เร็วๆนี้นั้นทาง Oneplus ประเทศไทยได้ทำการเปิดตัว OnePlus 7T และ 7T Pro รวมถึง Mclaren ด้วยเช่นกันครับแน่นอนว่าในรุ่นที่เราจะมาพรีวิวกันก่อนเลยนั้นจะเป็นตัว 7T Pro ที่เหมือนจะเป็นการปรับปรุงเล็กๆจากรุ่นเดิม ทั้งเรื่องของสีแบบใหม่ และ แบตที่มากกว่าเดิม รวมถึงการชาร์จไวที่ไวกว่าเดิมครับ และ จุดเด่นหลักๆเลยคือการอัพเกรดมาใช้ CPU Snapdragon 855+ ที่ทำความเร็วได้ดีกว่าเดิมครับ และ ในเรื่องของการสแกนนิ้วนั้นก็ยังได้พัฒนาขึ้นด้วยครับ และแน่นอนว่าตัวแบรนด์ Oneplus เองนั้นต้องบอกเลยว่าเป็น Android ที่ทำได้ดีอันดับต้นๆทั้งเรื่องของระบบที่ลื่นไหล เสถียร และ อัปเดตที่ไวมากๆจากทาง Google เลยนั้นเองครับใครที่ติดตามค่ายนี้คงเข้าใจกันดีและในเร็วๆนี้จะมีศูนย์บริการเปิดด้วย ต้องบอกว่ามันจะน่าสนใจขึ้นเยอะครับที่ได้มี Android เทพๆมาให้ใช้งานกันในไทยแบบเป็นทางการและมีการรองรับทั้งเรื่องศูนย์บริการและการติดต่อต่างๆที่จะง่ายขึ้นเยอะเลยนั้นเองครับ

OnePlus 7T Pro มาพร้อมหน้าจอโค้งขนาด 6.67 นิ้ว Fluid AMOLED ความละเอียด quad HD+ และมี refresh rate 90Hz ซึ่งหน้าจอจะใช้กระจก Gorilla Glass 6 ส่วนของชิปเซต Snapdragon 855+ จะมี clock speed ที่มากกว่าเดิม ทำให้มีความประสิทธิภาพด้าน graphic เพิ่มขึ้น 15% ส่วนทางด้านของความจำมีแบบเดียวคือ Ram 8GB/Storage(UFS 3.0) 256GB กล้องหลังของมันมีด้วยกัน 3 ตัวประกอบด้วยตัวหลัก(เลนส์ Sony IMX586) 48MP +เลนส์ 8MP + เลนส์ ultra wide 16MP ส่วนกล้องหน้าจะเหมือนเดิมคือ 16MP ทางด้านของแบตเตอรี่จะมีความจุ 4,085mAh ที่มีเทคโนโลยี Warp Charge 30T ความเร็ว 30W ตัวเครื่องจะใช้เซนเซอร์สแกนนิ้วแบบ in-display แต่ตัวเครื่องจะไม่มีช่องใส่ microSD card และรูแจ็ค 3.5mm

  • มีจำหน่ายในไทยเพียงแค่รุ่นเดียวคือสีฟ้าธารน้ำแข็ง สี Haze Blue
  • OnePlus 7T Pro รุ่น Ram 8GB + Rom 256GB ราคา 26,990 บาท

UNBOX

ตัวกล่องนั้นใหญ่ขึ้นกว่ารุ่นเก่าและมาในแนวยาวๆครับ เปลี่ยนโทนสีแบบชัดเจนเปลี่ยนการออกแบบใหม่ทั้งหมด สีแดงเด่นเล่นกับตัวอักษรสวยงามเลยครับ และบอกชือรุ่นชัดเจน ทั้งด้านหน้าและด้านข้าง ส่วนอุปกรณ์ในกล่องนั้นมีมาให้คล้ายกับรุ่นเดิมทั้งหมดครับไม่ได้แตกต่างอะไรกับ 7 Pro ก่อนหน้านี้เลยครับยกเว้นของหัวชาร์จแบบใหม่นิดหน่อย

  • ตัวเครื่อง Oneplus 7T Pro
  • ตัวเคสใส TPU
  • ที่ชาร์จ WarpCharge 30T ไวกว่าเดิม 23%
  • สายชาร์จ Type-C
  • สติกเกอร์ คู่มือ และ ที่จิ้มซิม
  • ฟิล์มกันรอยติดมาให้เลยจากโรงงาน
  • ไม่มีหูฟัง และ ตัวแปลง3.5มม.

