ACER SWIFT นั้นเป็นตระกูลที่บางเบาของค่าย และเป็นรุ่นที่จัดเต็มในเรื่องของวัสดุความเบาบางพกพาครับมีทั้งรุ่น 1-3-5-7 แตกต่างกันในเรื่องของสเปคหน้าจอต่างๆกันทั้งหมดเลย และในปีนี้ SWIFT 3 ก็ได้มีการอัพเกรดในส่วนของ CPU รุ่นใหม่ทั้งหมดจากทาง AMD ครับเป็น Ryzen 5 ตัวใหม่ที่มาพร้อม 7nm และใช้ตัว 4500U ตัวล่าสุดที่มาพร้อมกับ Radeon RX VEGA 6 ครับ ถือว่าน่าสนใจแม้ว่าจะไม่มีการ์ดจอแยก แต่บอกเลยว่าประสิทธิภาพตัวนี้การ์ดจอเดิมๆก็สามารถทำได้ดีกว่าที่คิดเยอะมากและไม่แพ้การ์ดจอแยกอีกทั้งได้เรื่องประหยัดไฟและประสิทธิภาพที่ดีขึ้นครับ และในเรื่องหน้าจอยังคงเป็นหน้าจอ 14 นิ้ว IPS FHD พร้อมกับ RAM 8 GB และมาพร้อม SSD 512 GB ด้วยครับ
ACER SWIFT 3 ในรุ่นนี้เป็นการใช้งาน CPU AMD Ryzen 5 4500U เป็นตัวล่าสุดที่เปิดตัวมาพร้อมกับเทคโนโลยีการผลิตที่ 7nm ความเร็ว 2.30 – 4.00 GHz แบบ 6 Core/ 6 Thread และ L3 Cache ที่ 8MB (TDP) ที่ 15W ในส่วนของการ์ดจอเป็นตัวที่มากับ CPU คือตัว AMD Radeon RX VEGA 6 DDR4 ขนาด 512MB (แชร์แรมกำลังดีครับ แต่สามารถปรับเพิ่มได้เองเพราะ Wins10 มีระบบจัดการให้เองเลย อัตโนมัติครับ) และในตัว RAMนั้นมาพร้อมกับ 8GB DDR4 Bus 3200MHz และ SSD M.2 NVMe PCIe ความจุ 512GB ถือว่าสเปคอะไรนั้นจัดเต็มอย่างมากเมื่อเทียบกับสเปคเดิมของมันและได้อะไรที่แรงขึ้น พร้อมกับหน้าจอ 14 นิ้ว FULL HD IPS ที่รองรับการใช้งานสามารถกางได้สูงสุด 180 องศากันเลยทีเดียวครับ และทางด้านระบบนั้น Windows 10 และยังได้ตัวโปรแกรม Microsoft Office Home & Student 2019 มาให้ใช้งานกันในตัวเลย
Acer Swift 3 จะมีตัวเลือก AMD Ryzen 5 4500U / Ryzen 7 4700U และ ใช้งานการ์ดจอ Onboard เป็นตัว Radeon RX VEGA 6 / 7 มีราคาที่ 22,990 – 25,990 บาท ครับ ประกัน 2 ปีส่งศูนย์บริการปกติ แต่พิเศษคือตัว สเปก Ryzen 7 จะได้ 3 ปี ซึ่งในปีแรกจะได้เป็น On-site Service นั้นเองที่แตกต่างกันครับผม
UNBOX
- ตัวเครื่อง ACER SWIFT 3
- คู่มือ และ รับประกัน
- สายชาร์จ และ Adaptor
DESIGN
ทางด้านการออกแบบในรุ่นนี้จะเน้นในเรื่องของความเรียบๆครับ โทนสีเดียวทั้งเครื่องพร้อมวัสดุโลหะทั้งเครื่องถือว่าทำเรื่องผิวสัมผัสได้ดี และยังทำได้ดีในเรื่องของความบางและเบาของเครื่องแม้จะใช้วัสดุแบบนี้ อันนี้ถือว่าชอบมากๆครับในเรื่องการพกพา ส่วนการใช้งานอะไรพวกนี้หน้าจอรองรับการกางได้เรียบแบบไปกับโต๊ะได้เลยครับ และงานประกอบอะไรพวกนี้ถือว่าทำได้ดีสมกับตระกูล SWIFT ของค่ายนี้ ถือว่าเป็นซีรีส์ที่เน้นเรื่องความเนี้ยบอยู่พอสมควร และแน่นอนว่า งานออกแบบทั้งหมดนั้นมันคือตัวเดียวกับเจ้าสเปกก่อนหน้าหรือสเปกของ Intel ทั้งหมดเลยเป๊ะๆครับ
