ที่บอกว่าระวังหลับนั้นเพราะเจอมาในโรงกันเลย และ ความเข้าใจผิดของตัวอย่างหนังสำหรับบางคนนะครับ.. ก่อนที่จะไปอ่านรีวิว ขอถามก่อนเลยถ้าถ้าชอบหนังแนว The Martian หรือ แอคชั่นไซไฟ อะไรพวกนี้ บอกเลยว่าข้ามเรื่องนี้ไปครับ หลับแน่นอน เพราะรอบที่ไปดูหลับกันระนาวครับ และออกจากโรงมาก็บ่นๆเหมือนกันว่า ง่วง หนังช้า มากอะไรแบบนั้นแน่นอนครับว่าหนังนั้นไม่ใช่แนวแอคชั่นเลย โดนตัวอย่างหลอกกันเต็มไปหมดครับเพราะหนังเอาส่วนที่เป็นแอคชั่นมาแย่งซีนเอาพอสมควร แน่นนอว่าใครหวังแนวนั้นอย่าาพลาดเข้าไปดูครับ เตือนแล้วนะ มาส่วนหนังกันก่อนเลยในเรื่อง Ad Astra นั้นจะเป็นการเล่าเรื่องราวของคนนึง นั้นก็คือ นักแสดงนำของเรา แบรด พิตต์ นั้นเองตัวหนังจะเน้นไปที่คนเดียวหนักมากๆและคนเดียวเอาหนังอยู่เลย ตัวหนังนั้นคร่าวๆคือ ตัวละคร คลิฟฟอร์ด แมคไบรด์ (ทอมมี ลี โจนส์) นักวิทยาศาสตร์ที่หายตัวไปกว่า 30 ปี ทำให้ รอย แมคไบรด์ (แบรด พิตต์) นักบินอวกาศลูกชายของเขาต้องออกเดินทางฝ่าอันตรายนานับประการเพื่อยับยั้งมหันตภัยครั้งใหญ่ที่กำลังก่อตัวขึ้นมา
ตัวหนังนั้นบอกก่อนเลยว่าเล่าเรื่องไปแนวดราม่า มากกว่าและมีอวกาศเป็นฉากหลัง และตัวหนังนั้นมีความเรียลมากๆครับ แต่ในความเรียลของมันก็มีบางจุดที่แบบ อ้าวแบบนี้ก็ได้หรอ เช่นในตอนจบที่ก็ยังไม่สมเหตุผลหลายๆเรื่องเลยครับทั้งที่ก่อนหน้านี้ปูมาดีมากๆ เรียลสุดๆ ตัวหนังนั้นเล่าเรื่องได้ค่อนข้างเนิบนาบ ช้ามากๆ มีหาวกันแน่นอนถ้าใครตามไม่ทันจะเน้นไปที่ ตัวละครหลักอย่างหนักครับและเสริมแทรกฉาก ระทึกๆมาบ้างเล็กน้อยไม่ให้น่าเบื่อเกินไป แน่นอนว่า ผกก เรื่องนี้นั้นจะคุ้นๆกันทำหนังที่อินดี้กันนิดหน่อยครับ จริงๆตัวเนื้อหาของมันผมว่าทำได้ค่อนข้างดี คือเอาใจสายเสพ วิทยาศาสตร์ อวกาศได้แบบจุใจในหลายๆจุดที่ใส่ใจรายละเอียดเข้ามา เทคโนโลยีอะไรต่างๆที่ทำให้เรามองดูกันว่าอนาคตนั้นจะเป็นยังไง แต่เล่าเรื่องในอีกแบบนึงที่ต้องบอกว่าแตกต่างกับเรื่องอื่นๆ มันกลายเป็นหนังอวกาศ เชิงดราม่า ปรัชญาไปแบบเต็มที่ครับ เลยทำให้หลายๆจุดนั้นอาจจะเนือยๆ เบื่อๆกันไปได้ถ้าคนไม่ชอบแนวนี้ และตัวหนังเน้นดราม่าพ่อ ลูกเข้ามาแน่นอนว่าจุดนี้มันแอบทำให้คนดูไม่ค่อยอินและไม่ได้อิมแพ็คเท่าที่ควรครับ หนังมันเลยไม่มีจุดพีคอะไรที่เด่นๆหรือน่าจดจดเลยสำหรับการดูหนังเรื่องนี้มันเรื่อยๆ เนิบๆไปทั้งหมดครับ
