SAMSUNG Galaxy Note 10 Plus นั้นเปิดตัวแล้วในประเทศไทยและ ครั้งนี้เปิดตัวมา 2 รุ่นคือ Note 10 และ Note 10+ ซึ่งแตกต่างกันขนาดหน้าจอ และ กล้องหลัง แน่นอนว่าในรุ่นนี้ที่เรารีวิวจะเป็น 10+ โดยในรุ่นนี้ถือว่ามีความน่าสนใจและเป็นการเปลี่ยนแปลงอะไรหลายๆอย่างจากรุ่นก่อนหน้าส่วนมากจะเป็นฟีเจอร์ที่ใส่เข้ามาที่น่าสนใจมากๆครับอีกทั้งเรื่องดีไซน์มีการเปลี่ยนแปลงพอสมควรทั้งฝาหลังการจัดวางกล้อง รวมถึงหน้าจอแบบ มีรูตรงกลางหรือเรียกกันว่าหน้าจอ Infinity O Display และ ยังมาพร้อมกับ RAM 12GB และ ความจุUFS 3.0 อีกด้วยครับ
ในไทยนั้นใช้ CPU Exynos 9825 7nm EUV และ หน้าจอ เป็นหน้าจอ Dynamic AMOLED รองรับ HDR 10+ ใช้กระจก Gorilla Glass 6 และหน้าจอขอบโค้งเล็กน้อยคร
SAMSUNG GALAXY NOTE 10 + ราคานั้นเปิดมาที่ 37,900 บาท สำหรับ 256GB และ 40,900 บาทสำหรับความจุ 512GB ส่วนตัว RAM นั้น 12GB ทั้ง 2 รุ่นย่อยครับ และมีสี AURA GLOW – AURA WHITE -AURA BLACK
UNBOX
แกะกล่องกันนิดนึงครับในรุ่นนี้กล่องมาในโทนสีดำด้าน พร้อมกับปากกาสีน้ำเงิน เปลี่ยนสีตามสีเครื่องครับถ้าสีน้ำเงิน หัวสีเงิน แบบนี้จะเป็นสี Aura Glow นั้นเองครับ ส่วนสีอื่นๆก็ตามสีเครื่องเลย และแน่นอนว่าอุปกรณ์ในกล่องนั้นต้องบอกว่าให้มาครบ ยกเว้น ตัวแปลง Type-c 3.5 มม. นั้นไม่มีมาให้นะครับ
- Samsung Galaxy Note 10 Plus
- เคสใสแบบนิ่ม
- ฟิลม์กันรอยหน้าจอติดมาแล้ว
- หัวชาร์จ Type-C รองรับ 25W
- หูฟัง AKG เปลี่ยนมาเป็นหัวแบบ Type-C
- สายชาร์จเป็นหัว Type-C ทั้ง 2 ด้าน
- ที่จิ้มซิม คู่มือ
- ตัวเปลี่ยนหัวปากกา
ในเรื่องของเคสครั้งนี้เป็นเคสแบบใสนิ่ม TPU ครับปกคลุมทั้งเครื่องได้ดีเหมือนกันในด้านหลังและพอดีกับหน้าเลนส์กล้อง ส่วนด้านหน้านั้นอาจจะไม่ได้ปกป้องดีมากเท่าไรเพราะด้วยหน้าจอขอบบางๆและขอบโค้งทำให้เคสนั้นไม่สามารถคลุมมาด้านหน้าได้ รวมถึงตัวนี้ไม่มีฟิล์มติดมาให้ด้วยนะครับแต่ไม่แน่ใจว่าตัวขายจริงนั้นจะมีมาให้ไหมต้องรอชมกันอีกที ส่วนเรื่องความหนาของเคสก็กลางๆครับเหมือนเคสแถมหลายๆแบรนด์ใช้งานแก้ขัดได้สบายๆอยู่นะ ข้างหลังนั้นเหมือนจะมีลวดลายแบบจุดๆไม่ให้มันเป็นลายน้ำนั้นเองและทำให้ฝาหลังไม่ติดกับตัวเคสครับ
DESIGN
ในแง่ของการออกแบบเอาจริงๆตอนมีข่าวหลุดๆออกมาก็ไม่ค่อยชอบเท่าไรเลยเพราะมันดันไปคล้ายกับอีกค่ายแบบเหมือนกันมากๆทั้งการวางตำแหน่งกล้องและกล้องตัวที่ 4 นั้นเองจริงๆชอบการออกแบบการวางแนวนอนแบบรุ่นก่อนมากกว่า เลยไม่ค่อยชอบดีไซน์ฝาหลังเท่าไรครับ ส่วนการเล่นสีนั้นในรุ่นนี้จะคล้ายๆสีโครเมี่ยมและเล่นกับแสงสะท้อนออกมาได้หลากหลายสีมากๆ ทั้งการวางกล้องและสีนั้นจะไปคล้ายกับตระกูล A ของค่ายนั้นเอง แต่ที่ขอชมและชอบมากๆคือการทำขนาดและน้ำหนักความหนา ได้บางมากๆ บางจนเท่าตระกูล S ได้เลย จากที่แตกก่อนตระกูล Note จะหนาหนัก อาจจะเป็นเพราะการตัดรู 3.5 มม. ออกไปนั้นเองครับส่วนหน้าจอนั้นขอบบางมากๆ และมีไฝ 1 จุดตรงกลางที่เป็นกล้องหน้าครับ หน้าจอนั้นขอบโค้งนิดหน่อยในด้านข้างทั้ง 2 ข้าง รวมๆชอบความบางของมัน แต่ดีไซน์ด้านหลังยังไม่ค่อยถูกใจเท่าไรครับผม ส่วนด้านหน้าจอสวยขอบบาง แต่มีไฝนิดนึงตรงกลางของหน้าจอ
หน้าจอมาพร้อมกับหน้าจอแบบใหม่ Dynamic AMOLED – Infinity O Display ขนาดหน้าจอ 6.8 นิ้วในความละเอียด QuadHD+ รวมถึงหน้าจอครอบทับด้วยกระจก Gorilla Glass 6 พร้อมรองรับ HDR10+ รวมถึงความสว่างสูงสุดถึง 1,200 Nits เลยทีเดียวครับ
ขอบหน้าจอข้างบนนั้นทำได้บางมากๆและมีการแทรกลำโพงไปตรงขอบเครื่องได้อย่างเนียนๆและกล้องหน้านั้นเป็นไฝอยู่ตรงกลางครับไม่ใช่ติ่งหน้าจอแต่อย่างใด ซึ่งกล้องหน้านั้นเป็น 10MP รูรับแสง F2.2 พร้อมกับ Autofocus ** สังเกตดีๆ ตรงขอบด้านบนจะมีช่องลำโพงแบบบางมากๆอยู่ครัย ต้องระวังอย่าไปติดฟิลม์ทับในส่วนนั้นนะครับ และ จุดดำๆ กระพริบตรง ข้างกล้องเวลาโทรออก มันคือ เซนเซอร์จับหน้าจอดับนะครับ เป็นเรื่องปกติ !!
