Google ได้ทำการเปิดตัว Google Pixel 4 และ 4XL ที่จะแตกต่างกันเรื่องของหน้าจอและแบตเท่านั้นครับ ส่วนในตัวเครื่องนั้นเองสเปคต้องบอกว่าเรียบๆเลยไม่ได้มีอะไรว้าวมาก แต่ก็เน้นไปทางฟีเจอร์ Software Machine Learning แบบโหดสุดๆไปเหมือนเดิมและโดยเฉพาะกล้องครับ ส่วนทางด้านฟีเจอร์ Motion Sense ก็เป็นรุ่นแรกของโลกที่ใส่ Radar เข้ามาในการจับการเคลื่อนไหวครับแต่ก็ใช้ได้แค่บางประเทศเท่านั้น ในไทยก็ไม่รองรับครับ ส่วนของสเปคนั้นจะให้ Snapdragon 855 ไม่ได้ใช้ 855+ แต่อย่างใด มาพร้อม RAM 6GB, Storage 64GB / 128GB และ แบต 2800mAh (Pixel 4) / 3700mAh (Pixel 4 XL) พร้อมชาร์จไว 18W รวมถึง ลำโพงคู่อะไรยังให้มาเหมือนเดิมครับ และ กล้องหลัง 2 ตัวแล้วเป็นเลนส์เทเล ยังไม่มีมุมกว้างนะครับ และหน้าจอในรุ่นนี้จัดเต็มมาให้ 90Hz ด้วยเช่นกัน Quad HD+ OLED 19:9 + Corning Gorilla Glass 5 ส่วนรุ่นเล็กจะเป็น FHD
ที่เด่นๆนั้นคงจะหนีไม่พ้นเรื่องของกล้อง ที่มาพร้อมกล้อง 2 ตัวแล้วครับ แต่ก็ยังไม่มีมุมกว้างมาให้นะ ส่วนกล้องหลักความละเอียด 12MP (f/1.7)และเลนส์ Telephoto ความละเอียด 16MP (f/2.4)ช่วยในการซูมได้ดีขึ้น และยังใส่ ฟีเจอร์ Super Res ทำให้ได้รายละเอียดที่ดีกว่าเดิมครับ จากการประมวลผลของ Software และ ยังใส่ Learning-based white balancing ซึ่งจะเน้นไปทาง AI ที่จะให้สีผิวของคนไม่เพี้ยนแม้จะถ่ายในอาคาร ในไฟส้มๆ หรือ ในไฟสีฟ้าๆ หรือจะแสงเพี้ยนๆยังไงสีผิวคนก็จะตรงเหมือนเดิม ซึ่งยังคงใช้งานเน้นเรื่อง machine learning เยอะมากครับ และยังมี Live HDR+ ทำให้เราเห็นภาพที่จะได้จริงๆว่าถ่ายย้อนแสงแล้วออกมาแบบไหน พร้อมกับสามารถปรับ Dual Exposure ทั่งส่วนมืดและสว่างได้ก่อนถ่ายไม่ต้องรอลุ้นตอนถ่ายเสร็จครับ รวมถึงยังมีฟีเจอร์ที่ละลายหลังได้สวยงามขึ้น ทั้งคนและสิ่งของครับ และทำระยะได้แม่นยำกว่าเดิม ส่วนกล้องหน้านั้น 8MP ที่มีขนาดพิกเซล 1.22μm, (f/2.0), FOV 90°, ถ่ายวิดิโอ 1080p ได้ที่ 30fps