ตัวเคสที่แถมมานั้นยังคงทำได้คุณภาพดีเหมือนเดิมมีเขียนชื่อแบรนด์แปะไว้ขอบเครื่อง และ คลุมทั้งหน้าและหลังได้ดี แต่ด้านหน้านั้นจากที่รุ่นก่อนนั้นจะมีขอบป้องกันมุมทั้ง 4 ด้านมาให้แต่ในรุ่นนี้ด้วยการที่เป็นขอบจอโค้ง อาจจะทำให้การปกป้องนั้นไม่ได้ดีมากเท่ารุ่นก่อนๆ ส่วนด้านหลังก็ปกป้องตัวเครื่องได้ดีและในชิ้นเลนส์ก็ปกป้องได้ระดับนึง เมื่อดูเทียบแนวระนาบจะเห็นว่าตัวเคสนั้นสูงขึ้นจากหน้าจอไม่ได้เยอะมากแต่ก็กินเข้าไปในหน้าจอในระดับนึงก็ยังใช้งานได้ป้องกันได้ดีครับ ส่วนด้านหลังเลนส์กล้องก็นูนขึ้นมาพอสมควรจากระยะเลนส์ *เคสตัวนี้สามารถใช้กับ 7 Pro ได้เลย

DESIGN

ในด้านการออกแบบรุ่นนี้ถือว่ามีการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างชัดในด้านหน้าที่มีการพัฒนาขึ้นแต่ในด้านหลังนั้นอาจจะไม่ได้แตกต่างกับรุ่นก่อนหน้านี้เท่าไรการวางกล้องยังคงวางตรงกลางและเป็น  3 กล้องแนวยาว ฝาหลังนั้น ดีไซน์ไม่ต่างจากรุ่นก่อนหน้าครับยังคง เล่นกับแสงสีได้ดีมากฝาหลังนั้นจะดีไซน์แบบเดิมเลยครับ แต่แสงสีนั้นสว่างมากขึ้นสดใสมากขึ้น ส่วนหน้าจอนั้นเป็นแบบเต็มจอเต็มตาไม่มีติ่งเหมือนเดิมและในรุ่นนี้มาพร้อมกับหน้าจอขอบโค้งแบบเดียวกับ Oneplus 7 Pro ก่อนหน้าครับ ในครั้งนี้จะมีแค่รุ่นเดียวความจุเดียวครับ และมาพร้อมสีเดียวเท่านั้น

ทางด้านหน้าจอนั้นเป็นหน้าจอแบบเต็มตามาในชื่อ Fluid AMOLED ขอบโค้ง ซึ่งมีขนาด 6.67 นิ้ว ความละเอียด QHD+ รองรับ HDR10+ รีเฟรชเรท 90Hz ความหนาแน่นพิกเซล 516ppi อัตราส่วนหน้าจอ 19.5:9  และสว่างสูงสุด  800 NITS

ขอบด้านล่างหน้าจอตัวนี้ต้องบอกว่าทำได้บางมากๆเรียกได้ว่าบางเกือบจะเท่าขอบด้านอื่นๆแล้ว และในการคุมนั้นสามารถใช้งานแบบเต็มหน้าจอ หรือ เป็นปุ่มปกติได้ครับ  ในส่วนของสแกนนิ้วนั้นอยู่ตรงกลางด้านล่างหน้าจอ

ขอบหน้าจอด้านบนนั้นทำได้ค่อนข้างบางเป็นที่อยู่ของ ลำโพงสนทนา และ ลำโพงตัวที่ 2 และ เซนเซอร์ต่างๆแฝงไว้ตรงขอบหน้าจอ ส่วนเรื่องไฟแจ้งเตือนนั้นไม่มีแล้วนะครับ จะใช้เป็นไฟแจ้งเตือนตรงขอบข้างหน้าจอแทนที่เป็นส่วนโค้ง

ในส่วนของกล้องหน้านั้นเป็นแบบ PopUp ความละเอียด 16MP ที่ซ่อนอยู่ในตัวเครื่อง ใช้เวลาเรียกใช้งานค่อนข้างไวมากๆและรองรับการใช้งานมากกว่า 3 แสนครั้ง รวมถึงมีทดสอบความแข็งแรงกันอีกมามากพอสมควร และมีระบบเก็บอัตโนมัติถ้าทำหล่นครับ

ตัวขอบเครื่องด้านบนจะเห็น รูไมค์อีกตัว และรวมถึงกล้อง PopUp ที่ซ่อนอยู่ตรงส่วนนี้ วัสดุขอบเครื่องเป็นแบบเงาทั้งหมด แต่มีการไล่เฉดสีที่แตกต่างกัน และจะเห็นว่าสีนั้นจะใช้โทนสว่างกว่ารุ่น 7 Pro ครับ

ฝั่งขอบด้านซ้ายตัวเครื่องตัวนี้จะเป็นปุ่ม เพิ่ม-ลดเสียงเท่านั้นและ ส่วนขอบเครื่องก็มีการเล่นสีเช่นเดียวกันกับอีกฝั่ง

ขอบด้านขวาของตัวเครื่องนั้นจะเห็นถึงความโค้งทั้งหน้าและหลังของตัวเครื่องและกระจกหน้าจอและฝาหลังที่โค้งรับมือได้ดี และมีการไล่เฉดสีของตัวเครื่องด้วย และจุดนี้สีก็แตกต่างกับทาง 7Pro เช่นกันครับจะสว่างและอมฟ้าขึ้น ส่วนปุ่ม Power และ สวิทช์ เลื่อนเสียง นั้นยังมีมาให้อยู่ฝั่งนี้ทั้งหมด

