Nikkei ชำแหละ iPhone 15 ทั้ง 4 รุ่นในรุ่นความจุน้อยสุด และพบว่าต้นทุนการผลิตสำหรับรุ่นท็อปสุดเพิ่มขึ้นประมาณ 10% จากรุ่นก่อนหน้า แม้ว่า Apple จะรับภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้นในปีนี้ แต่คาดการณ์ว่าจะส่งต่อภาระดังกล่าวให้แก่ลูกค้าในปีหน้า

iPhone 15 Pro Max มีต้นทุนชิ้นส่วนทั้งหมดโดยประมาณของรุ่นนี้อยู่ที่ 558$ (ราว 20,000 บาท) เพิ่มขึ้น 12% จากรุ่น 14 Pro Max ของปี 2022 ซึ่งต้นทุน 15 Pro Max คิดเป็น 47% ของราคาขาย

ต้นทุนส่วนประกอบบางชิ้นที่สูงขึ้น

ต้นทุนชิ้นส่วนสำหรับรุ่น Max อยู่ในช่วงระหว่าง 400$ ถึง 450$ ในช่วงปี 2018 ถึง 2021 ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าวได้ทำการอัปเกรดประสิทธิภาพแบบต้นทุนต่ำไปหมดแล้ว หลังจากนั้นการเพิ่มประสิทธิภาพจึงตามมาด้วยต้นทุนที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังที่ปีที่แล้วมูลค่าต้นทุนชิ้นส่วนก็เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าถึง 20%

มูลค่าต้นทุนที่เพิ่มขึ้นใน iPhone 15 Pro Max

  • กล้อง Telephoto 5x อยู่ที่ 30$ หรือ 1,100 บาท เพิ่มขึ้น 280%
  • ชิป A17 Pro อยู่ที่ 130$ หรือ 4,700 บาท เพิ่มขึ้น 27%
  • กรอบไทเทเนียม อยู่ที่ 50$ หรือ 1,800 บาท เพิ่มขึ้น 43%
  • หน้าจอ อยู่ที่ 115$ หรือ 4,200 บาท เพิ่มขึ้น 10%

อย่างไรก็ตาม ราคาชิปความจำ NAND ที่ใช้ใน 15 Pro Max ลดลงจากในรุ่นก่อนหน้า เพราะเมม 256GB ในรุ่น 15 Pro Max แพงกว่าเมม 128GB ในรุ่น 14 Pro Max เพียง 5% เท่านั้น

อัตราส่วนราคาต้นทุนชิ้นส่วน iPhone แบ่งตามประเทศแหล่งที่มา

สำหรับอัตราส่วนต้นทุนชิ้นส่วนการผลิต iPhone 15 Pro Max แยกตามประเทศ ได้แก่

  • สหรัฐฯ 33%
  • เกาหลีใต้ 29.4%
  • ญี่ปุ่น 10.2%
  • ไต้หวัน 9.1%
  • จีน 2.5%
  • ที่อื่นๆ/ไม่ทราบที่มา 15.8%
กราฟอัตราส่วนต้นทุนต่อราคา iPhone

ต้นทุนชิ้นส่วนของ iPhone 15 อีกสามรุ่นที่เหลือ คือ

  • iPhone 15 อยู่ที่ 423$ (ราว 15,400 บาท) เพิ่มขึ้นจากรุ่นก่อน 16% ทำให้คิดเป็น 53% ของราคาขาย
  • iPhone 15 Plus อยู่ที่ 442$ (ราว 16,100 บาท) เพิ่มขึ้น 10% คิดเป็น 49% ของราคาขาย
  • iPhone 15 Pro อยู่ที่ 523$ (ราว 19,000 บาท) เพิ่มขึ้น 8% คิดเป็น 52% ของราคาขาย

ด้วยราคาของสินค้าต่างๆ ที่เพิ่มสูงขึ้นทั่วโลก นักวิเคราะห์จึงประหลาดใจที่ Apple ยังไม่เพิ่มราคา iPhone รุ่นล่าสุดแต่อย่างใด จึงทำให้ในตอนนี้ทางบริษัทแบกรับภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้นอยู่ แต่เนื่องจากอาจกระทบต่อกำไรสุทธิ ทำให้ Apple อาจเพิ่มราคาขาย iPhone 16 ที่จะเปิดตัวในปีหน้าเพื่อผลักภาระต้นทุนให้ผู้บริโภคนั่นเอง

SOURCE