Galaxy Note ถือว่าเป็นตระกูลที่ประสบความสำเร็จ อันดับต้นๆของทางค่ายและแน่นอนว่าจุดเด่นของมันคือในเรื่องของปากกาที่มีความแตกต่างและโดดเด่นกว่าทุกมือถือแน่นอนว่าในช่วงแรกๆถือว่าเป็นไม่กี่รุ่นที่มาพร้อมกับปากกาในตัวที่ใช้งานได้ดีเทียบเท่ากับการใช้ปากกาทั่วไปรวมถึงเป็นแบรนด์แรกที่ทำออกมาที่ใช้งานร่วมกับสมาร์ตโฟนด้วย และการพัฒนายังคงมีมาต่อเนื่องจนมาถึงรุ่นปัจจุบัน ทั้งการเขียนที่ดีขึ้น การใช้งานแบบไร้สาย ใช้งานโบกไปมาได้สั่งงานได้ไร้สายเต็มที่มากขึ้น และในรุ่นนี้ได้มีการพัฒนาใช้งานร่วมกับหน้าจอ 120Hz ได้ดีมากขึ้นไปอีกขั้นใน Samsung Galaxy Note20 Ultra ตัวนี้ ที่มีการพัฒนาหน้าจอให้สวยงาม 120Hz ลื่นไหลมากขึ้น ดีไซน์แบบใหม่ พร้อมกับ กล้องหลังพัฒนาขึ้น ซูมได้ 50X และใช้งานเลนส์ Periscope ด้วยเช่นกันรวมถึงยังคงใช้งาน Exynos 990 แบบเดียวกับรุ่น S20 ก่อนหน้านี้ และฟีเจอร์การถ่ายวีดีโอที่เทพขึ้นรวมถึง ปากกาด้วยเช่นกัน

Samsung Galaxy Note 20 Ultra นั้นมีหน้าจอโค้ง Dynamic AMOLED Infinity-O ขนาด 6.9 นิ้ว ความละเอียด QHD+ ที่มีรีเฟรชเรท 120Hz (แต่ความละเอียดจะเหลือเพียง HD+ เท่านั้นหากใช้ 120Hz) และมีเซ็นเซอร์สแกนนิ้วแบบ ultrasonic ใต้หน้าจอ นอกจากนี้มันยังใช้กระจก Gorilla Glass 7 หรือ Gorilla Glass Victus ที่เทพที่สุดในตอนนี้ โดยสามารถทนทานการรอยขีดข่วนมากขึ้น และสามารถทำตกได้สูงสุดได้ถึง 2 เมตร อีกทั้งตัวเครื่องยังทำมาจากกระจกอีกด้วย ในส่วนของกล้องหลังนั้นเจ้า Note20 Ultra จะมาพร้อมกล้องตัวหลักที่มีความละเอียด 108MP ที่สามารถถ่ายวิดิโอได้ 8K ที่ 24fps ในอัตราส่วน 21:9 + เลนส์ periscope ความละเอียด 12MP ที่สามารถซูมแบบ optical ได้ 5x และซูมแบบ Space Zoom ได้สูงสุด 50x + เลนส์กว้าง 120 องศาความละเอียด 12MP  และใช้ระบบ autofocus แบบ Laser AF ส่วนของชิปเซตนั้นทั้ง Note20 ธรรมดาและรุ่น Ultra จะใช้เหมือนกัน เป็นชิป Exynos 990 ตัวท็อปของ Samsung  สำหรับปากกา S Pen รุ่นใหม่ที่ได้รับการแล้วนั้นทำให้สามารถใช้งานบนหน้าจอ Note20 Ultra ได้โดยมีดีเลย์เพียง 9ms เท่านั้น (ฟีเจอร์นี้ไม่มีบน Note20 รุ่นธรรมดา) และ Samsung ยังเคลมว่าการใช้งาน S Pen จะให้ความรู้สึกเหมือนกับการเขียนบนกระดาษจริง ๆ อีกทั้งข้อความที่เขียนยังสามารถแปลงไฟล์ให้เป็นรูปแบบของ Microsoft Office และสามารถแชร์ไฟล์ดังกล่าวกับอุปกรณ์อื่น ๆ ได้อีกด้วย นอกจากนี้ตัว S Pen ยังสามารถตวัดไปกลางอากาศ (โดยไม่จำเป็นต้องอยู่ใกล้กับตัวสมาร์ทโฟน) เพื่อสั่งการได้อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นใช้คำสั่งกลับ, กดปุ่ม home ฯลฯ ถือว่าเปลี่ยนแปลงเยอะพอสมควรครับ  มาพร้อมกับ แบตเตอรี่ความจุ 4,500mAh ที่รองรับชาร์จเร็ว 45W, ชาร์จไร้สาย 15W และชาร์จไร้สาย reverse charging 9W สำหรับทางด้านราคานั้นมาพร้อมกับ ราคา  Note 20 Ultra 4G 256GB ราคา 38,900 บาท Note 20 Ultra 4G 512GB ราคา 42,900 บาท และ Note 20 Ultra 5G 256GB ราคา 42,900 บาท Note 20 Ultra 5G 512GB ราคา 46,900 บาท ในรีวิวจะเป็นตัว LTE 4G นะครับผม

