2.8″ ในช่วงนึงมันเคยเป็นดั่งสมาร์ทโฟนจอที่มีขนาดใหญ่มาก่อน ในความละเอียด QVGA (320 x 240) 143PPI ที่ให้คุณภาพที่ดีและมีอายุที่ยาวนานกว่า 10 ปี
ระยะเวลาได้ล่วงเลยผ่านไป จนถึงช่วงปี 2006 ที่ Nokia ได้เปิดตัว Nokia N95 ที่มีหน้าจอขนาด 2.6″ แต่มีความละเอียดของหน้าจอในระดับ QVGA ทำให้มีความหนาแน่นของหน้าจออยู่ที่ 171PPIi จึงทำให้ภาพออกมาคมชัดกว่าจอขนาด 2.8″ QVGA และกลายเป็นสมาร์ทโฟนยอดฮิตกันไปในช่วงนั้นเลยก็ว่าได้.
และหลังจากนั้น….. ปี 2007 จุดเริ่มต้นของการวิวัฒนาการเรื่องของหน้าจอที่ใหญ่ขึ้น และมีความคมชัดเต็มตามากขึ้น. จากการเปิดตัวของ iPhone รุ่นแรกที่มีหน้าจอขนาดใหญ่ถึง 3.5″ HVGA 320 x 480 ที่ทำให้ตลาดหน้าจอใหญ่มีคนสนใจมากขึ้น – ช่วงเดียวกันนั้น Nokia ได้มี E90 และ N800 WVGA(480 x 800)สมาร์ทโฟนจอใหญ่ที่มีความละเอียดมากกว่า
และแล้วหน้าจอสัมผัสนั้นได้มีการเติมโตมากยิ่งขึ้นและคนเริ่มหันมาใช้กันแพร่หลายมากขึ้น จนมาถึงปี 2010, การเปิดตัว iPhone 4 Retina Display (640 x 960) 330PPI สุดยอดจอที่มีความคมชัดมากที่สุดในยุคนั้นเลยก็ว่าได้ ในขณะที่คู่แข่งใช้หน้าจอที่มีคุณภาพต่ำกว่าอย่าง Samsung Galaxy ทีมีหน้าจอขนาด 4″ แต่มีความละเอียดที่ WVGA(480 x 800) รวมถึง HTC Desire ที่ใช้หน้าจอขนาด 3.7″ WVGA เช่นเดียวกัน.
และนี่เองที่เป็นจุดเริ่มต้นอย่างรจริงจังที่ทำให้แต่ละค่ายเริ่มหันมาสนใจเรื่องความละเอียดหน้าจอมากขึ้น.
ในช่วงปี 2011, เราจะเห็นได้ว่า เริ่มมีบางค่ายหันมาใช้จอขนาด qHD(540 x 960) 256PPI ใน HTC Sensation ในขณะที่บางค่ายยังคงเลือกใช้ จอ WVGA 217 PPI ใน Samsung Galaxy S2
และในช่วงเดียวกันนี่เองก็ได้มีสมาร์ทโฟนจอใหญ่แห่งยุคเกิดขึ้นมา โดยมีชื่อเรียกอันเป็นที่กล่าวขานว่า “Note” นั่นก็คือ Galaxy Note ที่มีขนาด 5.3″ ความละเอียดWXGA (1280 x 800) 285 PPI ที่มาบุกเบิกตลาด Phablet โดยมาพร้อมปากกาอันทรงพลัง และกลายเป็นเทรนด์ยอดฮิตจนถึงปัจจุบันนี้
หลังจากนั้นมาเรื่อยๆ ที่สมาร์ทโฟนแต่ละค่ายนั้นเริ่มมาใช้จอใหญ่มากขึ้นและมีความละเอียดมากขึ้น ซึ่งกลายเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้คนเริ่มมาสนใจและให้ความสำคัญกลับ สมาร์ทโฟนแอนดรอยด์กันครั้งใหญ่ เพราะมีหน้าจอที่ใหญ่กว่าและราคาเป็นมิตรภาพมากกว่า แต่ต้องแรกมาด้วยการจัดสรรทรัพยากรที่แย่กว่าระบบปฏิบัติการค่ายอื่นๆ.
ในปี 2012, ยุคแห่งสมาร์ทโฟน 720P ที่หน้าจอใหญ่กว่า 4.3″ กันทุกค่าย…. ยกเว้น Apple iPhone ที่เปิดตัวมากลับ iPhone 5 ที่มาพร้อมหน้าจอ 4″ Retina Display เช่นเดิม
และในเวลาเดียวกันนั้นเองก็ได้ถือกำเนิดของ สมาร์ทโฟนหน้าจอ FullHD ที่มีความละเอียดของหน้าจอมากที่สุดและเป็นที่นิยมมากที่สุดในปัจจุบันนี้ โดยสมาร์ทโฟนรุ่นแรกที่นำมาใช้นั่นก็คือ HTC Butterfly หรือ HTC Droid DNA ที่มีหน้าจอขนาด 5″ FullHD 441PPI
ปี 2013 สมาร์ทโฟน้องใหม่แบรนด์จีน นั้นได้มีการเปิดตัวสมาร์ทโฟนที่มาพร้อมกับหน้าจอความละเอียด 2K เป็นรายแรกของโลก นั่นก็คือ Vivo Xplay 3S จนหน้าจอความละเอียด 2K กลายเป็นมิติใหม่ของสมาร์ทโฟนเรือธงในปัจจุบันนี้ไปแล้ว.