ในขอบด้านล่างนั้นก็ถือว่าทำได้บางมากๆแล้วครับในครั้งนี้ มาพร้อมกับปุ่มควบคุมในหน้าจอสามารถใช้งานเต็มจอได้สบายๆและทำได้บางกว่า S10+ ไปแล้วด้วยในส่วนของขอบล่างหน้าจอครับ
ในด้านบนนั้นจะเห็นว่าเป็น ถาดซิมแบบ Dualslot -HybridSlot นั้นเองสามารถเพิ่มความจำได้ครับ ส่วน 2 ช่องนั้นจะเป็นไมค์หลักๆ 2 ตัวในการทำงานของการตัดเสียงรบกวนและซูมเสียงทั้งหลายนั้นเองครับ ตัวเครื่องค่อนข้างสมมาตร โค้งหน้าหลังเท่ากันเลยและมีความบางที่บางขึ้นมาก บางเพียง 8มม. เท่านั้นครับในรอบนี้เบาด้วยแหละ
ในส่วนของขอบด้านล่างนั้นเป็นที่เสียบปากกา ลำโพง รู Type-C และ ไมค์อีกตัวครับ รวมถึงไม่มีรู 3.5 มม. แล้วด้วยครับ ซึ่งเหตุผลคือต้องการความบาง ความสวย และ พื้นที่ในการใส่ Haptics ตัวสั่นให้ใหญ่กว่าเดิมนั้นเอง
ขอบด้านขวาครั้งนี้จะไม่มีปุ่มอะไรเลยครับ ไม่มีปุ่ม Bixby แล้วด้วยในครั้งนี้ จะเห็นว่าขอบอลูมิเนียมนั้นมันบางมากๆ เพราะกระจกขอบหน้าและหลังโค้งเข้าหากันครับทำให้ขอบมันเหลือบางมากๆ และจอก็โค้งมารับได้ดีเวลาถือใช้งาน
เนื่องจากขอบที่บางมากๆทำให้การใส่ปุ่มเข้ามานั้นทำให้มันหนากว่าขอบด้วยซ้ำ ฝาหลังส่วนนี้จึงต้องมีการเว้าขึ้นไปเพื่อรองรับปุ่มนั้นเองและขอบอลูมิเนียมก็ไม่ได้หนาเท่ากันทุกส่วนด้วยครับถ้าสังเกตดีๆจะเห็นมันเว้าขึ้นไปตรงปุ่ม และฝาหลังนั้นเล่นแสงสีได้ดีมากๆถ้าเจอแสงอาทิตย์หรือหลอดไปจะเล่นแสงได้สวยมากจริงๆมาเป็นสีรุ้ง Spectrum เลย
เมื่อมีคนถามว่าฝาหลังมันสีจริงๆเป็นยังไงจะตอบยากมากๆครับ เพราะสีมันเปลี่ยนไปตามสภาพแวดล้อมเอาจริงๆตอบได้เลยอาจจะเป็นสีเงินโครเมี่ยมก็ยังได้ครับและมีการเหลือบสีเยอะแยะมากๆสะท้อนแสงได้ดี ส่วนการวางกล้องนั้นจะเป็นแนวตั้งริมซ้ายคล้ายๆกับตระกูล A และคล้ายๆ Huawei เลยแหละ โลโก้วางกลาง พร้อมกับสแกนนิ้วนั้นไม่มีแล้ว เพราะย้ายไปอยู่บนหน้าจอแทนครับทำให้ด้านหลังนั้นเรียบๆเลย กล้องนูนออกมานิดนึงครับไม่นูนเท่าไร
ส่วนของกล้องหลังนั้นวางแนวตั้ง มาพร้อมกับ เซนเซอร์ TOF 3D ที่เป็นจุดๆข้างขวาพร้อมไฟแฟลชครับ รวมถึงกล้องนั้นมาพร้อมกับ 3 ตัวในโมดูลริมซ้าย คือมาพร้อม เลนส์ ultrawide 16MP (f/2.2), เลนส์ตัวหลัก 12MP (f/1.5,f/2.4), เลนส์เทเล 12MP (f/2.1) ที่สามารถซูมแบบ optical ได้ 2x และเลนส์ ToF DepthVision
*** เพิ่มเติม ตรงกล้องหลังขอบกล้องในมุมล่างจะเป็นไมค์ตัวที่ 3 นะครับสำหรับตัดเสียง และ ฟีเจอร์ซูมเสียงครับ ไม่ใช่ Defect ของเครื่องนะครับ เป็นรูไมค์ ต้องระวังในการติดฟิลม์ หรือ ทำอะไรกับตรงส่วนนี้ครับผม
*** เพิ่มเติม ลำโพงตัวบนนั้นจะอยู่บนขอบเครื่อง และ ลำโพงสำหรับการคุยโทรศัพท์จะอยู่บนขอบหน้าจอที่บางมากๆต้องระวังอย่าไปติดฟิลม์ตัวไหนที่บังรูหรือช่องตรงขอบเครื่องด้วยนะครับ
สำหรับปากกานั้นมีความสามารถเพิ่มขึ้น รองรับการใช้งานที่เยอะกว่าเดิม ยัดเซนเซอร์มาเยอะมากแต่ขนาดและน้ำหนักนั้นทำได้เท่าเดิมและไม่แตกต่างกันมากครับมาในสีน้ำเงินเข้มๆหน่อยพร้อมกับที่กดเป็นสีเงินแบบเดียวกับตัวเครื่องและจะออกโทนสว่างๆเวลาเจอแสงสะท้อนแสงอไรพวกนี้ได้ดีเหมือนกันครับตัดกับตัวเครื่องได้แบบเด่นๆเลย
SPEC
-
หน้าจอขนาด 6.8 นิ้ว WQHD+ (3,040 x 1,080 พิกเซล) Dynamic AMOLED Infinity-O
-
Exynos 9825/Snapdragon 855
-
Ram 12GB/ Storage 256GB/512GB ที่สามารถใส่ SD card เพิ่มได้ถึง 1TB
-
บน Note 10+ 5G ได้เพิ่ม Modem 5G เข้าไปด้วย (Exynos S5100/Snapdragon X50)
-
กล้องหลัง 4 ตัว ประกอบด้วย เลนส์ ultrawide 16MP (f/2.2), เลนส์ตัวหลัก 12MP (f/1.5,f/2.4), เลนส์เทเล 12MP (f/2.1) ที่สามารถซูมแบบ optical ได้ 2x และเลนส์ ToF DepthVision สำหรับถ่าย 3D scanning ได้