โหมดถ่ายกลางคืน Night Sight โหดกว่าเดิม สามารถเก็บดาวได้สบายๆและจัดการ Noise ได้ดีขึ้นและรองรับการถ่ายคนในที่มืดและเก็บท้องฟ้าโดยที่คนไม่โอเวอร์ด้วยครับ แม้แต่ถ่ายทางช้างเผือกก็ยังได้สบายๆแบบไม่ยุ่งยากไม่ต้องใช้โหมดโปรอะไรเลย รวมถึงสามารถถ่ายแบบลาก NightSight ได้นาน 4 วิถ้าใช้ขาตั้งครับ แต่น่าเสียายมากๆคือรอบนี้ใครที่หวังเก็บรูปเยอะๆนั้นทาง Google ไม่แจก ที่เก็บรูปใน Google Photos แบบเต็มความละเอียดฟรีแล้วครับจะเป็น คุณภาพปกติแทนที่จะใช้ได้ และให้ใช้งานตัว Google One 100 GB ให้ใช้งานฟรี 3 เดือนแทนอันนี้เสียดายมากๆจริงๆมันเป็นจุดเด่นเลยนะ
Pixel 4 นั้นใส่เซ็นเซอร์ เรดาร์เป็นเจ้าแรกของโลกที่ชื่อว่า Motion Sense ซึ่งติดตั้งอยู่ที่ขอบจอด้านบนที่หนาๆนั้นแหละครับ ต่อยอดจาก Project Soli Radar นั้นเองเพื่อตรวจจับสิ่งที่เคลื่อนไหว ทั้งการควบคุมต่างๆ เช่นในแอพพวก Spotify โบกมือเพื่อสั่งงานได้ รวมถึงการใช้งานพวกนาฬิกาปลุกปิดเสียง สายเข้า และ ยังใช้ในการปลดล็อคเครื่องแบบ 3 มิติ ได้อย่างรวดเร็ว ที่สุดในตอนนี้ครับ ซึ่งถือว่าเอามาต่อยอดได้ดีเหมือนกันในส่วนของฟีเจอร์นี้
*** แต่ฟีเจอร์ Motion Sense นี้ใช้ได้แค่บางประเทศ และในไทยใช้ไม่ได้ครับ ***
อีกจุดที่สำคัญคือแอพอัดเสียงแบบใหม่ที่สามารถอัดเสียงที่ต้องการไว้สำหรับฟังทีหลังได้ พร้อมๆกับอธิบายประเภทของเสียงในขณะเปิดฟังด้วย เช่น เสียงพูด เสียงปรบมือ เป็นต้น และสามารถค้นหาคำพูดหรือเสียงเฉพาะในไฟล์เสียงนั้นได้ด้วย ทั้งหมดนี้ไม่จำเป็นต้องต่ออินเตอร์เน็ตเลย แต่ในตอนนี้ฟีเจอร์นี้มีแค่ภาษาอังกฤษเท่านั้นภาษาอื่นจะตามมาในภายหลัง
สเปคของ Google Pixel 4 และ Pixel 4 XL
- หน้าจอของ Pixel 4 มีขนาด 5.7นิ้ว (2280 x 1080 พิกเซล) FHD+ OLED 19:9, 444 PPI, HDR support, ใช้กระจก Corning Gorilla Glass 5
- หน้าจอของ Pixel 4 XL มีขนาด 6.3นิ้ว (2960 x 1440 พิกเซล) Quad HD+ OLED 19:9, 537 PPI, HDR support, ใช้กระจก Corning Gorilla Glass 5
- ชิปเซต Octa-Core Qualcomm Snapdragon 855 7nm(Max 2.84GHz + 2.42Ghz + 1.8GHz) พร้อมการ์ดจอ Adreno 640
- RAM DDR4X 6GB, Storage 64GB / 128GB
- Android 9.0 (Pie)
- ซิมคู่ (nano + eSIM)
- กล้องหลัง 12.2MP ที่มี LED flash, ขนาดพิกเซล 1.4μm, (ƒ/1.7), FOV 77°, Dual PD auto focus, OIS, EIS, เลนส์เทเล 16 MP, ขนาดพิกเซล 1μm, (f/2.4), Spectral + flicker sensor, ถ่ายวิดิโอ 4K ได้ที่ 30 fps, ถ่ายวิดิโอความละเอียด 720p ได้ที่ 240 fps