จนมาถึงปี 2014, Apple เองได้มีการขยับขนาดหน้าจอมาเป็น 4.7′ และ 5.5″ เพื่อให้เข้ากับสมัยนิยมมากขึ้น และเป็นจุดเปลี่ยนอีกครั้งนึงที่สามารถดึงฝั่งคนกลับมาใช้งานกันมากขึ้นอีกครั้ง.
ปี 2015, ในช่วงที่แต่ละสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์ต่างขับเคลื่อนกันด้วย หน้าจอ 2K กันอย่างเมามัน….. ได้มีการกำเนิดใหม่อีกครั้งของหน้าจอที่มีความละเอียดที่มากกว่า นั่นก็คือ หน้าจอ 4K ที่จนถึงปัจจุบันนี้ก็ยังมีผู้ใช้งานเพียงแค่ Sony รายเดียว โดยรุ่นแรกที่มีจอ 4K นั่นก็คือ Sony Xperia Z5 Premium ที่มาพร้อมกับหน้าจอขนาด 5.5″ ความละเอียด 4K 806PPI ถือว่าเป็นหน้าจอที่มีความละเอียดมากที่สุดในโลกของสมาร์ทโฟนตั้งแต่ปี 2015 จนถึงปี 2017 นี้.
รวมถึงการมาของหน้าจอรูปแบบใหม่ ที่เรียกตัวเองว่าจอโค้ง ที่ทำให้การจับถือสมาร์ทโฟนมีความง่ายมากขึ้นแต่ก็ต้องแรกมาด้วย ขอบจอที่หนาขึ้น จอที่เสี่ยงต่อการแตกง่ายและ ความไม่ชินของมือคน
ปี 2016, เมื่อสมาร์ทโฟนมีความต้องการจอที่ใหญ่ขึ้น และต้องแรกมาด้วยขนาดของเครื่องที่ใหญ่ขึ้นไปอีก จึงเป็นอะไรที่ลำบากสำหรับการถือสมาร์ทโฟนไว้ในมือ จึงมีผู้เล่นบางค่ายที่เริ่มนำแนวคิดจอไร้ขอบจากญี่ปุ่นมาใช้ และกลายเป็นต้นแบบของสมาร์ทโฟนจ้าวตลาดในทุกๆวันนี้ นั่นก็คือ Xiaomi Mi Mix สมาร์ทโฟนรุ่นแรกที่มาพร้อมกับจอไร้ขอบในขนาด 6.4″ กับตัตราส่วน 17:9 ความละเอียด FullHD ที่มีขนาดเครื่องเท่ากับ iPhone 6Plus ที่มีหน้าจอแค่ 5.5″
ปัจจุบัน 2017, จากการมาของมือถือไร้ขอบของทาง Xiaomi ทำให้แบรนด์ยักษ์ใหญ่หลายค่ายเริ่มเล็งเห็นแนวทางในการออกแบบสมาร์ทโฟนของตนให้ออกมาเล็กลงและกระทัดรัดมากขึ้น.
เริ่มจาก LG ที่คิดค้นจอรูปแบบ 18:9 ที่เรียกเทคโนโลยีนี้ว่า Full Vision นำมาใช้ในสมาร์ทโฟนทางค่ายเครื่องแรกอย่าง LG G6 ที่ทำให้ขอบ บน-ล่าง ซ้าย-ขวา มีความบางลงมา และขอบจอที่มีความโค้งเข้ากับดีไซน์เครื่องแบบพอดี.
และเวลาผ่านไปไม่กี่เดือนทางค่ายผู้นำตลาดอย่าง Samsung ได้คิดค้นเทคโนโลยีหน้าจอที่มีชื่อว่า infinity Display ที่มาพร้อมกับหน้าจอที่มีขอบโค้งเช่นเดิมและมีความโค้งของจอที่เข้ากับรูปลักษณ์เครื่อง.
เรามาดูการเติบโตของหน้าจอในแต่ละปีกันดีกว่าว่ามีการเปลี่ยนแปลงมากน้อยขนาดไหน
ซึ่งดูจากกราฟแล้วทำให้รู้ว่า ขนาดหน้าจอในตลาดเริ่มที่จะคงที่มาสักระยะกันแล้ว และความละเอียดหน้าจอหล่ะ ? ยังจะมีการเติบโตขึ้นกันไปอีกมั้ย ? และตลาดปี 2018 จะมีทิศทางของหน้าจอเป็นไปในรูปแบบไหน ? และหน้าจออัตราส่วนแบบใหม่จะกินตลาดได้จริงหรือไม่ ? ต้องมาคอยดูกันต่อไป
Written icrEAm
Source GSMARENA