-
กล้องหน้า 10MP (f/2.2)
-
Dual SIM (nano)
-
ตัวเครื่องกันน้ำ IP68
-
Bluetooth 5.0, Dual-Band WiFi, NFC, Samsung DeX, Samsung Pay และพอร์ต USB Type-C 3.1
-
แบตเตอรี่ 4,300mAh ที่รองรับ Fast Wireless Charging 2.0 (15W) มาพร้อมฟีเจอร์ Wireless PowerShare ด้วย และชาร์จไวแบบสายถึง 45W แต่ว่าหัวชาร์จ 45W นั้นจะไม่แถมมากับเครื่อง
-
มาพร้อมสี AURA GLOW – AURA BLACK – AURA WHITE
-
ราคาเริ่มต้น 37,900 บาท
PERFORMANCE
ทางด้านประสิทธิภาพรุ่นนี้จัดเต็มด้วยการใช้ CPU Exynos 9825 ตัวใหม่ล่าสุดที่ผลิต 7nm EUV ซึ่งทำงานร่วมกับ UFS 3.0 ในด้านความจุ 512GB และ รวมถึง RAM 12 GB ที่ใส่เข้ามาครับ ทำให้คะแนนนั้นทำได้ดีพอสมควรทำได้ 347K และ ในด้านการอ่านเขียนนั้นทำได้ไวมากๆที่ 1,497 mb/s และเขียนไปได้ที่ 600 mb/s ครับถือว่าเร็วและแรงที่สุดในตอนนี้เลยนั้นเอง ส่วนคะแนน Geekbench นั้นทำได้ 4449 – 9240 ครับ และ 3D Mark 4941 และ 4783 ถือว่าทำได้สมราคากับความแรงแน่นอนว่าอาจจะไม่โหดเท่าพวกสายเกมแต่ในแง่เรือธงทั่วไปคะแนนนั้นถือว่าทำได้ดีมากๆและแรงเอาเรื่องในการใช้งานภาพรวมครับ
SYSTEM UI
หน้าตาหลักๆนั้นยังคงใช้งาน ONE UI ที่พึ่งเปลี่ยนมาใหม่ครับ และแน่นอนว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ค่อนข้างไปในทางที่ดีจากเดิมยุคก่อนครับ และมาพร้อมกับ Android 9 ในแง่ของการใช้งานท่ัวไปเรียบง่ายและแอพติดเครื่องค่อนข้างน้อยมากๆครับ ในหน้าล็อคนั้นมีรูปลายนิ้วเราก็สามารถสแกนนิ้วได้เลยครับ ส่วนหน้าตา ไอคอน และ อุณหภูมิอะไรก็ไปอยู่มุมซ้ายสวยงามเลยครับ ส่วนหน้าตารวมๆก็เรียบสวยขึ้นนะอันนี้แอบชอบครับการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้
หน้าตาการแจ้งเตือน ตั้งค่าอะไรนั้นมาในโทนสีขาวฟ้าครับ ไอคอนอะไรปรับเปลี่ยนหน้าตาได้เรียบขึ้นและแตะได้ง่ายขึ้นครับ การแจ้งเตือนสามารถกดเคลียร์ได้ และเมื่อลากลงมานั้นก็เข้าการตั้งค่าได้ง่าย และ สามารถปรับแสงหน้าจอได้รวมถึงมีเวลาอะไรบอกอยู่ตรงกลาง ด้านบนครับ ส่วนการแบ่งหน้าจอนั้นสบายๆมีไปหลายหน้าจอตามใจชอบเลย
สำหรับเรื่อง RAM 12 GB นั้นใช้ประมาณ 4.4 GB ครับ ใช้งานได้สบายๆเหลือๆ ส่วนตัว ความจุนั้น เหลือ 200 โดยประมาณครับถ้าตัดแอป และ เพลง รูปภาพอะไรหมดเหลือแค่ระบบนะครับ ระบบจะประมาณ 13 GB โดยประมาณครับ ส่วน คียบอร์ดนั้นเป็นภาษาไทย ของทาง Samsung เองหลายๆคนอาจจะชอบกันครับ
การควบคุมนั้นสามารถใช้งานแบบเต็มหน้าจอได้สบายและสามารถสลับปุ่มต่างๆได้ครับสำหรับตำแหน่งถ้าใครไม่ชิน และในเรื่องของ Edge Screen นั้นยังมีมาให้อยู่ในการแจ้งเตือนไฟรอบๆเครื่องหรือจะเป็นแอพที่เรียกใช้งานจากขอบเครื่องครับ ส่วน หน้าจอสามารถปิดรูกล้องได้จะเป็นการถมแถบดำตรงส่วนบนนะครับแต่แคปหน้าจอมาจะไม่ติด
ในตัว Always On นั้นสามารถปรับแต่งได้คล้ายๆของเดิมเปลี่ยนรูปของเราเปลี่ยนสีอะไรได้ครับ และ Gesture นั้นสามารถใช้งานได้ค่อนข้างหลากหลายทั่งยกเครื่องเพื่อปลุก แตะ 2 ครั้งต่างๆถ้ามองหน้าจอเครื่องจะไม่ดับเป็นต้นครับผม และ ฝ่ามือปัดเผื่อถ่ายหน้าจอยังคงมีอยู่ และมี Game Launcher แอพคู่ ยังคงมีมาให้ใช้งานกันครับ
THEME
ธีมการออกแบบนั้นสามารถเปลี่ยนอะไรต่างๆได้ทั้งหมดครับพวกหน้าจอ แอพต่างๆ หน้าจอ AOD พวกนี้ครับ และตัวธีมนั้นมีทั้งแบบเสียตัง และ ไม่เสียตังสามารถเลือกได้ค่อนข้างเยอะทั้งแบบน่ารักๆต่าง หรือ เท่ๆก็มีครับ แต่การเปลี่ยนแปลงหลักๆนั้นก็อาจจะไม่ได้เยอะแยะอะไรมาก ไม่ได้เปลี่ยนพวกหน้าแจ้งเตือน หรือ ตามแอพเท่าไรครับ
SCREEN