สำหรับงานภาพ ฮอยต์ ฟาน ฮอยเต ที่เคยทำงานในเรื่อง INTERSTELLAR ก็มาทำเรื่องนี้ทำให้งานภาพนั้นโคตรสุดครับ ต้องบอกว่างานภาพเป็นอะไรที่ดีที่สุดในหนังเรื่องนี้ทั้งมุมกล้อง ฉากต่างๆ โทนสีของตัวหนังนั้นทำได้ดีเป็นอีกขุดที่ทำให้น่าติดตามและไม่เบื่อสำหรับตัวผมเองที่ได้ไปดูเพราะชอบเสพงานภาพอยู่แล้ว แล้วเรื่องนี้ไม่ผิดหวังเลยทำได้อลังการ และสมจริงสุดๆ และพวกฉากอวกาศดาวต่างๆนั้นทำให้เราได้เข้าไปอยู่ในหนังได้เลยครับ ส่วนเรื่องงานเสียงโอเคเลยก็ว่าได้ เสียงประกอบให้อารมณ์กับคนดูได้ดี และเล่นกับจังหวะเงียบอะไรพวกนี้ให้เราลุ้นกันบ้าง ส่วนเสียงในตัวหนังเสียงประกอบนั้นทำได้ดีสมจริงและใส่ใจในงานเสียงพวกรายละเอียดต่างๆเวลาอยู่ในหลายๆสภาวะได้ดีครับ ต้องบอกว่ามันเป็นหนังที่ใส่ใจรายละเอียดได้ดีมากๆเรื่องนึงและสมจริงมากๆครับ
นักแสดงนั้น หลักๆคงต้องบอกว่าเหมือนแสดงคนเดียวจริงๆเพราะเป็นคนที่แบกหนังเอาไว้ได้สบายการแสดงของเค้านั้นไร้ที่ติ แต่ส่วนตัวหนังยังไม่สามารถส่งไป OSCARS แบบที่คิดไว้ได้เท่าไรนะ แน่นอนว่าตัวนักแสดงนั้นสื่อออกมาให้เราได้ลุ้นกันทั้งหน้าตา สีหน้า หรือแววตาของนักแสดงอันนี้สำคัญมากเป็นหนังที่ไม่ได้มีบทพูดเยอะในหลายๆซีนแต่การแสดงทำให้เรานั้นค่อนข้างอินไปกับตัวหนังและเอาใจช่วยไปกับสถาณการณ์บ้าง แต่ความสัมพันธ์บางอย่างทำให้เราไม่ได้อินไปสุดเท่าไรกับหลายๆจุดในหนังที่พยายามให้เราอินครับ เลยไม่ได้มีอิมแพ็คกับตัวละครในหนังเท่าที่ควรแม้การแสดงนั้นจะดีมากแค่ไหนก็ตามอันนี้น่าเสียดายมากจริงๆ
ในภาพรวมนั้นเป็นหนังอินดี้อีกเรื่องที่ หลายๆคนอาจจะโดนหลอกจากตัวอย่างไปเยอะครับ เป็นหนังชวนหลับได้เลยสำหรับบางคน และแน่นอนว่าหนังมันเน้น ดราม่า ปรัชญา ขั้นสุดจริงๆผสมกับความเรียลได้ดี นักแสดงอะไรเอาอยู่และ ใส่ใจรายละเอียดเอาใจสาย เสพงานวิทยาศาสตร์อะไรได้แบบเต็มอิ่มมากๆครับ หลายๆคนน่าจะชอบถ้าชอบอะไรแนวนี้กัน แต่มันก็ไม่ได้ลงตัวมากเท่าไรไม่เหมือน INTERSTELLAR และยังเทียบไม่ค่อยได้เลยครับ และถ้ามองไปพวกหนังแนว GRAVITY FIRSTMAN พวกนั้นยังคงทำได้ดีกว่า บันเทิง เข้าถึงง่ายกว่า และถ้ามองย้อนไปอีกดูพวก 2001 : a space odyssey ก็ยังต้องบอกว่าเรื่อง Space Odyssey ยังคงมีอะไรให้พีคและลงตัวกว่าเอาจริงๆน่าเสียดายในเรื่องนี้ที่เน้นไปทาง ดราม่า ปรัชญา ขั้นสุดแต่มีบางจุดที่ทำให้เราไม่ได้ถึงจุดนั้นได้ดีเท่าไรครับ