ขอบเครื่องส่วนล่างนั้นเป็นที่อยู่ ของถาดซิมแบบ Dual sim  รูไมค์ และ ช่องชาร์จแบบ USB-C รวมถึง ลำโพงหลักของตัวเครื่องและในรุ่นนี้มีลำโพงคู่ ทำงานร่วมกันกับด้านบนนั้นเอง ถาดซิมแบบ  Dual Nanosim นะครับ

ด้านหลังนั้นยังคงมีการออกแบบที่เหมือนเดิม แต่ย้ายตัวโฟกัสออกมาข้างนอกครับ นั้นใช้วัสดุกระจกแต่มีการทำให้เป็นวัสดุแบบด้านเล่นกับแสงสีได้ค่อนข้างดี และโทนฟ้าเข้ามามากขึ้น สว่างและสดใสมากกว่าเดิมเยอะ รวมถึงการจัดวางตำแหน่งกล้อง 3 ตัว ตรงกลางนั้น พร้อมกับโลโก้ Oneplus ฝาหลังนั้นโค้งลงมุมทั้ง 2 ข้างทำให้จับได้ค่อนข้างถนัดและถือได้ง่ายแม้จะมีเครื่องที่ค่อนข้างใหญ่

กล้องหลังในรุ่นนี้มาพร้อมกันทั้งหมด 3 ตัว ซึ่งเป็น ตัวหลัก 48 ล้านพิกเซล F1.6  OIS กล้องตัวรองนั้น 8 ล้านพิกเซล, 3x เลนส์ telephoto, f/2.4, OIS และ กล้องมุมกว้าง 16 ล้านพิกเซล เลนส์ ultra-wide ที่มีการเล่นลวดลายตรงขอบกล้องบนล่าง เป็นวงล้อมรอบ และในรุ่นนี้มาพร้อมกับกันสั่น OIS ถึง2 ตัวเลยทีเดียวครับ และจุดแตกต่างเดียวเท่านั้นของรุ่นนี้ที่จะแยกได้ง่ายๆคือ ด้านข้างๆกล้องที่ย้ายออกไปนั้นจะเป็นพวกเซนเซอร์ต่างๆในการโฟกัสนั้นเอง

SPEC

  • หน้าจอ Fluid AMOLED ขนาด 6.67 นิ้ว ความละเอียด QHD+ (3120 x 1440) รีเฟรชเรท 90Hz
  • CPU  Qualcomm Snapdragon 855+ (เร็วขึ้นกว่ารุ่นก่อน 15%)
  • RAM  8GB
  • ความจุ  (UFS 3.0) 256GB ไม่รองรับ MicroSD Card
  • กล้องหลัง  เลนส์หลัก 48MP (f/1.6), เลนส์ซูมออพติคอล 3x ความละเอียด 8MP (f/2.4), OIS + เลนส์ Ultra-wide angle 117 องศา ความละเอียด 16MP (f/2.2) ย้ายตำแหน่ง Laser Focus มาด้านนอก 
  • กล้องหน้า 16MP (f/2.0)
  • ระบบเสียง  ไม่มีรูหูฟัง 3.5 มม., ลำโพงคู่สเตอริโอ, Dolby Atmos
  • สแกนนิ้วมือบนหน้าจอ
  • แบตเตอรี่ขนาด 4,085 mAh รองรับระบบ Warp Charge 30T (เร็วกว่ารุ่นก่อนถึง 23%)
  • รันด้วยระบบปฏิบัติการ Android 10 ครอบทับด้วย Oxygen OS 10 เวอร์ชั่นล่าสุด
  • สีใหม่ Haze Blue มาไทยสีเดียวเท่านั้นครับ*

PERFORMANCE 

ประสิทธิภาพของตัวเครื่องตัวนี้พกพาความแรงระดับสูงอยู่แล้วด้วย Snapdragon 855 + ที่แรงกว่าเดิม พร้อมกับ RAM 8GB และใช้งานหน่วยความจำแบบ UFS 3.0 ตัวนี้คือเร็วมากๆ และทำคะแนนในส่วนของ Antutu ไปได้ 393266 คะแนน และ Geekbench ได้ไป 771/2761 รวมถึงหน่วยความจำอ่านเขียนไปได้สูงมากๆ ทำความเร็วไปได้ 1,429 MB/s และ DRM L1

SOFTWARE UI

Android 10  ที่ครอบด้วย Oxygen OS 10 และหลายๆคนคงทราบกันดีกว่าแบรนด์ OnePlusมักจะได้รับการอัพเกรดซอฟแวร์เร็วเป็นอันดับ 2 เป็นรองแค่ Google เท่านั้น และซัพพอร์ตยาวๆเป็นเวลา 2 ปี ซึ่งตลอด 2 ปีนี้จะได้รับการอัพเกรดใหญ่ๆทั้งหมด (จะอัพเกรดไปถึง Android 11 และ Android 12) และได้รับการอัพเกรดด้านความปลอดภัยไปอีก 3 ปี เป็นรุ่นที่ทำระบบมาค่อนข้างดีมากๆและใช้งานได้ดีอันดับต้นๆของ Android การแจ้งเตือนอะไรทำได้ไวและไม่เจอหน่วงเลย