หน้าจอนั้นทำได้เต็มตาและขอบบางกว่ารุ่นก่อนหน้านี้ทั้งหมดรวมถึง ความโค้งก็เป็นสันเหลี่ยมที่ไปโดนได้ยากกว่าเดิมครับหน้าจอเป็นหน้าจอที่ดีที่สุดในตอนนี้แน่นอนว่าเรื่องหน้าจอค่ายนี้ไม่เคยพลาดเลยหน้าจอขนาด 6.8 นิ้ว WQHD+ (3,040 x 1,080 พิกเซล) Dynamic AMOLED Infinity-O ครอบทับด้วยกระจกจอ Gorilla glass 6 รองรับ HDR10+ และทำความสว่างได้ดีมากๆถึง 1200Nits ถือว่าสเปคอะไรจัดเต็มเลยครับหน้าจอคุณภาพ ความสว่างการสู้แดดอะไรทำได้ดี ไม่มีที่ติเลยแหละ หน้าจอค่ายนี้นั้นบอกว่าทำได้ดีมาเสมอครับ หน้าจอในการใช้งานกลางแจ้งสามารถเร่งแสงได้ดีและไม่ค่อยดรอปเท่าไรครับ ความแม่นยำของตัวสีจอภาพนั้นทำได้ดีเหมือนกัน การมีรูบนจอนั้นอาจจะขัดใจสำหรับบางท่าน เมื่อดูอะไรเต็มจอ หรือเล่นเกมนิดหน่อย ในมุมนั้นครับ
มุมมองการรองรับการมองเห็นนั้นไม่เจออาการเพี้ยนอะไรเลยครับในการมองใช้งาน สีไม่เพี้ยนแม้จะเอียงมุมมองขนาดไหนครับ รวมถึงสามารถมองเห็นได้ชัดทั้งตัวหน้าจอปกติและ AOD ดูอะไรต่างๆรวมถึงการสัมผัสอะไรทำได้ไวขึ้นติดนิ้วดีขึ้นเยอะกว่ารุ่นก่อนๆครับ หน้าจอยังเป็นแบบขอบโค้งทั้ง 2 ด้านครับแน่นอนว่า อาจจะต้องปรับตัวกันหน่อยครับ แต่จริงๆโดยส่วนตัวนั้นชอบหน้าจอแบบ เรียบๆมากกว่าแบบจอขอบโค้งเยอะเลยนะแต่ก็ต้องบอกว่า ขอบโค้งของตัว Note 10 นั้นจะทำได้ดีกว่าและสันเหลี่ยมนั้นไปโดนได้ยากกว่าของตัว S10 ก่อนหน้านี้ครับ
หน้าจอ Always On นั้นก็ยังมีมาให้และสามารถปรับเปลี่ยนได้ค่อนข้างเยอะเหมือนกันครับ ทั้งหน้าตาตัวนาฬิกา การเปลี่ยนสีต่างๆ การตั้งเวลาว่าโชว์ในช่วงไหนอะไรยังไง และสามารถเพิ่มรูปได้ของตัวเอง หรือจะเป็น GIF ก็ได้ด้วยเช่นในตัวอย่างก็ตั้งโลโก้ของเพจเราได้ครับผม รวมถึงปรับเวลาการโชว์อะไรพวกนี้ได้ทั้งหมดเลย
สแกนนิ้วใช้งานระบบ Ultrasonic ต่อยอดจากรุ่น S10+ ทั้งเรื่องของตำแหน่ง และ ระบบที่ดีกว่าเดิมแน่นอนว่าครั้งระบบนี้จะไม่มีแสงวาบๆเวลาใช้งานเหมือนในรุ่นอื่นๆ ซึ่งระบบนี้ที่ใช้งานนั้นข้อดีของมันคือสามารถสแกนนิ้วได้ไวมาก แตะละมาเลย ดีกว่าระบบอื่นๆเยอะครับ และสามารถใช้งานได้แม้นิ้วจะเปียกก็สามารถสแกนนิ้วได้ ต้องยอมรับว่าระบบนี้แบรนด์ Samsung นั้นทำออกมาขายจริงได้ก่อนใครเลยและในรุ่นนี้ก็ปรับปรุงได้ไวขึ้นมาก เซนเซอร์ขยับเข้าใกล้หน้าจอมากขึ้น และ วางตำแหน่งสูงขึ้นจากรุ่นเดิมทำให้ไม่ต้องเลื่อนมือลงไปต่ำแบบของเดิมแล้วครับและจากที่ลองนั้นทำได้ดีจริงๆสแกนนิ้วได้ไวมากๆและดีกว่าเรือธงหลายๆตัวที่ได้ทดลองมาครับถือว่าระบบนี้พัฒนามาได้ดีครับ
SOUND
ในส่วนของหูฟังนั้นต้องบอกว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงเป็น Type-c แล้วแต่เรื่องของเสียงเอาจริงๆนั้นไม่ได้แตกต่างกับตัว S10+ เลยนั้นเองครับหรือเอาง่ายๆนั้นเสียงมันแบบเดียวกันเลยถ้าเอามาเสียบกับ S10+ นั้นแหละเสียงหูฟังให้แนวเสียงเดียวกันกับตัวแรก เบสมานิดหน่อย เสียงใสๆมิติมากลางๆ จะเด่นเรื่องเสียงร้องที่ชัด และ แอบแหลมไปนิดนึง แน่นอนว่าการตัดรูหูฟังออกไปนั้นก็ไม่ได้แถมตัวแปลงที่มีคุณภาพเสียงพิเศษอะไรมาให้และไม่ได้แถมมาให้ด้วยครับทำให้เรื่องเสียงมันไม่ได้เด่นเท่าไรและออกไปทางธรรมดาครับเมื่อเทียบกับเรือธงค่ายอื่นๆ แน่นอนว่าทาง Samsung เองก็ไม่ได้เน้นเรื่องของเสียงมานานมากแล้วครับก็น่าเสียดายเหมือนกัน แต่ถ้าใครอยากได้คุณภาพเสียงดีขึ้นแน่นอนว่า ซื้อตัวแปลงของพวก iBasso – HTC พวกนี้ก็เสียงจะขึ้นแบบชัดเจน เลือกได้ตามงบที่มีเลยครับ