ตัวเครื่องมีขนาดเล็กเมื่อเทียบกับหน้าจอ 14 นิ้วและยังมีความบางมากๆทั้งตัวเครื่องและขอบหน้าจอต่างๆถือว่าเน้นการพกพาสุดๆครับ งานออกแบบด้านนอกเป็นสีเงินเรียบทั้งหมดไม่มีลูกเล่นตัดขอบสีอะไรทั้งนั้น ส่วนในด้านในก็จะเป็นวัสดุแบบเดียวกันสีเดียวกัน รวมถึงแป้นพิมพ์ด้วยครับ แต่ตรงขอบหน้าจอนั้นจะเป็นสีดำด้านอยู่ตัดกับสีเงินได้สวย
ขอบหน้าจอมีความบางมากๆและยังคงมีกล้องหน้า พร้อมไมค์ไม่ได้ตัดออกไปไหนครับ ถือว่ายังคงจัดการได้ดีเพราะยังมีหลายๆคนที่ยังเน้นในการใช้งานกล้องหน้าอยู่และใช้เวลาคอลงานอะไรพวกนี้ครับ เพราะบางค่ายได้ตัดออกไปแล้วนั้นเอง และตรงขอบหน้าจอทั้งหมดจะมียางรองรอบตัวเครื่องทำให้เวลาปิดฝานั้นไม่กระแทกและนุ่มนวลขึ้น
ด้านหลังนั้นฐานเราจะเป็นวัสดุโลหะแบบเดียวกับฝาหน้าครับถือว่าใส่ใจรายละเอียดวัสดุได้ดี บางค่ายจะใช้งานพลาสติกไปส่วนนี้ ร่องระบายอากาศมีมาให้เยอะพอสมควรแต่พัดลมจะเป็นพัดลมตัวเดียวนะครับ เมื่อเปิดด้านในนั้นจะเป็นบอร์ดของเครื่อง พร้อมเห็นลำโพง มุมซ้ายขวา และ ไม่มีช่องใส่ RAM นะครับเพราะ Onboard และไม่สามารถเพิ่มได้ รวมถึงเห็นแค่ช่อง SSD M2 NVMe ที่ใส่มาแล้วและเปลี่ยนได้แค่ส่วนนี้เท่านั้นเลยครับ ส่วนการระบายความร้อนนั้นใบพัดเดียวพร้อม Heat Pipe 1 เส้นเท่านั้นครับแน่นอนว่าเพียงพอต่อสเปกที่ให้มาครับ
ช่องระบายด้านหลังนั้นเราจะเห็นเป็นแนวยาวๆสุดขอบ แต่ช่องที่เปิดจริงๆนั้นจะเป็นแค่ฝั่งเดียวเท่านั้น คือฝั่งซ้ายในภาพครับแน่นอนว่าเพราะมันมีพัดลมตัวเดียวเลยทำให้อีกช่องนั้นไม่ได้มีผลอะไรถ้าปิดไปครับ ส่วนการระบายความร้อนก็ใช้ได้ครับไม่ได้ร้อนจัดหรือร้อนเวลาวางมืออะไร เพราะสเปกมันจัดการได้ดี กินไฟน้อย ไม่มีการ์ดจอแยก แต่ความแรงสู้ตัวอื่นๆสบายครับ แต่ได้ความเย็นที่ดีกว่า และ การกินพลังงานที่น้อยกว่า ส่วนตัวเครื่องด้านในก็มีสแกนนิ้วมือมาให้ด้วยครับพร้อมกับ ตัวแป้นพิมพ์สีเดียวกับเครื่องเวลา เจอแสงขาวๆแล้วมองยากมากๆครับจุดนี้ ไม่โอเคเท่าไร
SPEC
- CPU AMD RYZEN 5 4500U
- GPU AMD Radeon RX VEGA 6 OnBoard
- RAM 8 GB DDR4
- SSD M.2 512GB NVMe