DESIGN

งานออกแบบในค่ายนี้ยังคงมีความเรียบง่ายแต่เล่นกับวัสดุได้ค่อนข้างสวยงามครับ แต่ทางด้านน้ำหนักและขนาดอาจจะดูใหญ่ไปนิดหน่อยสำหรับการใช้งานทั่วไปแต่ก็ทำออกมาเพื่อตอบโจทย์ทั้งเรื่องของกล้อง และ หน้าจอในการวาดเขียนต่างๆได้ดีมากขึ้น วัสดุยังคงมีความพรีเมี่ยมเช่นเดิมทั้งหน้าจอและฝาหลัง การวางตำแหน่งกล้องนั้นอาจจะนูนไปเยอะมากพอสมควรทั้งนี้เพราะต้องรองรับกับเลนส์ Periscope ของตัวเทเลที่มีพื้นที่พอสมควรเลยนั้นเองแต่จะเห็นว่าโมดูลตัวกล้องนั้นค่อนข้างใหญ่มากๆทั้งวงกลม 3 วงและภาพรวมสี่เหลี่ยมทั้งหมด แต่ก็ยังคงแนวทางการออกแบบแบบเดียวกับ S20 Ultra ก่อนหน้านี้รวมถึงในรุ่นอื่นๆในค่ายนี้เช่นเดียวกันไม่ได้ดีไซน์แปลกแยกออกมากมากนัก

หน้าจอนั้นมาพร้อมกับหน้าจอ  Dynamic AMOLED Infinity-O แบบโค้ง 6.9 นิ้ว (3088 × 1440 พิกเซล) Quad HD+, อัตราส่วน 19.3:9 , HDR10+, รีเฟรชเรท 120Hz, ความสว่างสูงสุด 1500 nits, ใช้กระจก Gorilla Glass Victus พร้อมกับการออกแบบที่เหลี่ยมจัดมากกว่ารุ่น S20 รวมถึงขอบหน้าจออะไรนั้นบางขึ้น

ทางด้านขอบบนหน้าจอนั้นยังคงใช้กล้องหน้าแบบเจาะรู Infinity O-Display เช่นเดิมพร้อมกับกล้องหน้า 10MP F2.2 ตัวเดิมกับรุ่นก่อนหน้าครับ แต่จะเห็นว่าขอบค่อนข้างบางพอสมควรและแทรกลำโพง เซนเซอร์ได้เนียนตา

ขอบหน้าจอด้านล่างนั้นจะเห็นว่ามีความหนากว่าส่วนอื่นๆเป็นปกติครับ จะมีขนาดเท่ากันกับ S20 Ultra ประมาณนึง ก็ถือว่าเป็นส่วนที่อาจจะทำความยางได้ค่อนข้างยากพอสมควรครับเพราะเป็นชิ้นส่วนข้างในต่างๆ และการควบคุมนั้นใช้งานแบบ 3 ปุ่มหรือใช้ท่าทางต่างๆได้เช่นเดิมเลย และตัวหน้าจอขอบข้างยังคงโค้งอยู่ในรุ่นนี้ ซึ่งถ้ารุ่นปกตินั้นจะไม่โค้งนะครับเช่น Note 20 นั้นจะเป็นแบบหน้าจอเรียบๆไม่ได้มีการโค้งลงแต่อย่างใดเลย

ขอบเครื่องด้านล่างนั้นเราจะเห็นว่ามีความสมมาตรในการออกแบบชัดเจนเลยหน้าจอและฝาหลังนั้นเรียบเท่ากันพร้อมกับ ทำมุมโค้งลงทั้งหมด 2 ข้างมีองศาเท่ากัน และวัสดุอลูมิเนียมสวยงามปัดกึ่งเงา พร้อมกับไมค์ รู USB-C และ ลำโพงหลักของเครื่องตัวแรก และ ที่เก็บปากกานั้นเอง และแน่นอนว่ารองรับการกันน้ำอะไรได้ปกติครับ