- กล้องหน้า auto focus 8MP ที่มีขนาดพิกเซล 1.22μm, (f/2.0), FOV 90°, ถ่ายวิดิโอ 1080p ได้ที่ 30fps
- Active Edge
- กันน้ำและฝุ่น (IP68)
- ลำโพง Stereo, ไมโครโฟน 3 ตัว
- ขนาดตัวเครื่อง Pixel 4: 147.1 x 68.8 x 8.2mm; น้ำหนัก: 162g
- ขนาดตัวเครื่อง Pixel 4 XL: 160.4 x 75.1 x 8.2mm; น้ำหนัก: 193g
- 4G VoLTE, WiFi 802.11ac 2x2MIMO (2.4/5 GHz), Bluetooth 5 LE, GPS, USB Type-C Gen 1 , NFC
- แบตเตอรี่ 2800mAh (Pixel 4) / 3700mAh (Pixel 4 XL) พร้อมชาร์จไว 18W, ชาร์จแบบไร้สาย Qi wireless charging
มันจะมีให้เลือกในสี Just Black, Clearly White และรุ่นลิมิเตดในสี Oh So Orange โดยราคา Pixel 4 จะอยู่ที่ 799$(ประมาณ24,000บาท) ในรุ่น 6GB/64GB และ 899$(ประมาณ27,000บาท) ในรุ่น 6GB/128GB ส่วน Pixel 4 XL อยู่ที่ 899$(ประมาณ27,000บาท) ในรุ่น 6/64GB และ 999$(ประมาณ30,000บาท) ในรุ่น 6/128GB ซึ่งจะเริ่มวางขายในหลายประเทศในวันที่ 24 ตุลาคมนี้
ทาง Google ก็ได้เปิดตัวหูฟังแบบ true wireless ด้วยเช่นกันในชื่อ Pixel Buds โดยมันจะมีดีไซน์แบบ hybrid และเชื่อมบลูทูธได้ในระยะที่ค่อยข้างไกล อีกทั้งยังรองรับ Google Assistant ฯลฯ
โดยมันจะมีดีไซน์แบบเรียบง่ายเมื่อใส่เข้าที่หูแล้ว และสามารถเปลี่ยนตัวยางให้เข้ากับรูปหูของเราได้ และมีฟีเจอร์ adaptive sound ที่ปรับเสียงให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่มีเสียงดังหรือสภาพแวดล้อมที่เงียบได้โดยอัตโนมัติอีกด้วยยังไม่หมดแค่นั้นมันยังมีไมค์โครโฟนข้างละ 2 ตัวและมีฟีเจอร์ voice accelerometer ที่ตรวจจับการเสียงจากการสั่นของฟันกรามได้อีกด้วย และทำให้รับเสียงสภาพที่มีลมแรงได้ดีขึ้นด้วย รวมทั้งระยะการเชื่อต่อบลูทูธที่ไกลถึงหนึ่งสนามฟุตบอลเลยทีเดียว
นอกจากนี้มันยังสามารถสัมผัสเพื่อใช้งานต่างได้ ไม่ว่าจะเป็นการแตะเพื่อหยุดหรือเล่นเพลง, การปัดเพื่อเพิ่ม-ลดเสียง ส่วนของแบตเตอรี่มันสามารถใช้งานได้ 5 ชั่วโมงในการชาร์จครั้งเดียวและนานถึง 24 ชั่วโมงหากมีกล่องชาร์จไร้สายด้วย อีกทั้งมันยังกันน้ำและเหงื่อได้อีกด้วย
มันมีให้เลือกในสี Clearly White, Oh Soo Orange, Quite Mint และ Almost Black คล้ายๆกับเจ้า Pixel 4 เลยโดยตัวหูฟังมาในราคา 179$ (ประมาณ5,500บาท) โดยจะวางขายที่สหรัฐฯในปีหน้า