- หน้าจอ 14 นิ้ว FHD IPS
- Windows 10
- Microsoft Office Home & Student 2019
- ระบบสแกนนิ้ว Windows Hello
- Wi-Fi 6 มาตรฐาน 802.11 AX
PERFORMANCE
ประสิทธิภาพในรุ่นนี้เรียกได้ว่าเป็นจุดที่แตกต่างและพัฒนาขึ้นแบบชัดเจนครับแม้สเปกส่วนอื่นๆจะเท่าเดิมแต่แน่นอนว่าแค่ปรับมาใช้ Ryzen 5 4000 Series ต้องบอกว่ามันทำคะแนน สเปกทดสอบได้ดีกว่าสเปคเดิมของอีกค่ายได้หลายเท่าตัว และทำให้เครื่องทำงานได้ดีขึ้นเยอะครับ ในรุ่นนี้มาพร้อมกับ Ryzen 5 4500U เทคโนโลยีการผลิตที่ 7nm และ มาพร้อม ความเร็ว 2.30 – 4.00 GHz ใช้งาน 6 Core/ 6 Thread L3 Cache ที่ 8MB และ (TDP) ที่ 15W ถือว่าดีกว่าเดิมแบบเยอะมากครับ และ ในส่วนของการ์ดจอเป็น Onboard แต่แรงสู้พวก MX สบายมาก และดีกว่าด้วย Radeon RX VEGA 6 ครับ เป็น DDR4 512MB ส่วนทางด้าน RAM ใช้งาน 8GB DDR 4 เช่นเดิมพร้อมกับ SSD M.2 512GB ครับ และแน่นอนว่า มาพร้อม Windows 10 และ Microsoft office เรียบร้อยพร้อมใช้งานเลย ส่วนทางด้านประสิทธิภาพในการใช้งานจริงนั้นจะเป็นยังไงมาดูผลกันเลยครับ
PCMARK คะแนนทำได้ 4490 ถือว่าตามระดับของ CPU เป็นการเรนเดอร์ในหลายๆอย่างที่เสมือนกับทำงานจริงๆในแง่ของการใช้งานทั้งหมดเวลาใช้งานคอมพิวเตอร์คะแนนเอาจริงๆถือว่าไม่แย่เลยนะถ้าเรามองในราคาแค่นี้ และทำคะแนนออกมาได้ประมาณนี้แน่นอนว่าดีกว่า CPU i5 เยอะครับ ทำให้ตัวนี้ถือว่าน่าพอใจครับทำงานทั่วไปสบายๆไม่ต้องกังวลอะไร และทำคะแนนรวมๆนั้นถือว่ารองรับการทำงานทั้งหมดได้หลากหลายและเต็มประสิทธิภาพกว่าแบบชัดเจนครับ ทางด้านความร้อนนั้น CPU 80 และ GPU 79 ครับสำหรับการทดสอบนี้ให้สภาพอากาศปกติ
3D MARK เราทดสอบแบบพื้นฐานกันในส่วนของ Sky driver / Night Raid ถือว่าทำคะแนนได้ดีเอาเรื่องเลยคะแนนในส่วนของ Night Raid ตัวนี้ทำได้ 10761 คะแนนดีกว่ารุ่นเดิมอีกนะ การประมวลผลของรุ่นนี้ในแบบ 3 มิติ ทำได้ดีมากๆแม้จะไม่มีการ์ดจอแยกเข้ามาช่วยด้วยแต่ทำคะแนนได้เท่ากับพวก MX เลยครับ และ ใช้งานได้ในแง่ของการเรนเดอร์พวก 3 มิติทั้งหลายครับ ถือว่าสบายๆไม่ต้องกังวลทำให้การทำงานต่างเรนเดอร์เริ่มต้นอะไรสบาย ส่วนเรื่องคะแนน Sky Driver นั้นแตะ 9522 ได้เลยครับ ความร้อนที่ทดสอบนั้น CPU 84 และ GPU 83 ครับสำหรับตัวนี้ สภาพอากาศปกติครับ ถือว่าเป็นการ์ดจอติด CPU ที่ทำได้ดีมากๆ และคะแนนก็แสดงให้เห็นว่าดีมาก