แน่นอนว่าลากลงมา 1 ครั้งเจอตั้งค่า ลากลงมาอีกรอบก็ เหมือนรุ่นอื่นๆที่ใช้ Android และยังคงหน้าตาแบบเดียวกับทาง 7Pro ก่อนหน้าที่เรารีวิวไปครับผม สำหรับการแบ่งหน้าจอนั้น ยังคงทำได้เช่นเดิม สามารถกดเข้าหน้าเคลียร์แอพและกด 3 จุดมุมขวาบนได้เลยครับ แต่มันเปลี่ยนโทนสีได้เลยเลือก ดำแดง ก็สวยเข้มดีครับ เปลี่ยนรูปทรงไอคอนได้ด้วยนะ

ตัวระบบ ใช้งานได้ 228 ครับ และ RAM 8 GB ใช้ไป 4.8 GB โดยเป็นการนับเฉลี่ย 1 วันที่แอดมินใช้งานปกติครับผม  สำหรับทางแป้นพิมพ์ ตัวนี้ใช้ของ G board อันนี้แอดมินชอบสุดละตัวนี้ เรียบสวยและสเถียรมากๆ

ไฟแจ้งเตือนสามารถเปลี่ยนสีได้ครับ และการใช้งาน Gesture นั้นยังคงมีมาให้ครบครัน ทั้งถ่ายหน้าจอ เคาะเปิดเครื่อง วาดตัวอักษรต่างๆและพลิกเพื่อเงียบ ในส่วนของปุ่มนำทางสามารถใช้งานแบบเต็มจอได้ หรือจะสลับปุ่มก็ได้ด้วยครับ เปลี่ยนได้หมด และ เปิดกล้องอย่างเร็ว ท่าทางแถบเลื่อนด้านขวานั้นสามารถปรับได้ทั้งหมด  การสแกนนิ้วนั้นสามารถเข้าใช้งานด่วนได้ด้วยว่าแตะค้างแล้วลากเข้าแอพได้สบายๆครับ

ส่วนแถบนำทางนั้นจะมีทั้งหมด 3 แบบคือ แบบ 3 ปุ่มปกติ / แบบ Android 10 / และแบบ Gesture ล้วนครับผม  หหน้าจอนั้นรองรับการปรับแต่ง Hz ได้รวมถึงความละเอียดและโทนสีของภาพครับ และในรุ่นนี้สามารถปรับแต่งธีมได้เยอะมาก ทั้งตัว ธีมสีหลัก ธีมสีรองตามตัวอักษร หัวข้อต่างๆเปลี่ยนได้ตามใจเราเลย อีกทั้งยังเปลี่ยนรูปทรงของแอพ และ ไอคอนได้อีกด้วยครับถือว่ารองรับการปรับแต่งที่หลากหลายขึ้นเยอะและไม่น่าเบื่อด้วยเช่นกันแต่ยังคงมาในแนวเรียบๆไม่ได้มีพวกตัวการ์ตูนอะไรพวกนั้นครับ

โหมดเล่นเกมนั้นจะแยกแอพแล้วไปเป็นชื่อ GAME SPACE แต่ฟีเจอร์หลักๆก็มีมาให้เช่นเดิม และมี Fnatic Mode เหมือนเดิมครับสามารถเปลี่ยนตั้งค่าการแจ้งเตือนอะไรได้ทั้งหมดเลย รวมถึงปรับกราฟิกให้เหมาะสมลื่นๆได้ด้วย

SCREEN

หน้าจอยังคงทำได้ดีและหน้าจอตัวเดียวกับรุ่น 7 Pro จริงๆมันก็ดีอยู่แล้วนะไม่แปลกที่จะไม่ได้ไปยุ่งอะไรในจุดนี้ครับ มาพร้อมกับ 90Hz AMOLED QHD+  ขนาด 6.67 นิ้ว ขอบจอโค้ง อัตราส่วนหน้าจอ 19.5:9 ความละเอียด QuadHD+ 3,120×1,440 พิกเซล (516ppi) รองรับ HDR 10+ รีเฟรชเรท 90Hz  สัดส่วนพื้นที่หน้าจอ 93.22% และ ไม่มีติ่งหน้าจออะไรทั้งนั้นมาพร้อมกับความสว่างสูงสุด 800 NITS การใช้งานความสดของสีทำได้ดี ดำก็สนิทเข้มสู้แสงได้สบายด้วย พร้อมกับสแกนนิ้วมือใต้หน้าจอ และ Always On ก็มีมาให้ใช้งานครับ