ขอบเครื่องด้านขวานั้นจะเป็นปุ่ม เพิ่ม ลดเสียงครับแน่นอนว่าจะเห็นการออกแบบขอบอลูมิเนียมที่พยายามทำให้บางมากๆพร้อมกับ การปัดเงาสวยงาม และเว้าส่วนปุ่มไว้ด้วยเช่นกัน อีกทั้งฝาหลังจะโค้งเท่ากับกระจกด้านหน้าเช่นกัน

ขอบด้านบนนั้นเราจะเห็นว่ามีการออกแบบที่สมมาตรเช่นกันแต่จุดที่เด่นมากคือ เลนส์กล้องที่มีความนูนขึ้นมาเยอะมากๆครับ ซึ่งจุดนี้ในการใช้งานจริงแอบเกะกะนิดหน่อยและเวลาวางพื้นจะโดนได้ง่ายรวมถึง เวลาเขียนปากกาจะค่อนข้างโยกได้ง่าย ทำให้ไม่ค่อยโอเคเท่าไรนัก แต่สามารถหาเคสช่วยได้ครับ รวมถึงถาดซิมเป็น Nano 2 ซิม และมีไมค์ตัดเสียงรบกวนมาให้ด้วยในด้านบน

ขอบเครื่องด้านซ้ายนั้นต้องบอกว่ามีความบางมากๆในแง่ของเฟรมเครื่องและยังคงใช้งานวัสดุโลหะปัดเงาสวยงามครับและจะเห็นว่าความโค้งของฝาหลัง และ กระจกหน้านั้นมีความโค้งเท่าๆกันเลยทีเดียวทำให้การจับถือนั้นสะดวก

ฝาหลังการออกแบบนั้นยังคงอิงการวางกล้องอะไรไม่ได้แตกต่างกับรุ่นก่อนหน้ามากนักเมื่อเทียบกับ S20 Ultra ก่อนหน้าแต่จะมีการเปลี่ยนแปลงเลนส์การวางข้างในรวมถึงความนูนออกมาแตกต่างกันนั้นเอง ส่วนวัสดุฝาหลังเป็นกระจกด้านเล่นกับแสงได้ดีครับ ทางด้านสีนั้นจะออกทองแดง Mystic Bronze สวยงามพอสมควรเลยและมีความเรียบง่าย ส่วนกล้องนั้นจะเป็นวัสดุแบบเงาครับ และสแกนนิ้วนั้นเป็นสแกนนิ้วบนหน้าจอแบบเดียวกับรุ่นอื่นๆก่อนหน้านี้ทั้งหมดแล้วด้วยเช่นกัน

กล้องหลังนั้นมีความใหญ่โตจริงๆทั้งเรื่องของ วงกลมแต่ละเลนส์และความนูนออกมาของตัวโมดูลเล่นต่างๆนั้นทำให้ส่วนนี้มีความหนาขึ้นเยอะมากๆ การวางกล้องนั้นทำให้วงกลมทั้งหมดดูแปลกตาและดูเข้ากันแม้ว่าจะข้างในเลนส์สุดท้ายจะเป็นสี่เหลี่ยมก็ตามครับ มาพร้อมกับเลนส์ กล้องหลังมุมกว้าง 108MP (f/1.8), รองรับ PDAF, + เลนส์เทเล 12MP (f/3.0), รองรับ PDAF, OIS, ที่ซูมแบบ optical ได้ 5X, ซูมแบบ Super Resolution ได้ 50X + เลนส์กว้าง 120 องศา 12MP (f/2.2) และ เซนเซอร์ในการวัดแสง วัดระยะต่างๆพร้อมกับไฟแฟลชให้มาครบ

ปากกานั้นยังคงมีการออกแบบที่ไม่ได้หนีจากเดิมมากนักแต่การเล่นสีนั้นเป็นสีเดียวกับตัวเครื่องมีความพรีเมี่ยมพอสมควรเลยทีเดียวมีความเงาสวยและเรียบๆไม่ได้มีการตกแต่งอะไรเยอะในส่วนของปากกาตัวนี้รวมถึงสามารถใช้งานได้ดีเช่นเดิมเลย รองรับการใช้งานคำสั่งแบบไม่สัมผัสตัวเครื่องได้รวมถึงน้ำหนักและขนาดกำลังใช้งานได้ดีลงตัวครับ