CINEBENCH R20 -15 ตัวนี้คะแนนวัดที่ CPU ล้วนๆเลยแหละทำไปได้ 775 ทำได้ดีมากครับ อย่างที่บอกว่ารุ่นนี้คือมาแรงมากและพัฒนาขึ้นเยอะ ในคะแนนของตัว R20 ที่โหดกว่าเดิมนั้นทำไปได้ 1014 cb ถือว่าคะแนนดีเลยแหละในแง่การประมวลผลของ CPU แอบดีกว่าตอนรุ่นที่แล้ว i5 แบบชัดเจนเลย ส่วนตัวนี้มาพร้อมกับ SSD ทำคะแนนการอ่านไปได้ 2317 ส่วนเขียนที่ 1029 ครับจากทดลองหลายๆรอบ และอ่านเขียนได้ไวกว่าเดิมนิดหน่อยครับและครั้งนี้ให้มา 512GB ครับ ถือว่าเพียงพอและความเร็วความจุนั้นสบายๆในการใช้งานทั่วไป รวมถึงทำงาน
SCREEN
หน้าจอในรุ่นนี้ก็ยังเป็นหน้าจอแบบเดียวกับรุ่นก่อนครับ มาพร้อมกับหน้าจอขนาด 14 นิ้ว พร้อมกับความละเอียด FHD และใช้งาน จอ IPS เลยทีเดียว และตัวคุณภาพหน้าจอตัวนี้ถือว่าทำได้ดีเท่ากับรุ่นก่อนๆครับหน้าจอสามารถสู้แสงได้ดีกว่าเดิม คุณภาพหน้าจอที่ดีรวมถึงพวกสีสันและมิติของตัวภาพครับ และใช้งานหน้าจอแบบด้านด้วยสะดวกพอสมควร หน้าจอเมื่อมองจากด้านข้างเนื่องจากมันเป็นจอที่รองรับมุมมองภาพได้กว้างมากๆ แต่ถ้ามองในแง่ของความแม่นยำของตัวสีนั้นอาจจะไม่ได้ตรงเป๊ะหรือโหดอะไรมากนักแต่ถ้ามองในเรทราคาของมันก็ถือว่ารับได้อยู่ครับ
แต่แน่นอนว่าด้วยเทียบกับเรทราคาช่วงนี้เรื่องของการสู้แสงหรือแม่นยำอาจจะไม่ได้โหดมากนักครับ เมื่อใช้งานกลางแจ้งอาจจะไม่ได้ดีเท่าไร เช่นภาพด้านบนอันนี้คือกลางแจ้งต้องหลบแสงนิดหน่อยครับในการใช้งาน และการเป็นหน้าจอแบบด้านทำให้ไม่เจอแสงสะท้อนรบกวนเท่าไร หน้าจอทำขอบหน้าจอต่างได้ค่อนข้างบางเหมือนกับรุ่นอื่นๆก่อนหน้านี้และยังไม่ตัดกล้องหน้าทิ้งไปไหนด้วย หน้าจอในรุ่นนี้ทำได้ดีกว่าที่คิดในเรื่องของสีสันต่างๆซึ่งถือว่าเอามาทำงานได้สบายครับแม่นยำระดับนึงและดีกว่าพวกสายเกม และ รุ่นที่ต่ำกว่านี้แบบชัดเจน ซึ่งในงบประมาณนี้จอตัวนี้ถือว่าทำได้ดีครับแต่ความสว่างสูงสุดนั้นยังสู้แสงไม่ได้ดีมากนักครับ แต่ทั่วไปโอเคเลยแหละในตัว Swift 3
KEYBOARD
ทางด้านคีย์บอร์ดนั้นในรุ่นนี้เป็นขนาดกำลังดีกับตัวเครื่องครับ มีไฟ Backlit มาให้เรียบร้อยสีขาว แต่เปิดปิดได้เท่านั้นไม่สามารถหรี่แสงหรือปรับระดับได้เลยครับ ตัวปุ่มนั้นเป็นสีเงินแบบเดียวกับตัวเครื่อง พร้อมแสงสีขาว แน่นอนว่าออกแบบ แบบนี้มองยากอีกแล้ว ยิ่งเวลากลางวันครับในหลายๆสภาพแสงคือมองยากมากๆ และจะเห็นมีปุ่มสแกนนิ้วมาให้ตรงมุมขวาล่างสีดำๆ และปุ่มเปิดปิดเครื่องไว้มุมขวาบนครับ และตัวลูกศร นั้นจะมีปุ่ม Page up / Down ใกล้ๆวางไว้ใกล้กันครับ ถือว่าตัวปุ่มจัดระยะอะไรพอดี ไม่ได้แน่นหรือแปลกอะไรเท่าไรสามารถใช้งานได้ปกติครับ พวกปุ่ม Fn นั้นให้มาครบๆตรงข้างบนทั้งควบคุม ปิดจอ ไฟต่างๆ และเพิ่ม ลดเสียงด้วยเช่นกัน และทั้งหมดจะเว้าลงไปนิดหน่อยให้เวลาวางนิ้วและระยะกดอะไรนั้นพอดีกับการใช้งานด้วยเช่นกันครับ และปุ่ดปิดเครื่องต้องกดค้างด้วยถึงจะทำงานครับเลยไม่สามารถไปเผลอปิดได้ง่ายๆแน่นอนสำหรับตัวนี้
ตัวปุ่มนั้นกดได้ง่ายและความรู้สึกดี เพราะการออกแบบมีการปรับเปลี่ยนให้ดีขึ้นแต่ระยะอะไรนั้นไม่ได้แตกต่างกับของเดิมเท่าไรครับแต่ทรงปุ่ม ระยะเว้นต่างๆนั้นทำได้ดีขึ้นแต่น่าเสียดายว่าในค่ายนี้ยังไม่มีการปรับยกตัวเครื่องขึ้น ทำให้แป้นพิมพ์นั้นจะเรียบๆวางแนวเดียวกับพื้นครับ จริงๆก็อาจจะปกติ แต่ส่วนตัวเองแล้วชินกับพวกที่คีย์บอร์ดจะเอียงขึ้นมานิดหน่อยในการพิมพ์นั้นช่วยได้เยอะมากจริงๆ และขอบ่นหนักๆอีกครั้งว่า ในส่วนเรื่องของสีนั้นยังคงต้องบ่นเหมือนเดิมเพราะเวลาใช้นอกสถานที่มันเป็นปัญหามากๆ เพราะสีเงิน ไปขาว มันใช้งานได้ยากมากๆครับตัวนี้
TOUCHPAD
ตัวทัชมีขนาดใหญ่ใช้งานได้ดีเมื่อเทียบกับขนาดตัวเครื่อง ตัวทัชเป็นวัสดุแบบเดียวกับตัวเครื่อง วัสดุมีการทำให้ลื่นและติดนิ้วมากกว่าในการสัมผัสต่างๆ ตัวทัชสามารถกดลงไปได้เลยขอบซ้ายขวาล่าง ซึ่งจากที่ใช้งานไม่ได้ติดปัญหาอะไรครับในส่วนนี้ ตัวระบบทัชนั้นใช้ Software ของ Precision นะรองรับการใช้งานหลายๆนิ้วได้สบายครับ ส่วนเรื่องระบบการใช้งานหลายๆนิ้วได้ดี ไม่เจอปัญหาค้างหรือมึนอะไร อีกทั้งยังมีระบบป้องกันเวลาเพราะพิมพ์และมือไปโดนได้ด้วยครับ สามารถใช้เลื่อนนิ้วสลับแอป อะไรพวกนี้ได้ง่ายๆและส่วนใหญ่ที่ลองก็ลื่นและติดตลอดเลย
SPEAKER
ลำโพงในรุ่นนี้วางอยู่ข้างล่างยิงลงปกติครับเท่าที่ลองเรื่องของเสียงลำโพงรุ่นนี้ไม่ได้เด่นเท่าไรนักทั้งเรื่องของคุณภาพเสียงและความดังของเสียงทำได้ค่อนข้างธรรมดาและไม่ได้ดังสะใจมากนักถ้าเทียบกับขนาดตัวเครื่องของมันก็ถือว่าไม่ได้แย่และก็ไม่ได้ดีเท่าไรครับ เรียกได้ว่ากลางๆละกันสำหรับเรื่องของการส่งเสียงออกลำโพงของทั้ง 2 ข้างในรุ่นนี้
CONNECTOR
พอร์ตเชื่อมต่อในฝั่งซ้ายนั้นจะเป็นที่ชาร์จไฟเข้าแบบวงกลม รวมถึงช่อง USB-C ที่รองรับ PD และ HDMI รวมถึง USB-C 3.1 ก็มีมาให้ด้วยเช่นกันครับ แม้จะเป็นเครื่องที่บางขนาดนี้แต่ก็ยังใส่พอร์ตอะไรมาให้ค่อนข้างครบมากๆ
