เมื่อวันอังคารที่ผ่านมาประเทศโมนาโกได้นำเทคโนโลยี 5G จาก Huawei มาปรับใช้เป็นประเทศแรกของยุโรป ซึงการใช้เทคโนโลยี 5G นี้ทำให้ถ่ายโอนข้อมูลที่มีขนาดใหญ่ขึ้นได้รวดเร็วขึ้น
ย้อนหลับไปเมื่อเดือนกันยายนในปีที่แล้วบริษัท Monaco Telecom ได้เซ็นสัญญาเล็กน้อยบางอย่างกับ Huawei เพื่อให้สามารถใช้เทคโนโลยี 5G ได้เป็นประเทศแรกของยุโรป ซึ่งประธานบริษัทคือนาย Ethienne Franzi ได้กล่าวว่า “เราคือรัฐแรกที่มี 5G ใช้ครอบคลุมทุกพื้นที่แล้ว” และนาย Frederic Genta หัวหน้าฝ่ายดิจิตอลได้ออกมากล่าวอีกว่า “ที่โมนาโกแห่งนี้เทคโนโลยี 5G จะทำให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และมีโอกาสที่ดีอีกมากมาย”
และนาย Martin Peronet ผู้บริหารทั่วไปของ Monaco Telecom ได้ออกมากล่าวตอบโต้ในกรณีที่บริษัทของตนร่วมงานกับบริษัทของจีนว่า “มีหลายๆประเทศและผู้ให้บริการหลายๆราย ได้อยู่ระหว่างการพัฒนา 5G ร่วมกับ Huawei อย่างแน่นอน หรืออาจจะมีคนทำสำเร็จไปแล้วก็ได้”
ซึ่งการที่ Huawei ได้เข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ก็ได้กลายเป็นประเด็นทางการเมืองด้วย เพราะทาง Washington ได้กล่าวหาว่า Huawei เป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ และผลักดันให้พันธมิตรของตนร่วมแบน Huawei ด้วยเช่นกัน
แต่ Huawei ก็ออกมาปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าว และจนถึงตอนนี้ทาง Washington เองก็ยังไม่ได้ออกมายืนยันใดๆเกี่ยวกับเรื่องนี้ และในตอนนี้ทางบริษัทก็ได้เซ็นสัญญาเรื่อง 5G ไปแล้วกว่า 50 ฉบับทั่วโลก โดย 28 ฉบับเป็นที่ทำกับผู้ให้บริการในยุโรป
ในยุโรป ประเทศอังกฤษและประเทศสเปนก็ได้เริ่มให้บริการ 5G แล้วในบางเมือง ในขณะที่ประเทศเล็กอย่างสวิตเซอร์แลนด์ ฟินแลนด์ และเอสโตเนียก็พึ่งจะเริ่มปรับใช้เทคโนโลยีดังกล่าวเท่านั้นเอง ส่วนประเทศเยอรมันก็พึ่งจะเริ่มส่งมอบความถี่ให้กับผู้ให้บริการเท่านั้น โดยฝรั่งเศสก็น่าจะเป็นประเทศต่อไป
เมื่อเดือนที่ผ่านมามีรายงานจาก GSM Association ที่เป็นตัวแทนของผู้ให้บริการทั่วโลก ได้พบว่าการแบน Huawei และบริษัท ZTE จากการนำเทคโนโลยี 5G ไปปรับใช้ในยุโรปจะทำให้ผู้ให้บริการในยุโรปเสียค่าใช้จ่ายถึง 55 พันล้านยูโร (ประมาณ1.9ล้านล้านบาท) รวมทั้งยังชะลอการให้บริการ 5G ทำให้เพิ่มช่องว่างของประสิทธิภาพระหว่างยุโรปและสหรัฐฯให้มากขึ้นไปอีก