ส่วนเรื่องมุมมองข้างๆนั้นต้องบอกว่าทำได้ดีเหมือนกันด้วยความที่เป็นจอ AMOLED แล้วนั้นทำให้มุมมองที่ได้นั้นค่อนข้างคลอบคลุมได้ดีและมองได้ชัดเหมือนมองตรงๆไม่เจออาการเพี้ยนอะไรครับ แต่ถ้าใครการปรับเปลี่ยนจาก 60Hz มาเป็น 90-120 ที่ได้สัมผัสด้วยตัวเองนั้นต้องบอกว่ามันมีความแตกต่างกันแบบชัดเจนยิ่งใครใช้จอ 60 แล้วปรับมาเป็น 90 จะชอบและติดใจมากๆครับ คือแค่เลื่อนหน้าฟีดก็แตกต่างแล้วไม่ต้องเล่นเกมดูหนังอะไรครับกดเลื่อนดูรูปก็ลื่นแล้ว เป็นอีกจุดที่หลายๆคนไม่ควรมองข้ามเลยครับ 90Hz ทำให้เรากลับไป 60Hz ไม่ได้แน่ๆ และด้วยเหตุนี้ Oneplus เลยทำหน้าจอใส่ทุกรุ่นทั้ง  7T 7T Pto แล้วนั้นเอง ส่วนการสัมผัสก็ทำได้ติดนิ้วไวไม่มีปัญหาอะไรตัวนี้มีฟิล์มติดกันรอยมาให้เลยจากโรงงานรองรับการใช้งานสแกนนิ้วอะไรได้ปกติเลยครับ และรู้สึกว่าคุณภาพฟิล์มมันดีกว่าตอน 7 Pro นิดหน่อยนะ

ไฟแจ้งเตือนขอบข้างๆซึ่งจะแจ้งเตือนเวลาปิดจอแล้วบอกว่าแอพไหนรวมถึงมีข้อความขึ้นมาครับ แต่ที่น่าเสียดายคือเมื่อเปิดจอมันจะไม่ทำงานและ เมื่อปิดจอนั้นจะแจ้งเตือนแค่ครั้งเดียวครั้งแรกเท่านั้นถ้าส่งมาหลายๆข้อความก็จะไม่มีไฟแจ้งเตือนแบบในภาพแล้วนั้นเอง ต้องเว้นระยะไว้หน่อยหรือถ้าส่งติดกันอาจจะไม่ได้โชว์ต่อเนื่องครับ สามารถเปลี่ยนสีไฟได้หลากหลายนะ แต่แอบเสียดายว่ามันยังไม่ได้พัฒนาลูกเล่นจากรุ่นก่อนหน้าเท่าไรเลยครับในจุดนี้

Ambient Display คือหน้าจอนั้นจะมีการติดแบบขาวดำ และ จะมีสีในตัวเลข 1 สีแดงเป็นเอกลักษณ์ครับ จะแจ้งเตือน เวลา ข้อความ และ ไอคอนการแจ้งเตือนต่างๆ และ วันที่ครับ สามารถเปลี่ยนหน้าตาได้ 4 แบบหลักๆตามที่แจ้งไว้ในส่วนของ Software เลย จะเปลี่ยนหน้าตานาฬิกา การวางเป็นหลักครับ และสามารถตั้งข้อความพิเศษได้ และ ตั้งได้ว่าจะให้ติดตอนแตะหน้าจอ หรือจะติดตอนยกมือถือครับผม แต่ติดตลอดเวลาไม่ได้นะครับในตัวนี้

การสแกนนิ้วแอบเปลี่ยนด้วย ! เพราะใช้เทคโนโลยีที่ใหม่ขึ้นและทำได้ดีกว่าเดิมทั้งในเรื่องของความไวและตัวระบบนั้นจะใช้แสงสีขาวสว่างมากๆแบบเดียวกับที่เราเห็นใน OPPO รุ่นล่าสุดครับทำงานได้ไวและแม่นกว่าเดิม และในรุ่น 7 Pro นั้นจะเป็นแสงสีเขียวอยู่อันนี้ก็ถือว่าเป็นจุดที่เปลี่ยนจากรุ่นเดิมแต่น้อยคนนักที่จะทราบกันนั้นเองครับ

SOUND

ส่วนเสียงผ่านหูฟังจากที่ได้ลองนั้นต้องบอกว่าเสียงมันไม่ได้มีความแตกต่างกับรุ่นก่อนหน้านี้เท่าไรนักพอๆกับตัว Oneplus 7 Pro แบบเดียวกันเป๊ะๆเลยแหละถ้าเทียบกับหูฟังและตัวแปลงเดียวกันนะ ขับเสียงทั้งหลายย่านก็ทำออกมาได้ดี แม้รายละเอียดจะไม่มากนัก แต่ตัวเสียงมี Software ปรับ ชนิดหูฟัง ปรับ EQ ได้ครับ และ ตั้งค่าได้นิดหน่อย เหมาะสำหรับ ฟังสนุกได้ ไม่ซีเรียสเรื่องคุณภาพมากนัก  ฟังเพลงทั่วไปสบาย ดูหนังได้สบาย ส่วนระบบเสียงแบบไร้สายนั้นก็รองรับการปรับ EQ ได้ด้วยนะครับแบบในภาพเลยและยังมีระบบเสียง Dolby เข้ามาช่วยในการฟังเพลงดูหนังต่างๆทำได้ดีขึ้นแต่ทั้งหมดมนี้ก็เป็นการปรุงแต่งผ่านทาง Software เป็นหลักอยู่ดีครับเลยไม่ได้โหดมากนัก