ในด้านขวานั้นจะเป็นแค่ รู 3.5 มม. พร้อมกับ USB-A 2.0 จริงๆไม่น่าใส่ 2.0 มาแล้วถ้านับว่ามันเป็นรุ่นใหม่ประจำปีนี้ครับ แอบเสียดายมากๆในจุดนี้ ส่วนตัวไฟสถานะมีมาให้ตรงนี้ 2จุด และมี Kensington Lock มาให้
WORKING
Ryzen 5 4500U นั้นแน่นอนว่า รองรับการทำงานทั่วไปเช่น Microsoft ทั้งหมด อันนี้รองรับได้สบาย Excel Word สบายครับพวกนี้ไม่มีปัญหา และ RAM 8 GB ก็เพียงพอ ส่วนของ ADOBE รองรับได้สบายอยู่ครับในส่วนของ Photoshop แบบเบาๆ ไม่ได้หลายเลเยอร์เยอะหรือไฟล์ไม่หนัก จริงๆ CPU มันไหวสบายๆ ทำงานหลายๆอย่างพร้อมกันอาจะต้องไม่เยอะมากครับเพราะ RAM 8GB เท่านั้น แต่ถ้ามองในมุมทำงานได้ค่อนข้างดีเลยแหละเพราะ ทำงานรวมๆทำได้ดีกว่าตัวเดิมนะ รองรับการทำงาน 3 มิติระดับเริ่มต้น การตัดต่อไฟล์วิดีโอ หรือ เรนเดอร์ได้แบบไฟล์ไม่หนักมาก ส่วนการดูหนังฟังเพลงทั่วไปสบาย โปรแกรมดูหนัง อื่นๆที่รองรับได้สบายไม่มีปัญหา หลักๆจะเน้นทำงานเบาๆจะดีกว่าครับในรุ่นนี้ หรือต่อภาพออกพรีเซนต์งานอะไรก็ทำได้สบาย มีพอร์ตเชื่อมต่อต่างๆ และ USB มาให้ค่อนข้างครบเลยแหละ
ทั้งแต่งภาพ ตัดต่อ หรือ เรนเดอร์ เท่าที่ทดลองการทำงานถ้าใช้งานแค่โปรแกรมเดียวมันสามารถตัดต่อวิดีโอ 4K ได้ด้วยในความยาวไม่เยอะมากนักอันนี้ถือว่าดี แต่เวลาเรนเดอร์จะนานพอสมควรถ้าเทียบกับรุ่นสูงกว่านี้ครับ ตัวนี้เลยกินเวลาไป 1 ชั่วโมงกว่าๆเลย แต่ช่วงการตัดต่อพวกนี้คือรับไหวสบายๆครับ ส่วนตัว Photoshop – Illustrator พวกนี้รองรับได้สบายๆเท่าที่ลองไม่เจอหน่วงเลยครับถือว่าตัว CPU ประสิทธิภาพมันรองรับพวกนี้ได้ แต่ RAM แอบน้อยไปหน่อย
GAMING
RYZEN 5 4500U + VEGA 6 เดิมๆ Onboard ครับใน การทดสอบเล่นเกม Overwatch ได้ค่อนข้างลื่นและ FPS 60+ สบายๆ ความร้อนนั้นประมาณ 70+ องศา และ CPU แตะไป 68 องศา ครับถือว่าปกติของพวก Ultrabook เล่นในสภาพอากาศไม่มีแอร์ ไม่มีพัดลมครับ และจากที่ทดสอบนั้นเลยของลองตัว PUBG นั้นได้ FPS 30+ ส่วนความร้อนนั้นไม่ได้แตกต่างกันมากครับในการเล่นเกม ระบายได้กลางๆเพราะมันเป็น Ultrabook ไม่ได้สายเกม รับได้ในการเล่นเกมทั่วไปพื้นฐานปรับลื่นได้สบายครับผม คุณภาพนั้นปรับภาพระดับกลางนะครับทุกเกม และ ที่แอดมินทดสอบคือเล่นในสภาพอากาศปกติ ไม่ได้เปิดแอร์ และ ไม่ได้มีพัดลมช่วยครับ ก็ถือว่าเล่นเกมได้ลื่นและไม่ได้แย่ครับเล่นได้ปรับภาพกลางได้ไม่ติดขัด และทำได้ไม่แพ้พวก การ์ดจอแยกที่มี MX250 เลยครับ ประสิทธิภาพโดยรวมนั้นสูสีและสู้ได้สบาย แต่ที่ชอบคือความร้อนและการกินพลังงานนั้นน้อยกว่า แต่ได้แรงเท่ากัน