SPEC

  • หน้าจอ Dynamic AMOLED Infinity-O แบบโค้ง 6.9 นิ้ว (3088 × 1440 พิกเซล) Quad HD+, อัตราส่วน 19.3:9 , HDR10+, รีเฟรชเรท 120Hz, ความสว่างสูงสุด 1500 nits, ใช้กระจก Gorilla Glass Victus
  • ชิปประมวลผล Snapdragon 865+ 7nm พร้อมการ์ดจอ Adreno 650 / Exynos 990 7nm EUV พร้อมการ์ดจอ ARM Mali-G77MP11 (ตามประเทศที่วางจำหน่าย)
  • รุ่น LTE- RAM LPDDR5 8GB + storage (UFS 3.1) 256GB/512GB
  • Android 10 ที่ครอบด้วย OneUI
  • ซิมคู่ (nano + nano)
  • กล้องหลังมุมกว้าง 108MP (f/1.8), รองรับ PDAF, + เลนส์เทเล 12MP (f/3.0), รองรับ PDAF, OIS, ที่ซูมแบบ optical ได้ 5X, ซูมแบบ Super Resolution ได้ 50X + เลนส์กว้าง 120 องศา 12MP (f/2.2)
  • กล้องหน้า 10MP (f/2.2)
  • กันน้ำและกันฝุ่นมาตรฐาน IP68
  • ลำโพง Stereo speakers โดย AKG, รองรับ Dolby Atmos
  • เซ็นเซอร์สแกนนิ้วใต้หน้าจอ
  • ขนาดตัวเครื่อง: 164.8 x 77.2 x 8.1mm; น้ำหนัก: 208กรัม
  • รองรับปากกา S Pen ที่มีหัวขนาด 0.7 mm, กันน้ำ IP68
  • Dual 4G VoLTE, Wi-Fi 802.11ax (2.4/5GHz), Bluetooth 5, GPS , USB Type-C (Gen 3.2), NFC
  • แบตเตอรี่ความจุ 4,500mAh ที่รองรับชาร์จเร็ว 25W, ชาร์จไร้สาย 15W และชาร์จไร้สาย reverse charging 9W ชาร์จไวสูงสุด 45W

PERFORMANCE

ทางด้านประสิทธิภาพตัวเครื่องในรุ่นนี้ S20 Plus จัดเต็มมาเช่นเดิมในการใช้งาน Exynos ในตลาดไทยครับ โดยใช้งานตัว Exynos 990 7nm EUV + GPU Mali-G77MP11 พร้อมกับ RAM LPDDR5 8GB ทำคะแนนไปได้ 525942 คะแนนถือว่าแรงดีครับ และในส่วนของ UFS 3.0 ทำคะแนนได้ดีเช่นเดิมคือ 1575 และ 758 แน่นอนว่าความปลอดภัยรองรับ NETFLIX FHD เรียบร้อยสูงสุดครับ และ คะแนน GEEKBENCH นั้นทำไปได้ 566-2645

SYSTEM UI 

หน้าตาเรือธงตัวนี้ยังคงใช้งาน ONE UI2 ตัวล่าสุดครับ  ที่มีการเปลี่ยนมาไม่นานครับ และพัฒนาแก้ไขจากรุ่น 1 มาเยอะขึ้นในแง่ของความเสถียรครับและหน้าตาบางอย่างเลยทำให้ หน้าตารวมๆสวยงามเลยนะ ในหน้าล็อคนั้นมีรูปลายนิ้วเราก็สามารถสแกนนิ้วได้เลยครับ ส่วนหน้าตา ไอคอน และ อุณหภูมิอะไรก็ไปอยู่มุมซ้ายสวยงามเลยครับ ส่วนหน้าตารวมๆก็เรียบสวยขึ้นนะอันนี้แอบชอบครับ การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้และรู้สึกว่ามันมีความลื่นไหลมากกว่าเดิมแบบชัดเจนในการพัฒนารอบนี้

หน้าตาการแจ้งเตือน ตั้งค่าอะไรนั้นมาในโทนสีขาวฟ้าครับ ไอคอนอะไรปรับเปลี่ยนหน้าตาได้เรียบขึ้นและแตะได้ง่ายขึ้นครับ การแจ้งเตือนสามารถกดเคลียร์ได้ และเมื่อลากลงมานั้นก็เข้าการตั้งค่าได้ง่าย และ สามารถปรับแสงหน้าจอได้รวมถึงมีเวลาอะไรบอกอยู่ตรงกลาง ด้านบนครับ ส่วนการแบ่งหน้าจอนั้นสบายๆมีไปหลายหน้าจอตามใจชอบเลย

