เว็บไซต์ Reuters เผยว่าคริปโทเคอเรนซี่ที่ทางเกาหลีเหนือขโมยมาได้จากการแฮ็คถึง 49 ครั้งตั้งแต่ปี 2017 จนถึง 2021 มีมูลค่าลดลงจาก 170 ล้าน$ (ประมาณ6พันล้านบาท) เหลือเพียง 65 ล้าน$ (ประมาณ2.3พันล้านบาท) ตั้งแต่ช่วงต้นปี
การสูญเสียมูลค่าดังกล่าวคิดเป็นถึง 61% และเมื่อคิดแยกคริปโทเคอเรนซี่ที่ขโมยมาครั้งหลัง ๆ ในปี 2021 ก็มีมูลค่าลดลงถึง 80% อย่างไรก็ตามทางการเกาหลีเหนืออกมาเปิดเผยผ่านสถานทูตในกรุงลอนดอนว่า “เรื่องนี้เป็นเฟคนิวส์ล้วน ๆ”
อย่างไรก็ตามทางการเกาหลีเหนือพบเจอปัญหาแบบเดียวกับที่แฮ็กเกอร์ทั่วไปเจอ คือการได้เงินน้อยลงจากการแปลงคริปโทเคอเรนซี่เป็นเงินสด เพราะนอกจากของที่ถูกขโมยมาจะสามารถขายได้ต่ำกว่าราคาตลาดแล้ว การที่มูลค่าคริปโทเคเรนซี่ลดลงครั้งล่าสุดทำให้ทางเกาหลีเหนือสามารถหาเงินสดได้น้อยลงไปอีก
แต่เงินที่เกาหลีเหนือหาได้จากการขโมยคริปโทเคอเรนซี่จะมีเป็นเงินจำนวนมากพอสมควร เพราะในปี 2019 เกาหลีเหนือสามารถหาเงินจากการโจมตีทางไซเบอร์มากถึง 2 พันล้าน$ (ประมาณ7.1หมื่นล้านบาท)
สำหรับหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เกาหลีเหนือจำเป็นต้องขโมยคริปโทเคอเรนซี่ เป็นเพราะทางรัฐบาลถูกกีดกันออกจากระบบการเงินแบบปกติด้วยสาเหตุที่เป็นประเทศถูกคว่ำบาตรจากหลายชาติ ทำให้การดำเนินโครงการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์เป็นไปได้ด้วยความยากลำบาก
ในปี 2019 Virgil Griffith โปรแกรมเมอร์ที่เคยอยู่ในมูลนิธิ Ethereum Foundation เดินทางไปเกาหลีเหนือเพื่อเข้าร่วมการประชุมคริปโทเคอเรนซี่ โดยเขาได้ไปอธิบายวิธีการใช้คริปโทเคอเรนซี่ในการหลีกเลี่ยงการคว่ำบาตรจากรัฐอื่น ๆ โดยมีรูปภาพเขายืนอยู่หน้ากระดานไวท์บอร์ดที่มีรูปภาพหน้ายิ้มพร้อมมีข้อความ “ไม่คว่ำบาตรแล้ว เย่” เขียนอยู่ ทั้งนี้เขาถูกจับกุมและจำคุก 5 ปีในสหรัฐฯ