SPEAKER 

ในด้านของลำโพงในรุ่นนี้เมื่อเอามาเทียบกับ Oneplus 7 Pro รุ่นก่อนหน้าต้องบอกเลยว่ามันเหมือนกันทุกประการ ทั้งเรื่องของความดัง มิติเสียง ความกังวาล ทุกอย่างเหมือนกันหมดเลยนั้นเองครับถือว่าใครถือรุ่นเก่าอยู่สบายใจได้ในด้านของลำโพงนั้นไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงเลย เอาจริงๆรุ่นก่อนก็ยังคงทำได้ดีไม่ได้เสียหายอะไรในจุดนี้ครับ ยังคงทำได้ดีในเรื่องของความดัง มิติเสียง และ ลำโพงคู่ที่ให้มาครบๆในรุ่นนี้ครับ แต่ความดังสะใจอาจจะยังไม่สุดมากนัก

GPS

การนำทางค่ายนี้ทำได้ดีมาตลอดที่ทดสอบมาไม่เคยเจอตัวไหนที่ให้บ่นเลยนะ และเช่นกันว่าในตัวนี้ยังคงไว้ใจได้ครับในเรื่องนี้นำทางได้สบายมากแม่นเอาเรื่องทำได้ดีขึ้นทางด่วนลงอุโมงค์ไม่เด้งไปไหนครับ ทดสอบตอนรถวิ่ง ก็จับได้ 23 ถือว่าอยู่ในระดับที่ใช้งานได้ดีเลย และกลางแจ้งจับได้ 45 เลยทีเดียวครับ  และในที่ร่มนั้นได้ 19ครับ ระยะเวลาในการจับหลังจากเปิด แอพนั้นใช้เวลาไวมากครับ อันนี้ ไม่หน่วงหรือ รอเลยหลังจากเปิดแอพ ไม่มีปัญหาใดๆ

WARPCHARGE 30T + 4080 MAH

แบตในครั้งนี้จัดมาให้มากกว่าเดิมนิดหน่อย จาก 4,000 mAh เป็น 4,085 mAh ครับแน่นอนว่าไม่ค่อยแตกต่างกันเท่าไรในแง่ของการใช้งานในภาพรวมครับ แต่ที่เด่นๆคือการชาร์จไวที่ไวกว่าเดิมพอสมควรเลย ส่วนความอึดของแบตนั้นทดสอบนั้น ใช้งานทั้งวันตามภาพด้านบน นั้นอยู่ได้ 12 ชั่วโมง แบตเหลือ 25 ครับ จอเปิด 5 ชั่วโมงกว่า ใช้งาน เฟส กล้อง วีดีโอ ฟังเพลง GPS ครับผม ถือว่าทำได้กลางๆ และ เปิด 4G ไว้ตลอด แอบมีเล่นเกมนิดหน่อย ส่วนถ้าใช้ทั่วๆไปไม่เล่นเกมนั้นจะได้ 14 ชั่วโมง จอเปิด 6 ชั่วโมงครับ ก็ถือว่าดูดีกว่าเดิมเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้อึดมากครับ

การชาร์จแบบใหม่ WarpCharge 30T เติมT เข้ามาเคลมกันว่าไวขึ้น 23% เลยมาลองกันนิดนึงครับ ส่วนการจ่ายไฟเข้า 5V/6A ที่ต้องใช้หัวชาร์จ และ สายชาร์จของมันที่มาในกล่องเท่านั้น  ยังใช้สเปคเดิมครับ ทางเราจึงได้ทำการทดสอบในการใช้งานชาร์จแบตดูกันเลยว่าจะใช้เวลาเท่าไรและเต็มภายในกี่นาที จากที่ทดลองนั้นต้องบอกว่า ใน 20 นาทีสามารถชาร์จได้ 39% และแบตเต็มภายใน 1 ชั่วโมง 7 นาทีเลยครับ ถือว่าเทียบกับความจุแบต 4,085 mAh นั้นถือว่าทำได้ค่อนข้างไวระดับนึงเลยเพราะแบตก็ให้มาเยอะกว่ารุ่นก่อนด้วยครับ ส่วนความไว ถ้าหากใครจำกันได้ 20 นาทีนั้นจะทำได้ดีกว่า 7 Pro ชัดเจน และไวกว่าถึง 13 นาทีในภาพรวม

  • ของรุ่น 7T Pro ใน 20 นาทีสามารถชาร์จได้ 39% และ เต็มภายใน 1 ชั่วโมง 7 นาที
  • ของรุ่น 7 Pro ใน 20 นาทีสามารถชาร์จได้  31% และ เต็มภายใน 1 ชั่วโมง 20 นาที่ 