มาที่หูฟังแถมกันบ้างยังคงมาในการแปะแบรนด์ AKG อยู่ครับ ตัวหูแถมนั้น เป็น INEAR สีดำ ทรงเดียวกับรุ่นก่อนหน้านี้ทั้งหมด และมีปุ่มควบคุมมาให้ครับ รวมๆนั้นใส่สบายอยู่ครับ ค่อนข้างเบาและใส่นานๆได้ สายเป็นสายถักในช่วงต้นๆแต่ในส่วนแยกไป 2 ข้างนั้นเป็นสายยางปกติ ส่วนคุณภาพเสียงในแง่ของหูแถมมันก็ใช้ได้นะ เสียงแม้อาจจะไม่ใช่พวกหูแถมที่ดีสุด แต่ก็ใช้ได้ครับฟังเพลงได้พวกที่เน้นรายละเอียด เสียงจะแหลมๆ ใส เวทีกลางๆครับ เสียงร้องขัด แยกดนตรีได้นิดหน่อย และการเปลี่ยนมาใช้งาน USB-C นั้นเสียงไม่ได้แตกต่างกับรุ่น S10+ เท่าไรครับน่าจะไม่ได้มีตัว DAC เสริมอะไรพิเศษครับแน่นอนว่าจะไม่เหมือนของ HTC LG ที่หูฟังแถมค่ายนั้นทำได้ดีกว่าเล็กน้อย
SPEAKER
ในด้านของลำโพงตัวนี้ยังคงใช้งานลำโพงคู่เช่นเดิมแต่มีการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งเล็กน้อยเนื่องจากขอบหน้าจอที่บางกว่าเดิมทำให้ลำโพงด้านบนนั้นจะต้องย้ายไปอยู่ขอบเครื่องด้านบนแทนครับและทำให้เสียงอาจจะแตกต่างกับรุ่นก่อนหน้าเล็กน้อยแต่เมื่อเอามาเทียบกับ S10+ แล้วนั้นก็พบว่าดีขึ้นกว่าเดิมเรื่องของความดัง และมิติเสียง แต่จะไม่ได้แตกต่างกันชัดเจนมากนักถ้าไม่เอามาเทียบกันจะไม่รู้สึกเลยครับว่าลำโพงนั้นแตกต่างกัน จากที่ลองนั้นแน่นอนว่า Note 10 + นั้นจะเด่นกว่า เบสแน่นกว่าและเสียงดังกว่าเล็กน้อยครับ ถือว่าเป็นการพัฒนาขึ้นนิดหน่อยจากรุ่นเดิม
S-PEN
ทางด้านปากกานั้นต้องบอกว่ามีการพัฒนาขึ้นเรื่อยๆและแน่นอนว่าเป็นส่วนของการควบคุมแบบไร้สาย ผ่านท่าทางครับที่จะคล้ายๆกับการ เสกคาถา ของตามหนังต่างๆแน่นอนว่ามีการใส่เซนเซอร์อะไรเข้ามาเยอะมากขึ้นจากรุ่นเดิม ทั้ง Gyroscope และ Accelerometer ทำให้รองรับคร่าวทั้งหมด 6 ท่า สะบัดขึ้น ลง, ปัดซ้าย ขวา, หมุนวงกลมตามเข็มนาฬิกาและทวนเข็มนาฬิกา แบบกลางอากาศทั้งหมด ทำให้มันรองรับคำสั่งทั้งหลายๆแกนสามารถควบคุมได้ค่อนข้างง่ายครับ ปากกานั้นมาในสีน้ำเงินถ้าซื้อเครื่องสี Aura Glow ครับ ส่วนตัวปากกานั้นรองรับการกันน้ำอะไรปกติและแรงกด 4096 ระดับ เหมือนเดิมนั้นเองครับ ส่วนขนาดเท่าเดิมแต่นำ้หนักเบาลงเล็กน้อยถือสะดวกขึ้นครับ S-Pen นั้นสามารถใช้งานได้ต่อเนื่องนานประมาณ 1 ชั่วโมง ภายในมีซูเปอร์คาปาซิเตอร์ที่สามารถชาร์จเต็มได้ภายใน 40 วินาที หลังใส่เข้าไปในเครื่อง
ฟีเจอร์ในการตั้งค่าอื่นๆนั้นก็สามารถเข้าไปในส่วนของเมนูได้เลยครับ จะเป็น Air Action ปลดล็อคต่างๆ จนเวลาหน้าจอดับ Air View อีกมากมายและตั้งค่าเสียงเวลาขีดเขียนต่างๆ สั่นตอบสนอง หรือจะเป็น แจ้งเตือนระยะห่างปากกาว่าอย่าลืมเสียบกลับเข้าไปครับ ส่วนของ Air Action นั้นสามารถตั้งค่าใช้งานได้ในแอพพื้นฐานก่อนในตอนนี้
คำสั่งนั้นจะรองรับแอพที่แจ้งไว้ซึ่งอนาคตนั้นน่าจะมีอีกหลายๆแอพรองรับกันตามมาครับเพราะเปิด SDK ให้เอาไปพัฒนากัน ส่วนการควบคุมคร่าวๆนั้นจะเป็น กดค้างถ่ายรูป กด 1 ครั้ง เล่นเพลง กด 2 ครั้ง เปลี่ยนเพลง สะบัดขึ้นเพิ่มเสียง ลดเสียง อะไรเป็นต้น แต่ถ้าเข้ากล้องนั้นก็จะเป็น เปลี่ยนโหมด หมุนวงกลมเพื่อซูมเข้าออก เป็นต้นครับ สะบัดขึ้นลง สลับกล้องหน้าหลัง แต่ทุกครั้งต้องกดปุ่มบนตัวปากกาค้างไว้ด้วยนะครับ และ อื่นๆนั้นจะเป็นการตั้งค่าแอพคู่เหมือนเดิมได้ หรือ เลือกแอพเวลาเราถอดปากกาออกมาได้
Air Action นั้นถือว่าเป็นจุดชูโรงของรุ่นนี้สามารถควบคุมมือถือได้ระยะไกลมากๆได้สบายครับถ้าไม่มีกำแพงกัน และเหมาะสำหรับการเอาไปถ่ายรูปหมู่หรือตั้งมือถือไว้เพื่อถ่ายรูป หรือจะเป็นการ พรีเซนต์งานอะไรก็เป็นเหมือน Pointer ได้สบายๆเลยครับ ส่วนการควบคุมนั้นก็ไม่ยากและตอบสนองได้ดีกว่าตอนที่ไปลองพรีวิวครับ ติดได้ง่ายมากขึ้นเยอะเลย ก็สามารถ ปัดซ้ายขวา เปลี่ยนโหมดกล้อง ปัดขึ้นลง เพื่อสลับกล้อง ควงแบบวงกลม เพื่อซูมเข้าออก เป็นต้นครับ และ ในแอพอื่นๆก็สามารถควบคุมเพลง เปลี่ยนเพลง เพิ่มลดเสียงได้เวลาเราตั้งมือถือไว้และเปิดเพลง