สำหรับเรื่อง RAM 8 GB  นั้นใช้ประมาณ 4.9 GB ครับ ใช้งานได้สบายๆเหลือๆ  ส่วนตัวความจุนั้น เหลือ 220 โดยประมาณครับถ้าตัดแอป และ เพลง รูปภาพอะไรหมดเหลือแค่ระบบนะครับ ระบบจะประมาณ 18.4 GB แน่นอนว่าความจุเหลือๆในการรองรับกาที่ถ่าย 8K 4K คีย์บอร์ดนั้นเป็นภาษาไทย ของทาง Samsung เองหลายๆคนอาจจะชอบกันครับ

ในส่วนของ Gesture ก็มีให้มาตามภาพครับทั้งการแตะ 2 ครั้ง พักหน้าจอต่างๆ ฝ่ามือจับภาพหน้าจอเป็นต้น และปุ่มด้านข้างก็มาใส่ฟีเจอร์เสริมในการปลุก Bixby พวกนี้ครับ และแน่นอนว่ามีพวก Game Launcher – Dual app มาให้รวมถึง โหมดใช้งานง่ายและ Smartswitch

ในส่วนของจอภาพนั้นมีมาให้ปรับเปลี่ยนทั้ง โหมดมืด ปรับเปลี่ยนความลื่นไหล ฟิลเตอร์แสงฟ้า และ เปลี่ยนปุ่มนำทางได้ครับว่าจะใช้งานแบบไหน รวมถึงพวก Alwayson ก็สามารถปรับได้ และแน่นอนว่าในรุ่นนี้ยังคงมีไฟ Edge lighting มาให้แทนไฟแจ้งเตือนครับทั้ง ลูกเล่นการปรับแต่งเยอะมากๆเลยตามขอบหน้าจอเครื่องครับ

THEME

ธีมการออกแบบนั้นสามารถเปลี่ยนอะไรต่างๆได้ทั้งหมดครับพวกหน้าจอ แอปต่างๆ หน้าจอ AOD พวกนี้ครับ และตัวธีมนั้นมีทั้งแบบเสียตังค์ และ ไม่เสียตังค์สามารถเลือกได้ค่อนข้างเยอะทั้งแบบน่ารักๆต่าง หรือ เท่ๆก็มีครับ แต่การเปลี่ยนแปลงหลักๆนั้นก็อาจจะไม่ได้เยอะแยะอะไรมาก ไม่ได้เปลี่ยนพวกหน้าแจ้งเตือน หรือ ตามแอปเท่าไรครับ

SCREEN

หน้าจอมาในชื่อ Dynamic AMOLED 2X ขนาด 6.9 นิ้ว ความละเอียด 3088 x 1440 พิกเซล มีความหนาแน่นต่อพิกเซล 496 ppi รองรับการแสดงผล HDR10+ รองรับ Refresh Rate สูงสุดที่ 120Hz โหดมากจริงๆมันลื่นไหลและติดนิ้วอย่างมากในการใช้งาน และเวลาเลื่อนพวกแอป หรือ Facebook มันแตกต่างกว่าเดิมเยอะเลยครับแค่เลื่อนใช้งานก็แตกต่างกันแล้ว ในแง่ของคุณภาพหน้าจอนั้นไม่มีที่ติเช่นเดิม มิติแสงสีหน้าจอทำได้อิ่มสวยและสู้แสงได้เยอะมาก และเรื่องความแม่นยำสีนั้นได้ 100% ของ DCI-P3 และ รองรับความสว่างสูงสุด 1500Nits  หน้าจอ ใช้กระจก Gorilla Glass Victus และ อัตราคอนทราสต์ที่ 2,000,000:1 ถือว่าเป็นจอที่สวยและดีมากๆตัวนึงของมือถือตอนนี้ครับ และค่าเริ่มต้นมันจะเป็น 60Hz 2K นะครับและสามารถปรับเป็น 120Hz FHD+ ได้ในการตั้งค่าหน้าจอ แต่จะใช้งาน 120Hz ได้ในความละเอียด FHD+เท่านั้นนะครับ แต่หน้าจอลื่นๆแบบนี้ทำให้ตัวปากกาพัฒนาขึ้นใช้งานเขียนได้เนียนมากขึ้นด้วย