ACER SWIFT 3
” AMD เข้ามายกระดับเพิ่มประสิทธิภาพของเครื่องไปอีกขั้น ในบอดี้เดิม พกพาง่ายเช่นเดิม “
เป็นการยกระดับประสิทธิภาพโดยรวมของเครื่องได้ดีแค่เปลี่ยนมาใช้ AMD Ryzen 4000 Series ครับต้องบอกว่าไม่ได้พูดเวอร์เกินจริงแต่ทั้งผลเทสต่างๆการใช้งานทุกอย่างมันแสดงให้เห็นเลยว่าตัวเครื่องนั้นทำได้ดีขึ้นมากๆในการใช้งานคะแนนของ CPU และการทำงานนั้นดีขึ้นจริงๆแน่นอนว่าตัวเครื่องนั้นเป็นเหมือนเดิม ทั้งวัสดุขนาดหน้าจอ รวมถึงพอร์ตเชื่อมต่อค่อนข้างครบเลยครับแน่นอนว่าเพียงพอแล้ว ส่วนหน้าจอขอบบาง ทำให้เครื่องนั้นกระทัดรัดมากขึ้นและ ยังคงแนวคิดเดิมคือ บาง เบา พกพาง่ายแต่ตอนนี้คือแรงขึ้นไปอีก จริงๆแอบเสียดายในเรื่อง RAM น่าจะมีปรับแต่งได้บ้างครับถ้าใครเอาไปทำงานหนักกว่านี้เพราะ ตัว CPU นั้นทำงานได้สบายๆเลย กับไม่มีตัว Thunderbolt 3 มาให้เมื่อเทียบกับรุ่น intel ครับ ก็เรียกได้ว่าเหมาะสำหรับ คนเริ่มต้น อยากหาคอมพิวเตอร์บางเบา สเปกแรง แต่ราคาไม่แรงมากนักใช้งานได้สบาย วัสดุดีตัวนี้เข้ามาตอบโจทย์ได้อย่างมากเลย
ข้อดี
- ตัวเครื่องทำได้บางเบา และ วัสดุยังคงมีความแข็งแรง
- ประสิทธิภาพของตัวเครื่องทำได้ดีกว่าเดิมหลายเท่า
- Ryzen 5 4500U ยกระดับเครื่องไปอีกขั้น
- หน้าจอทำได้ขอบบาง และเป็นหน้าจอด้าน
- แบตเตอร์รี่ใช้งานได้ดี อึดมากๆ
- วัสดุใช้งานอลูมิเนียมทั้งเครื่อง
- พอร์ตเชื่อมต่อค่อนข้างครบและเพียงพอต่อการใช้งาน
- ประสิทธิภาพในการเล่นเกม ทำได้ดี เล่นได้สบาย
- สามารถตัดต่อคลิป หรือ ทำงานระดับกลางได้ไม่มีปัญหา
- ควบคุมความร้อนในภาพรวมได้ค่อนข้างดี
ข้อสังเกต
- ไม่มี Thunderbolt 3
- แป้นพิมพ์มองได้ยากเวลาเจอแสง
- หน้าจอระดับกลางๆในความแม่นยำสี
- อัพเกรด RAM ไม่ได้
สำหรับรีวิวนี้ผมก็ต้องขอตัวลาไปก่อนสำหรับรีวิวรุ่นต่อไปนั้นจะเป็นรุ่นอะไรอย่าลืมติดตามกันนะครับ ถูกใจฝากกดไลค์กดแชร์ด้วยนะครับ มีข้อผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ เพื่อนๆสนใจอยากให้พวกผมรีวิวรุ่นไหนสามารถ Inbox มาบอกเราได้เลยนะ
ฝากไลค์เพจ FACEBOOK เราด้วยนะครับ >>>>>>>>> TECHHANGOUT
เข้าร่วมกลุ่ม TECHHANGOUT พูดคุยแลกเปลี่ยน ข้อมูล คุยกันเองชิลๆได้เลยที่ — Facebook Techhangout พูดคุย Smartphone gadget
Review By Nineztr