GAMING 

เรื่องของการเล่นเกมส์รุ่นนี้ต้องบอกเลยว่าเหมาะมากๆ เรียกได้ว่าเป็นมือถืออันดับต้นๆของ Android ที่เล่นเกมได้ลื่นมากๆอีกหนึ่งรุ่นเลยก็ว่าได้ เล่นเกมส์ไหนกราฟิกปรับสุดสุดขนาดไหนก็ลื่นๆเเน่นอน นอกจากนั้นในรุ่นนี้ยังมาพร้อมกับหน้าจอแบบ 90Hz ที่หายากเเละมีไม่กี่รุ่นเท่านั้น ลำโพงคู่ Dolby Atmos จะทำให้เล่นเกมได้มันยิ่งขึ้น รายละเอียดมิติดี เเยกซ้ายขวาได้ชัดเจน นอกจากนั้นยังมาพร้อมกับระบบสั่นที่ดีขึ้น เเละสมจริงมากกว่าเดิม ส่วนของความร้อนเท่าที่ทดสอบตัวเครื่องสูงสุดจะอยู่ประมาณ 43 องศา เท่าที่ลองทดสอบ ข้อดีรุ่นนี้ตัวเครื่องก็ยังลื่นไหลเหมือนเดิม นอกจากนั้นแบตเตอรี่ทดสอบ 30 นาที กินแบตไป 10% ถือว่าค่อนข้างกินเเบตพอสมควร อีกทั้งในรุ่นนี้ยังมาพร้อมกับพอตร์ต USB 3.1 ที่สามารถเสียบขึ้นกล่องสตีมเกมผ่าน OBS ได้อย่างสบายๆ เอาเป็นว่าใครที่ชอบเล่นเกมส์ดูรุ่นนี้เอาไว้ไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน

CAMERA 

สำหรับกล้องตัวนี้ ยังคงใช้งานกล้องแบบเดียวกับ 7Pro ทุกอย่าง แต่มีการขยับตำแหน่งอะไรนิดหน่อย และมาพร้อมกล้อง 3 ตัวด้านหลัง หลักๆนั้นเป็น กล้องหลัง ความละเอียด 48 ล้านพิกเซล เซนเซอร์ Sony IMX586 พร้อมกับ รูรับแสงกว้าง f/1.6 พร้อมระบบลดการสั่นไหวแบบ OIS ที่ใส่เข้ามาให้ และตัวที่ 2 นั้น  ระยะซูม 3x Optical Zoom ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.4 มี OIS ด้วยเป็น ทั้งหมด 2 เลนส์เลยสำหรับ OIS กันสั่น และอีกตัวนั้นเป็น กล้องเลนส์มุมกว้าง Ultra-wide 117 องศา รูรับแสงกว้าง f/2.2 ไม่มี AutoFocus นะครับ และใช้ระบบโฟกัส PDAF, CAF และ Laser และ มีโหมด Super Macro เข้ามาให้ด้วยระยะ 2.5 เซนติเมตรครับ และ กล้องก็พัฒนาขึ้นทั้งโหมดกลางคืนต่างๆแต่ที่ลองมันยังเจอ Shutter Lag แบบรู้สึกได้พอสมควรครับ

PORTRAIT 

SELFIES

ส่วนกล้องหน้านั้น เป็นกล้องหน้า 16MP  Sony IMX471 พร้อมกับ รูรับแสง f/2.2 Fixed Focus แบบ PopUp ที่รองรับการถ่าย Portrait อะไรได้ปกติครับ และมีแต่งแสง หน้าเนียนมาให้ครบครันเช่นเดิม ในการถ่ายวีดีโอกล้องหน้านั้นจะรองรับการถ่ายที่ FHD เท่านั้นครับและมุมภาพอาจจะแคบนิดหน่อย ส่วนโทนภาพในกล้องหน้านั้น ทำได้ค่อนข้างดีทั้งในสภาพแสงน้อยและกลางวันสีตรงอยู่เหมือนกันแต่เรื่องของความใส เนียนอาจจะไม่ได้เยอะมากครับ

VIDEO 

งานวีดีโอนั้นทำได้ดีขึ้นแบบชัดเจนทั้งเรื่องของการกันสั่นและฟีเจอร์ที่แทรกเข้ามาเพิ่มรวมถึงการรองรับนั้นยังคงทำได้สูงสุด 4K 60FPS ในส่วนของกล้องหลัง และ รองรับการถ่ายวีดีโอมุมกว้างแล้ว รวมถึง โหมด Super Stable ด้วยเช่นกันครับ และในครั้งนี้ก็เป็นการอัพเกรดที่ฟังเสียงผู้ใช้งานได้ดีจริงๆ แต่กล้องหน้านั้นน่าเสียดายว่ายังรองรับแค่ FHD และไม่มีพวก Beauty อะไรมาให้ครับ โดยรวมนั้นงานวีดีโอทำงานได้ดี กันสั่นทำได้ดีจริงๆ รองรับทั้ง OIS EIS และกันสั่นเทพก็ใส่เข้ามาแล้วในตัว FHD ส่วนเรื่องไมค์พอใช้ได้อาจจะไม่ได้โหด หรือมีฟีเจอร์อะไรเยอะครับ ส่วนตัวคุณภาพสีสันต่างๆนั้นทำได้สมจริงและแม่นพอสมควร แม้จะมีดันสีสดบ้างในโทนสีเขียวบางช่วงครับ ส่วนกล้องหน้านั้นมุมจะแคบไปมากพอสมควรและไม่มีหน้าเนียนหรือ 4K มาให้อันนี้แอบเสียดายมากๆ