ในเรื่องของมุมมองในการใช้งานจริงนั้นตัวจอนี้อาจจะเป็นจอที่สวยมากๆตัวนึงและพัฒนาดีกว่าเดิมไปอีกครับ แน่นอนว่าของใหม่ย่อมดีกว่าครับ ตัวจอรองรับมุมมองค่อนข้างกว้างมากๆเป็นเอกลักษณ์ของค่ายนี้ไปแล้วแน่นอนว่าผลิตจอเป็นเจ้าหลักๆของโลกเลยครับ ตัวจอสู้แสงได้ดี ระบบสัมผัสทำได้ดีครับมุมมองสู้แดดได้และมองมุมเอียงๆในกลางแจ้งก็ยังเห็นอยู่พอสมควรเลยอีกทั้งสีสันไม่ได้ดรอปลงไปแม้จะเปลี่ยนมุมมองด้วยครับตัวนี้ ก็ยังคงยกให้เป็นหน้าจอที่สวย สู้แสงและสีสันมิติภาพทำได้ดีมากๆอีกตัวนึงในตอนนี้ครับและมีความลื่นไหลเข้ามาทำให้มันใช้งานได้ดีขึ้นกลับไปใช้งานจอ 60Hz ไม่ได้แล้วแน่นอนถ้าใช้งานตัว 120 บ่อยๆครับในตัว Note20 Ultra ตัวนี้ถือว่าดีมากๆเลย

ลื่นไหล 120HZ 

หน้าจอในความลื่นไหล 120Hz นั้นจะมีผลในแง่ของการใช้งานเป็นหลักแน่นอนว่าหลายๆคนสงสัยว่าเกมมันยังรองรับไม่เยอะและจะมีประโยชน์จริงๆไหมแน่นอนครับว่าไม่ต้องเล่นเกมแต่ในการใช้งานจริงๆนั้นก็ต่างแล้วนะเอาง่ายๆแค่เลื่อนแอปไปมา เข้าแอปหรือจะเป็นการเลื่อนรูป เลื่อนฟีดข่าวต่างๆภาพมันจะเนียนตามากๆครับทำให้ในการใช้งานค่อนข้างรู้สึกดี และบางเกมก็จะรองรับ fps ที่สูงขึ้นด้วยทำให้ประสบการณ์มันดีขึ้นแต่ข้อสังเกตของมันคือจะลดความละเอียดมาที่ FHD เท่านั้นครับ อาจจะต้องยอมแลกกันไปเพราะถ้าใครเน้นความสวย ชัด ดูหนังอาจจะแนะนำให้ไป QHD 60Hz แทนเพราะหนังส่วนมากจะแค่ 24FPS เท่านั้นครับ ไม่จำเป็นจะต้องเปิด 120Hz และถ้าใครเน้นใช้งานทั่วไป เล่นเกม เปิด 120Hz อาจจะช่วยได้ดีกว่านั้นเองแต่เท่าที่ลองแบตนั้นลดไม่ได้ต่างกันมากนะถือว่าโอเคเลย

SOUND

เสียงหูฟังให้แนวเสียงเดียวกันกับตัวก่อนหน้าเลยไม่ได้มีการปรับเปลี่ยนอะไร เบสมานิดหน่อย เสียงใสๆมิติมากลางๆ จะเด่นเรื่องเสียงร้องที่ชัด และ แอบแหลมไปนิดนึง แน่นอนว่าการตัดรูหูฟังออกไปนั้นก็ไม่ได้แถมตัวแปลงที่มีคุณภาพเสียงพิเศษอะไรมาให้และไม่ได้แถมมาให้ด้วยครับทำให้เรื่องเสียงมันไม่ได้เด่นเท่าไรและออกไปทางธรรมดาครับเมื่อเทียบกับเรือธงค่ายอื่นๆ แน่นอนว่าทาง Samsung เองก็ไม่ได้เน้นเรื่องของเสียงมานานมากแล้วครับก็น่าเสียดายเหมือนกัน แต่ถ้าใครอยากได้คุณภาพเสียงดีขึ้นแน่นอนว่า ซื้อตัวแปลงของพวก iBasso พวกนี้ก็เสียงจะขึ้นแบบชัดเจน เลือกได้ตามงบที่มีเลย และ รองรับการปรับ Dolby Atmos ทั้งการเล่นเกม หรือ สำหรับฟังเพลงได้ด้วยและปรับเสียงได้พอสมควรครับที่แตกต่างกันก็ถือว่าเรื่องเสียงอาจจะไม่ได้แตกต่างกันแต่ Software นั้นปรับได้มากขึ้น

