แม้ว่าเคสกันกระแทกขนาดใหญ่จะเคยมีประโยชน์ที่ชัดเจน แต่ปัจจุบันก็อาจไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับผู้ใช้ส่วนใหญ่แล้ว เพราะสมาร์ทโฟนมีความทนทานมากขึ้นในแต่ละปี เนื่องจากผู้ผลิตลงทุนในการออกแบบที่ดีขึ้นและวัสดุที่แข็งแรงขึ้น
นี่คือ 3 เหตุผลที่เคสกันกระแทกไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นสำหรับผู้ใช้งานทั่วไป
1. สมาร์ทโฟนสมัยใหม่ถูกสร้างมาให้ทนทานขึ้น
ผู้ผลิตสมาร์ทโฟนกำลังใช้วัสดุที่แข็งแรงและพรีเมียมในสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะรุ่นระดับไฮเอนด์ ผู้ซื้อมักจะซื้อเคสกันกระแทกสำหรับสมาร์ทโฟนราคาสูง อย่างไรก็ตาม อุปกรณ์เหล่านี้มีเทคโนโลยีที่มีความทนทานอย่าง Corning Gorilla Glass, Ceramic Shield และกรอบโลหะ เช่น อะลูมิเนียม หรือแม้แต่ไทเทเนียมอยู่แล้ว
กรณีของเคสกันน้ำยิ่งไม่จำเป็นเข้าไปใหญ่ เพราะสมาร์ตโฟนเรือธงส่วนใหญ่มาพร้อมกับการกันน้ำและกันฝุ่นมาตรฐาน IP68 ทำให้สามารถจมอยู่ใต้น้ำได้ลึกถึง 1.5 เมตรเป็นเวลา 30 นาที ดังนั้นการเพิ่มเคสกันกระแทกขนาดใหญ่จึงเป็นเพียงสิ่งที่เกินความจำเป็น และทำให้ความน่าดึงดูดของสมาร์ทโฟนที่ออกแบบมาอย่างดีหายไป
2. เคสขนาดใหญ่เทอะทะ ใช้งานไม่สะดวก
การใส่เคสกันกระแทกอาจทำให้สมาร์ทโฟนหนาขึ้นเกือบสองเท่า นอกจากนี้ยังทำให้อุปกรณ์มีน้ำหนักมากขึ้นอีกด้วย สมาร์ตโฟนเรือธงอาจมีน้ำหนักมากกว่า 200 กรัม ดังนั้นเคสที่ทนทานเป็นพิเศษเหล่านี้จึงทำให้มีน้ำหนักมากขึ้นไปอีก นอกจากนี้ การใส่เคสขนาดใหญ่จะทำลายความน่าดึงดูดของสมาร์ตโฟนที่ถูกออกแบบดีไซน์มาอย่างดี
ผู้ที่เลือกใช้เคสเหล่านี้เพื่อให้สมาร์ทโฟนของตนอยู่ในสภาพดีเหมือนใหม่ แต่ก็ต้องแลกมาด้วยการที่ไม่ได้ชื่นชนความสวยงามของตัวเครื่องมากเท่าที่ควร ทั้งนี้ บางคนอาจโต้แย้งว่ามันช่วยรักษามูลค่าการขายต่อ แต่ความเป็นจริงแล้วก็มีสมาร์ตโฟนก็อาจถูกใช้จนหมดอายุขัยโดยที่ไม่ได้ขายต่อเลยเหมือนกัน
3. เคสกันกระแทกขนาดใหญ่มีประโยชน์กับผู้ใช้บางกลุ่มเท่านั้น
จากที่กล่าวมาข้างต้น แม้ว่าเคสกันกระแทกจะไม่จำเป็นสำหรับทุกคน แต่ก็เหมาะสำหรับผู้ที่ทำงานในสภาพแวดล้อมที่สมบุกสมบัน หรือผู้ที่นำสมาร์ตโฟนติดตัวไปกับการผจญภัยกลางแจ้งที่สมบุกสมบันบ่อยๆ หรือคนที่มือลื่นทำมือถือหล่นบ่อย ในสถานการณ์เหล่านี้ การป้องกันเพิ่มเติมอาจคุ้มค่ากับข้อเสีย
แต่สำหรับผู้ใช้ส่วนใหญ่ เคสมาตรฐานที่มีการป้องกันการตกหล่นขั้นพื้นฐานและป้องกันรอยขีดข่วนของตัวเครื่องก็เพียงพอสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวันแล้ว