ในอีกฟีเจอร์ที่น่าสนใจคือการเปลี่ยนลายมือเป็นข้อความครับเป็นฟีเจอร์ที่น่าสนใจแม้จะลายมือแย่ๆก็ยังสามารถแปลงได้แบบของแอดมินเป็นต้น แน่นอนว่ารองรับภาษาไทยและประโยคยาวได้เลย ถือว่าสะดวกและไวพอสมควรเวลาเราไปจดงานหรือจดเวลาเรียนก็ไม่ต้องมานั่งพิมพ์ใหม่ครับสามารถให้มันแปลงไปได้เลยสบายๆแต่ก็ต้องลายมือที่เขียนแยกชัดเจนในแต่ละตัวอักษร ถ้าอักษรไหนขีดต่อกันเยอะๆก็อาจจะยากหน่อยครับ แต่รวมๆนั้นถือว่าแปลงได้ดี
AR Doodles นั้นต้องบอกว่าเป็นการต่อยอดเทคโนโลยี AR ที่น่าสนใจทำงานร่วมกับ AR CORE และ TOF 3D ได้ดีมากๆแน่นอนว่ามันเป็นเหมือนการเขียนแบบ 3 มิติลงไปในหน้าจอและเราสามารถเดินทะลุไปได้ด้วย สามารถชมคลิปในการทดสอบวีดีโอด้านล่างครับ เราสามารถวาดเขียนอะไรลงไปได้และเดินดูเหมือนมันอยู่บนโลกจริงๆได้ และ รองรับปากกาหลายรูปแบบ ทั้งแบบหยดน้ำ สีรุ้ง หรือจะเป็นเส้นๆปกติก็ทำได้ และจับหน้าคนที่อยู่ในเฟรมได้ด้วยครับ ว่าหน้าคนนี้เราเคยวาดอะไรไว้ รองรับสูงสุด 3 หน้าต่อการถ่าย 1 เฟรมครับผมถือว่าน่าสนใจและสนุกพอสมควรครับ
Live Massage นั้นยังคงมีมาให้เหมือนเดิมและพัฒนาหัวปากกา อะไรได้สวยงามขึ้นครับและบันทึกส่งออกได้เหมือนเดิม และ ยังมีในส่วนของ Screen Off memo ที่รองรับการเปลี่ยนสีหัวปากกาได้หลากหลายขึ้นไม่ได้อิงตัวสีปากกาแล้วนั้นเองครับถือว่าเป็นการพัฒนาเล็กๆน้อยๆที่เสริมเข้ามาจากฟีเจอร์เดิมๆที่เคยออกมาในรุ่นก่อนหน้านี้
3D SCANNER
การสแกนแบบ 3 มิตินั้นเป็นการใช้กล้อง TOF 3D เข้ามาช่วยได้ดีครับทำให้รองรับการใช้งานได้หลากหลายมากขึ้นในการสแกนแบบที่เราเคยเห็นกันไปในตัว SONY -HUAWEI ก่อนหน้านี้ครับแน่นอนว่าอาจจะต้องพัฒนากันอีกพอสมควรถ้าจะเอาให้มันเทียบเท่ากับของจริงแต่ก็สแกนได้ง่ายขึ้นเรื่อบๆสำหรับฟีเจอร์นี้ครับ รองรับการสแกนสิ่งของและคนได้ครับผม แน่นอนว่าต้องเป็นที่ที่มีแสงเพียงพอและวัตถุไม่ได้เงา หรือ มองยากเกินไปครับ และฟีเจอร์รองรับเมื่อเราถ่ายตุ๊กตาก็สามารถสแกนเพื่อให้มันขยับได้ด้วยก็เป็นลูกเล่นเล็กๆน้อยๆที่ใส่เข้ามา ในการสแกนแบบ 3 มิติ
DEX MODE
ในการใช้งาน DEX ครั้งนี้ใช้งานง่ายไปอีกขั้นสำหรับคนที่มีคอมพิวเตอร์ทั้ง Windows และ Mac นั้นสามารถใช้สาย Type-C เสียบต่อตรงและมันจะเข้า DEX ได้เลยครับตามภาพคือใช้งานได้ง่ายกว่าเดิมเยอะมากๆสำหรับใครที่อยากใช้งาน DEX บนคอมพิวเตอร์ของเรา แต่ต้องโหลดแอพของมันเข้ามาก่อนนะครับ ถือว่าใช้งานได้หลากหลายกว่าเดิม ถ้าไปที่ไม่มีจอที่รองรับ หรือ ที่ที่มีแค่คอมอะไรเท่านั้นและอยากทำงานต่อเนื่องจากมือถือของเรานั้นเองครับ สามารถโหลดไปใช้งานได้เลยที่ Windows และ mac และใช้สาย USB-A ไป USB-C บนมือถือได้เลยครับ แต่มันจะเน้นการใช้งานแอพบนมือถือที่อาจจะไม่มีในคอมมากกว่าครับหรือทำงานต่อบนคอม ลากไฟล์ไปมาได้ง่ายขึ้น หรือไปในการนำเสนอพรีเซนต์อะไรรวมถึงการวาดเขียนอะไรต่างๆที่จะสะดวกขึ้นนั้นเองครับ
GPS
การทดสอบ GPS ในรุ่นนี้จริงๆที่ใช้งานมาถือว่าความนิ่งทำได้ดีมากๆ และก็ จากการทดสอบผ่านตัวแอพก็จับค่าได้เยอะและขึ้นเขียวกันทั้งหมดเป็นส่วนใหญ่ ทั้งการใช้งานกลางแจ้งและในร่มหรือใต้ทางด่วนก็ไม่ได้ดรอปลงอะไรเยอะครับ รวมถึงการใช้งานก็ไม่ได้เพี้ยนด้วยแม้จะเป็นการนำทางลงในอุโมงค์ หรือ ใต้ทางด่วน และจะเป็นการใช้งานนำทางในเส้นต่างจังหวัด ใช้ความเร็วสูงก็ไม่ได้เจอการหน่วงหรืออัพเดทช้าอะไรครับ ถือว่าระบบการนำทางนั้นใช้งานไว้ใจได้และไม่ต้องห่วงเลยแหละครับสำหรับใครที่เน้นการใช้งานนำทาง GPS ทั้งผ่าน Maps ต่างๆไม่มีปัญหาเหมือนกันครับ จับได้ทั้งหมด 33 จาก 43 ในกลางแจ้ง และ 39 จับได้ทั้งหมด 7 ในการใช้งานที่ร่ม ใต้อุโมงค์