หูฟังแถมกันบ้างยังคงมาในการแปะแบรนด์ AKG อยู่ครับ ตัวหูแถมนั้น เป็น INEAR สีดำ ทรงเดียวกับรุ่นก่อนหน้านี้ทั้งหมด และมีปุ่มควบคุมมาให้ครับ รวมๆนั้นใส่สบายอยู่ครับ ค่อนข้างเบาและใส่นานๆได้ สายเป็นสายถักในช่วงต้นๆแต่ในส่วนแยกไป 2 ข้างนั้นเป็นสายยางปกติ ส่วนคุณภาพเสียงในแง่ของหูแถมมันก็ใช้ได้นะ เสียงแม้อาจจะไม่ใช่พวกหูแถมที่ดีสุด แต่ก็ใช้ได้ครับฟังเพลงได้พวกที่เน้นรายละเอียด เสียงจะแหลมๆ ใส เวทีกลางๆครับ เสียงร้องขัด แยกดนตรีได้นิดหน่อย และการเปลี่ยนมาใช้งาน USB-C นั้นเสียงไม่ได้แตกต่างกับรุ่น Note10+ เท่าไรครับน่าจะไม่ได้มีตัว DAC เสริมอะไรพิเศษครับตัวนี้

SPEAKER 

ทางด้านลำโพงนั้นถือว่าเป็นอีกจุดที่ต้องบอกว่าค่ายนี้ยังคงทำได้ดีครับแต่เมื่อเอามาเทียบกับทาง S20 Ultra ในรุ่นก่อนหน้าค่อนข้างแปลกใจว่าทาง S20 Ultra นั้นแอบทำได้ดีกว่าในแง่ของความดังชัด ใสแหลมกว่านั้นเองทำให้เวลาใช้งานจริงนั้นจะค่อนข้างดังกว่าแบบรู้สึกได้ แต่ถ้ามองทาง Note20 Ultra เองถือว่าทำได้ดีพอสมควรมีความกลมกล่อมมากขึ้นเสียงเบสอะไรแน่นและพอๆกับย่านอื่นๆไม่ได้เด่นแย่งมากนัก เสียงมีความลงตัวมากขึ้นแต่ถ้ามองในแง่ของความดังอาจจะไม่ได้ดังเท่า S20 Ultra นั้นเองแอบเสียดายนิดหน่อยในจุดนี้ ส่วนลำโพงนั้นเป็นลำโพงคู่เหมือนกันทั้งคู่ รองรับ Dolby Atmos เต็มที่และปรับแต่งได้เหมือนกันทั้งหมดเลยสำหรับเรือธงของค่ายนี้ครับ

S-PEN 

ปากกาครั้งนี้บอกเลยว่ามีการพัฒนาขึ้นในแง่ของการสั่งงานต่างๆทำได้เทพขึ้นจนเรียกได้ว่าเทพขึ้น เนื่องจากการใช้งาน AI-Based Point Prediction ที่ลดเวลาตอบสนองเหลือเพียง 9ms เพื่อตอยสนองต่อหน้าจอที่ลื่นไหลขึ้น 120Hz แน่นอนว่าเทพกว่าปากกาในตัว Note 20 ด้วยครับ และยังคงรองรับฟีเจอร์การสั่งงานกลางอากาศหรือสั่งงานแบบไม่สัมผัสหน้าจอมือถือได้ด้วยฟีเจอร์ Hands-free Air Action เพียงแค่ขยับ S-Pen ตามท่าทางต่างๆ เท่านั้น จากที่ครั้งที่แล้วหรือว่าในรุ่นก่อนนั้นฟีเจอร์นี้รองรับแค่ในบางแอพแต่ครั้งนี้สามารถสั่งงานในหน้าหลักได้ด้วยรวมถึงฟีเจอร์เด่นๆที่มาจากรุ่นเดิมก็ยังมีเช่นแปลงลายมือเป็นตัวอักษร หรือจะเป็นการพัฒนาเพิ่มเขียนตัวหนังสือเอียงแล้วปรับให้ตรงได้ และยังรวมถึงการควบคุมที่หลากหลายมากขึ้น ใช้งานจดงานได้พร้อมกับอัดเสียงเป็นต้นนั้นเอง

