Apple ถูกสหภาพยุโรป (EU) ตัดสินว่าการตัดคู่แข่งออกจากระบบการจ่ายเงิน Apple Pay นั้นเข้าข่ายผูกขาด โดยทาง EU ได้ส่งเอกสารอย่างเป็นทางการ (Statement of Objections) ที่ระบุว่า Apple ได้ใช้ข้อได้เปรียบจากการเป็นผู้เล่นรายใหญ่ในระบบการจ่ายเงินบน iOS ไปในทางที่มิชอบ

สาเหตุของการตัดสินของคณะกรรมการภายใน EU มาจากการที่ Apple ไม่ให้ผู้พัฒนาแอพกระเป๋าเงินต่าง ๆ ในการเข้าถึงฮาร์ดแวร์และซอร์ฟแวร์ของระบบ NFC ภายในอุปกรณ์ของตนเพื่อสร้างข้อได้เปรียบให้แก่ระบบการจ่ายเงินของตัวเอง โดยในเอกสารข้างต้นระบุว่า Apple ต้องอนุญาตให้ผู้ให้พัฒนาแอพกระเป๋าเงินที่เป็น third-party สามารถเข้าถึงระบบ NFC ได้ เพื่อพัฒนาระบบสำหรับจ่ายเงินตามร้านค้าต่าง ๆ

ทาง EU ได้เสริมว่าพฤติกรรมการกีดกันคู่แข่งของ Apple เช่นนี้ส่งผลให้เกิดนวัตกรรมน้อยลง รวมทั้งทำให้ผู้บริโภคมีตัวเลือกในการใช้งานน้อยลงด้วย

อย่างไรก็ในกรณีนี้เป็นเพียงขั้นตอนแรกๆ (preliminary ruling) ของการดำเนินการตามมาตรการป้องกันการผูกขาดต่อ Apple ซึ่งทางบริษัทยังมีโอกาสที่จะแก้ไขระบบของตัวเองตามมาตรการที่ทาง EU กำหนดได้

ถึงกระนั้นนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ Apple ถูก EU ดำเนินมาตรการป้องกันการผูกขาด เพราะในปีที่แล้ว Apple ก็ถูก EU กล่าวหาว่าผูกขาดแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งเพลง หลังจากที่ถูกร้องเรียนโดย Spotify

โดยหาก EU ต้องการจะลงโทษ Apple จริง ๆ จะสามารถสั่งปรับ Apple ได้ 10% ของรายได้ทั่วโลกในปีหนึ่งของ Apple ด้วยมูลค่าถึง 3.6 พันล้าน$ (ประมาณ1.23แสนล้านบาท) รวมทั้งบังคับให้ทางบริษัทเปลี่ยนวิธีการดำเนินธุรกิจได้ อย่างไรก็ดีในความเป็นจริงมูลค่าในการปรับจริงจะน้อยกว่านั้นเนื่องจากจะมีการอุทรณ์เกิดขึ้น

ถึงกระนั้น Apple ก็ออกมาต่อต้านมาตรการหลาย ๆ อย่างที่ถูกกำหนดโดย EU โดยเฉพาะอย่างยิ่งมาตรการที่ลดความสามารถของ Apple ในการควบคุม App Store ซึ่งเป็นหนึ่งในแหล่งรายได้หลักของทางบริษัท

SOURCE