพื้นฐานของผู้ซื้อ-ขายสินค้าหรือบริการบนแพลตฟอร์ม เพื่อการติดตามบุคคลที่ค้าขายสินค้าหรือบริการที่ผิดกฎหมาย
  • แพลตฟอร์มออนไลน์ขนาดใหญ่ต้องกำหนดกลยุทธ์ในการจัดการกับข้อมูลที่เป็นเท็จโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาวิกฤต (กฎข้อนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากเหตุการณ์ความขัดแย้งรัสเซีย-ยูเครน)

อย่างไรก็ตาม DSA จะมีเกณฑ์ที่แตกต่างกันในการปรับใช้กับบริษัทเทคฯขนาดต่าง ๆ โดยจะมีข้อบังคับที่เข้มข้นกว่าสำหรับบริษัทขนาดใหญ่ โดยบริษัทขนาดใหญ่ที่สุดที่มีผู้ใช้งานในสหภาพยุโรปมากกว่า 45 ล้านคนอย่าง Meta หรือ Google จะถูกตรวจสอบมากที่สุด จึงส่งผลให้บริษัทเหล่านั้นออกมเรียกร้องให้ทบทวนข้อกำหนดเหล่านั้นใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อที่เกี่ยวกับการโฆษณาแบบเจาะกลุ่มเป้าหมายและการให้ข้อมูลแก่ผู้วิจัยภายนอก

แม้ว่าหลักการของ DSA จะผ่านมติจากรัฐสมาชิกของสหภาพยุโรปแล้ว แต่เรื่องของเอกสารกฎหมายอย่างเป็นทางการจำเป็นต้องมีการผลิตในขั้นตอนสุดท้ายและมีการโหวตเพื่อออกเป็นกฎหมายอีกครึ่งหนึ่ง โดยกฎเกณฑ์ที่กล่าวไปข้างต้นจะถูกบังคับใช้แก่บริษัทเทคฯในเวลา 15 เดือนหลังจากที่กฎหมายผ่านมติแล้ว หรือตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2024 เป็นต้นไปนั่นเอง

SOURCE