ONEPLUS 7T PRO

“อัพเกรดแบบเล็กน้อย คนถือรุ่นเก่ายังไม่แตกต่างมากนัก แต่ลงตัวขึ้นสำหรับคนใช้ใหม่ !”

ถือว่าเป็นรุ่นออกมากระตุ้นตลาดปลายปีอัพเกรด CPU ขึ้นมาแรงขึ้น และใช้งานแบต ชาร์จไวที่ไวขึ้นรวมถึงสแกนนิ้วที่ดีกว่าเดิมแน่นอนว่ามันอาจจะเป็นการอัพเกรดเล็กๆน้อยๆแต่ก็ทำให้มันลงตัวขึ้น สำหรับคนที่จะซื้อใหม่ที่ไม่เคยใช้มาก่อนอะไรแบบนั้น มากกว่าจะเน้นไปที่คนใช้รุ่น 7 Pro และอัพมานั้นเองครับรุ่นนี้จึงตอบโจทย์สำหรับคนที่ยังไม่เคยลอง และอยากลองหรือหามือถือใหม่มาใช้งานหรือคนใช้ 6-6T ก็สามารถอัพมารุ่นนี้ได้แบบคุ้มๆและเจอความแตกต่างกันเยอะครับ ทั้งในเรื่องหน้าจอ แบต ชาร์จไฟ และทุกๆอย่างรวมถึงการออกแบบนั้นมันยังคงทำได้ดีระดับแนวหน้าของAndroid และยิ่งพูดถึงตัวระบบมันดีมากๆจริงๆ ซึ่งตัวแบรนด์ก็ทำได้ดีในการลุยตลาดมาเรื่อยๆ แต่ที่น่าเสียดายคงจะเป็นการรองรับในหลายๆอย่างที่ยังไม่สมกับเรือธงมากนัก ทั้งกันน้ำ ชาร์จไร้สายอะไรพวกนี้ถือว่าน่าเสียดายครับ และ มันไม่ได้แต่ตากกับ 7 Pro ซักเท่าไรยิ่งตัวการออกแบบก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงเลยนั้นเอง

ข้อดี

  • หน้าจอยังคงทำได้ดีสวยงามและลื่นไหลเช่นเดิม
  • Oxygen OS ยังคงทำได้ดีและลื่นไหล อัพเดทไว
  • ระบบสแกนนิ้วเปลี่ยนแปลงจากรุ่น 7 Pro และทำได้ดีขึ้น
  • ระบบชาร์จไวที่พัฒนาขึ้นทำได้ดีกว่าเดิม
  • วัสดุงานประกอบ คุณภาพ รวมถึงสีสันแบบใหม่สวยและสดใสขึ้น
  • กล้องหลังแม้จะเป็นแบบเดิมแต่ก็พัฒนาด้าน Software ที่ลงตัวขึ้น
  • การถ่ายวีดีโอมีโหมด Super Stable เข้ามาให้ใช้งาน

ข้อสังเกต

  • ในภาพรวมนั้นจุดแตกต่างอาจจะน้อยเมื่อเทียบกับ 7Pro หลังอัปเดตล่าสุด
  • ระบบเสียงอะไรไม่ได้แตกต่างกับรุ่นเดิม
  • ยังคงไม่มี กันน้ำ หรือ ชาร์จไร้สาย

สำหรับรีวิวนี้ผมก็ต้องขอตัวลาไปก่อนสำหรับรุ่นอื่นๆก็ติดตามกันได้เลย ถูกใจฝากกดไลค์กดแชร์ด้วยนะครับ  มีข้อผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ  เพื่อนๆสนใจอยากให้พวกผมรีวิวรุ่นไหนสามารถ Inbox มาบอกเราได้เลยนะ

ฝากไลค์เพจ FACEBOOK เราด้วยนะครับ >>>>>>>>>  TECHHANGOUT

เข้าร่วมกลุ่ม TECHHANGOUT พูดคุยแลกเปลี่ยน ข้อมูล คุยกันเองชิลๆได้เลยที่ — Facebook  Techhangout พูดคุย Smartphone gadget 

Review by Nineztr 

*รูปถ่ายจากกล้องมือถือทุกรูป ไม่มีการปรับแต่ง และ สามารถกดดูไฟล์เต็มแบบต้นฉบับได้นะครับ