BATTERY
ทางด้านการใช้งานทดสอบแบตนั้นต้องบอกว่าตัวแบตนั้นที่พัฒนาขึ้นหลักๆน่าจะเป็นการชาร์จเข้ามากกว่าที่ไวมากๆรองรับสูงสุด 45W และสามารถใช้งานไร้สายได้สูงสุด 20W เลยครับ ส่วนในด้านตัวแถมที่ให้มานั้นจะรองรับแค่25W แต่ก็ถือว่าเป็นการพัฒนาที่ดีกว่าเดิมเยอะมากๆจากที่รุ่นก่อนๆจะไม่ได้รองรับการชาร์จไวมาให้เท่าไรครับ ส่วนตัวแบตรุ่นนี้ให้มาที่ 4,300 mAh และในการใช้งานรองรับทั้งวันได้สบายๆครับ จากที่ได้ลองใช้งานเปิดหน้าจอความละเอียดสูงสุดนั้นรองรับใช้งาน 12 ชั่วโมง และหน้าจอเปิดทั้งหมด 4 ชั่วโมง ใช้งานเล่นเกม ประมาณ 1 ชั่วโมง และถ่ายรูป ฟังเพลงเป็นต้นครับถือว่ารองรับทั้งวันได้สบายๆ
GAMING
ในการทดสอบการเล่นเกมต้องบอกว่าทำได้ดีครับ ในรุ่นนี้มีตัว Game Launcher มาให้ด้วยในการรวมแอพเล่นเกมทั้งหมดครับและแน่นอนว่าน่าสนใจเพราะว่าตระกูล Exynos นั้นหลายๆคนอาจจะมองว่าเล่นเกมไม่ได้โหดแต่ก็มีการพัฒนาขึ้นมาเรื่อยๆครับสำหรับการเล่นเกม จะเป็นการปรับแต่งให้มีประสิทธิภาพสูงสุด และเรื่องของไมค์ที่รองรับการเล่นเกมที่ชัดและทำงานร่วมกับแอพ Discord ได้ดีครับทำให้เวลาเล่นเกมก็สามารถเห็นแชทและพูดคุยได้ด้วย ในตัวประสิทธิภาพนั้นต้องบอกว่าทำได้ดีครับเล่นเกมได้ค่อนข้างลื่นและเรื่องของหน้าจอนั้นแสดงผลได้ดีมากๆด้วย ตัวเกมรองรับเกมใหม่ๆหลายเกมได้ดีรวมถึงความืลื่นไหลติดนิ้วที่ต้องบอกว่าเทียบเท่าพวก Snapdragon 855 ได้สบายครับจากที่ลองมาและเรื่องของความร้อนก็พอมีครับแต่ไม่ได้ร้อนจนน่ากลัวในรุ่นนี้ แต่แบตก็ลดไปไวพอสมควร
CAMERA
กล้องหลังรุ่นนี้มาด้วยกัน 4 ตัว Galaxy Note 10+ กล้องหลัก 12MP AF F1.5/F2.4 OIS และตัวที่ 2 คือ กล้อง เทเล 12 MP F2.1 OIS และในตัว กล้อง มุมกว้าง 16 MP F2.2 123 องศา ไม่มี AF-OIS นะครับส่วน
ตัวที่เสริมเข้ามามากกว่าตัว Note 10 คือ Depthvision TOF 3D นั้นเองจะทำหน้าที่ในการจับระยะการทำเบลอ หรือ ลูกเล่น AR พวกนั้นที่จะเข้ามาช่วยครับ แน่นอนว่าตัวสเปค HARDWARE จริงๆเป็นกล้องตัวเดียวกับ S10+ ครับแต่ปรับปรุงในด้านของ Software เข้ามาแทนให้ดีกว่าเดิม และ รองรับการถ่าย Livefocus ที่ดีกว่าเดิม และกันสั่นวีดีโอที่ดีกว่าเดิมครับ จากที่ลองนั้นคุณภาพถือว่าน่าสนใจ แต่ถ้าคนที่มาจาก S10+ อาจจะไมไ่ด่แตกต่างกันมากนัก ยกเว้นฟีเจอร์ Big Circle Bokeh ที่ค่อนข้างสวยงามเลยทีเดียวครับ และ การถ่ายนั้นไวขึ้น และ โฟกัส รวมถึงความคมชัดอาจจะดีกว่าเดิมเล็กน้อย แต่การตัดขอบอะไรต่างๆนั้นรู้สึกว่าทำได้ดีกว่าพอสมควรและการแยกเลเยอร์
PORTRAIT
NIGHTMODE
SELFIES
กล้องหน้าก็มีความละเอียด 10MP F2.2 รองรับ Autofocus รูรับแสงแคบเพราะว่าจะทำให้ขนาดเล็กลง แต่ก็ทดแทนมาด้วยโหมดกลางคืนในกล้องหน้าครับทำให้ถ่ายแสงน้อยได้ดีกว่าเดิมไปอีกนั้นเอง ส่วนการถ่ายวีดีโอรองรับการถ่ายกล้องหน้าที่ 4K เช่นเดิมและรวมถึง Live Focus ด้วยครับก็มีฟีเจอร์เข้ามาค่อนข้างเยอะ ส่วนภาพนิ่งนั้นก็ต้องบอกว่ามีโหมดกลางคืนเข้ามาช่วยแต่ก็เสียดายเรื่องรูรับแสงเล็กน้อยครับในกลางคืนอาจจะไม่ดีเท่า S10+ แต่การตัดขอบอะไรต่างๆนั้นทำได้ดีในการใช้งานละลายหลังต่างๆรวมถึงยังมีโฟกัสมาให้ไม่ได้ตัดทิ้งไปไหนครับผม
VIDEO
การถ่ายวีดีโอรองรับได้ดีครับและทำได้สูงสุด 4K 60FPS และ สำหรับ Super Slowmotion นั้นยังคงทำได้ที่ HD เช่นกันใน 960FPS และ มีโหมดการถ่ายทั้ง Live Focus – Super Steady มาให้และดีกว่าเดิมเพราะรองรับการถ่ายกันสั่นเทพ ทั้งเลนส์ปกติ และ เลนส์ เทเล แล้วด้วยครับ รวมถึง การซูมเสียง และ ตัดเสียงที่ดีกว่าเดิม ในการถ่ายกล้องหน้าและกล้องหลัง และ กันสั่นในภาพรวมในโหมดปกติทำได้ดีมาก และ ถ่าย 4K 60FPS 30FPS ไม่มีจำกัดเวลาด้วยครับถือว่าน่าสนใจ แต่น่าเสียดายว่าไม่มีรู 3.5มม. แล้วการต่อไมค์นอกก็ลำบากและยากพอสมควรเลยครับ
VIDEO — LIVE FOCUS – ZOOM IN MIC – AR DOODLES
เป็นการทดสอบฟีเจอร์ในการถ่ายทั้ง ละลายหลัง กล้องหน้าหลังในทุก Effect รวมถึง การซูมเสียง และ การเขียนแบบ 3 มิติครับ ไปลองชมกันได้เลยรวมๆนั้นทำได้ดีนะในการละลายหลังทั้งหมด มีแค่ Big Circle ที่ยังไม่เนียนมากนักครับ แต่ในส่วนของ Effect อื่นๆนั้นต้องบอกว่าทำได้ดีมากๆเลยแหละทั้งกล้องหน้าแหละหลัง สามารถละลายในส่วนของช่องว่างระหว่างนิ้วเวลายกขึ้นมาได้ด้วยยังจับได้ดีและเป็นขาวดำก็ทำได้เนียนพอสมควรเลยครับ
SAMSUNG GALAXY NOTE 10 PLUS
” เป็น Note ที่เบาและบางที่สุด พร้อมประสิทธิภาพในภาพรวมที่น่าพอใจอย่างมาก”
ปรับเปลี่ยนลงตัวขึ้น บางและเบาขึ้นเยอะ หน้าจอขอบบางขึ้น รวมถึงปากกาที่ทำอะไรได้มากกว่าเดิม แน่นอนว่าเป็นตระกูลที่หลายๆคนนั้นใช้งานกันอยู่และหลักคงหนีไม่พ้นปากกาของมันที่วาดได้ดีที่สุดแล้วในบรรดามือถือ Tablet ทั้งหมด และครั้งนี้ใส่ฟีเจอร์ที่ใช้งานกลางอากาศได้ค่อนข้างน่าสนใจเลยนะ แต่จากที่ลองตอนนี้ ติดยากและแอบมึนๆบาง เพราะ Software ของมันตอนนี้ยังไม่สมบูรณ์ต้องรออัพเดทวันที้ 15 นะครับทั้งเรื่องกล้อง ประสิทธิภาพ คะแนน antutu ทั้งหลายนั้นยังไม่คงที่ และรวมถึง คะแนน DXOMARK ก็อิงซอฟท์แวร์ตัววันที่ 15 ด้วยครับเรื่องประสิทธิภาพเราจึงพูดอะไรมากไม่ได้ ส่วนเรื่องหน้าจอ การสัมผัสนั้นทำได้ดีมากๆสว่างสดใส ขอบบางมากๆจริง รวมถึงกล้องหลังก็ฟีเจอร์เล่นเยอะแยะกว่าเดิม แต่ไม่ชอบการวางกล้องเท่าไรครับ ส่วนเรื่องสีนั้นเล่นกับแสงได้สวยงามเลยจริงๆค่อนข้างแปลกตามากๆ และ การชาร์จไวใส่เข้ามาแล้ว แต่เสียดายระบบเสียงที่ไม่ได้เน้นอีกแล้ว รวมถึง ตัดรู 3.5 มม. ออกไปครับในครั้งนี้ ในภาพรวมนั้นค่อนข้างประทับใจนะมันลงตัวขึ้นเยอะมากจริงๆครับสำหรับรุ่นนี้
ข้อดี
- หน้าจอทำได้สวยและสู้แสงได้ดีรวมถึงการสัมผัสด้วยเชนกัน
- ชาร์จไวรองรับสูงสุด 45W รวมถึงชาร์จไร้สาย ไวขึ้น
- ปากการองรับการทำงานได้หลากหลายมากขึ้นและมีประโยชน์กว่าเดิม
- กล้องหลังพัฒนาขึ้นจากรุ่นเดิมและถ่ายจับมิติได้ดีขึ้นมาก
- สแกนนิ้ว Ultrasonic ทำได้ดีกว่ารุ่น S10+
- ประสิทธิภาพในภาพรวมเร็ว และ แรงขึ้น แบบรู้สึกได้
- ใช้ UFS 3.0 ใช้งานในภาพรวมเร็วลื่นไหลขึ้น
- ตัวเครื่องทำได้บาง และ เบา กว่าตระกูล Note รุ่นอื่นๆ
- การถ่ายวีดีโอทำได้ดีทั้งกล้องห้น้าและกล้องหลัง กันสั่นทำได้ดี
ข้อสังเกต
- ตัดรูหูฟัง 3.5 มม. ออกไปแล้ว และไม่แถมตัวแปลง
- กล้องหน้ารูรับแสงแคบขึ้น มีผลเล็กน้อยเวลากลางคืน
- แบตไม่ได้อึดกว่าเดิมมากนัก
- ฟีเจอร์บางตัวที่มาใหม่อาจจะเป็นลูกเล่นที่ไม่ได้ใช้งานบ่อยเท่าไร
- ไม่มีรุ่น 1TB ให้เลือกซื้อ
สำหรับรีวิวนี้ผมก็ต้องขอตัวลาไปก่อนสำหรับรุ่นอื่นๆก็ติดตามกันได้เลย ถูกใจฝากกดไลค์กดแชร์ด้วยนะครับ มีข้อผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ เพื่อนๆสนใจอยากให้พวกผมรีวิวรุ่นไหนสามารถ Inbox มาบอกเราได้เลยนะ
ฝากไลค์เพจ FACEBOOK เราด้วยนะครับ >>>>>>>>> TECHHANGOUT
เข้าร่วมกลุ่ม TECHHANGOUT พูดคุยแลกเปลี่ยน ข้อมูล คุยกันเองชิลๆได้เลยที่ — Facebook Techhangout พูดคุย Smartphone gadget
Review by Nineztr
*รูปถ่ายจากกล้องมือถือทุกรูป ไม่มีการปรับแต่ง และ สามารถกดดูไฟล์เต็มแบบต้นฉบับได้นะครับ