ในการตั้งค่าปากกานั้นเราจะเห็นว่าสามารถตั้งได้ว่ามีการเล่นเสียงหรือสั่นเวลาถอดปากกาไหม หรือว่าตั้งเตือนว่าปากกาลืมไว้ยังไงซึ่งทางมือถือนั้นจะคอยเตือนว่าปากกไม่ได้อยู่ใกล้มือถือ รวมถึงคำสั่งเวลาถอดปากกาออกมาแล้วจะขึ้นอะไรบ้าง การควบคุมต่างๆก็สามารถตั้งค่าได้เช่นเดิมครับ และ Air View หรือ Air Action ยังคงมีมาให้ใช้งานในหลายๆแอปที่รองรับ กล้อง ดูรูปภาพ ต่างๆ อีกทั้งยังสามารถควบคุมเพิ่มเติมได้ในภาพขวาสุดส่วนบนนั้นเราจะเห็น ย้อนกลับ หน้าหลัก ล่าสุด การเลือก หรือ แคปหน้าจอ ซึ่งสามารถใช้ปากกา ตวัดกลางอากาศได้ทันทีไม่ต้องเข้าแอปอะไรเลยครับถือว่าเป็นการสั่งงานและเปลี่ยนแปลงอัพเกรดจุดหลักๆในการใช้งานรุ่นนี้เลยก็ว่าได้ครับ

Screen Off Memo : ฟีเจอร์พื้นฐานที่น่าจะคุ้นเคกยกันครับ ใช้งานง่ายๆเพียงแค่ดึง S-Pen ออกมา ก็สามารถจดโน๊ต วาดภาพ เขียนงานต่างๆได้ทันทีเปลี่ยนสีปากกาได้โดนที่เราไม่ต้องปลดล็อกหน้าจอให้เสียเวลาเลยนั้นเอง

ปรับตัวให้ตรงเวลาเขียน เปลี่ยนจากลายมือเป็นตัวอักษร : เป็นฟีเจอร์ที่ใส่เข้ามาใหม่ในการปรับตัวอักษรเวลาเราจดแล้วบางทีนั้นองศาการเขียนของเรามักจะเขียนเอียงๆแต่ครั้งนี้สามารถปรับให้ตรงได้ให้เป็นระเบียบได้ง่ายมากขึ้น และสามารถแปลงลายมือเป็นตัวอักษรได้เลยทันทีแบบฟีเจอร์ที่เราเห็นกันในตัว Note10 ก่อนหน้านั้นเองครับ

Audio Bookmarks : อัดเสียงพร้อมกับการใช้งานปากกาได้พร้อมกันสามารถทั้งจดข้อความที่ได้ยินและยังบันทึกไปได้ด้วยทำให้ในการใช้งานนั้นสะดวกต่อการทำงานและสัมภาษณ์ได้สบาย

Presentation Stylus : ใช้ S-Pen ในการควบคุมหรือสั่งงานแอพของทาง Microsoft Powerpoint ที่ติดตั้งมาให้แล้วตั้งแต่ซื้อเครื่องนั้นเองสามารถนำเสนองานได้ทันทีโดยที่ปากกาไม่ต้องอยู่กับหน้าจอมือถือพวกนี้ครับ

เชื่อม Samsung Notes เข้ากับ OneNote บนพีซี และ Outlook : สามารถเขียน Note บนมือถือแล้วจกานั้นซิงค์ไปบนคอมพิวเตอร์ได้ทันทีรวมถึงการเชื่อมต่อกันแบบไร้สานทำให้เราสามารถดูอะไรได้จากคอมพิวเตอร์ได้ทันที หรือจะเป็นการใช้งานแอปบนคอมพิวเตอร์ก็สามารถทำงานได้ด้วยในการร่วมมือกันครั้งนี้ของทาง Samsung

GPS 

ในรุ่นนี้จริงๆที่ใช้งานมาถือว่าความนิ่งทำได้ดีมากๆ และก็ จากการทดสอบผ่านตัวแอปก็จับค่าได้เยอะและขึ้นเขียวกันทั้งหมดเป็นส่วนใหญ่ ทั้งการใช้งานกลางแจ้งและในร่มหรือใต้ทางด่วนก็ไม่ได้ดรอปลงอะไรเยอะครับ รวมถึงการใช้งานก็ไม่ได้เพี้ยนด้วยแม้จะเป็นการนำทางลงในอุโมงค์ หรือ ใต้ทางด่วน และจะเป็นการใช้งานนำทางในเส้นต่างจังหวัด ใช้ความเร็วสูงก็ไม่ได้เจอการหน่วงหรืออัปเดตช้าอะไรครับ ถือว่าระบบการนำทางนั้นใช้งานไว้ใจได้และไม่ต้องห่วงเลยแหละครับสำหรับใครที่เน้นการใช้งานนำทาง GPS ทั้งผ่าน Maps ต่างๆไม่มีปัญหาเหมือนกันครับ จับได้ทั้งหมด 29 จาก 41 ในกลางแจ้ง และ จับได้ทั้งหมด 20 จาก 40 ในการใช้งานที่ร่ม ใต้อุโมงค์

BATTERY

ทางด้านการใช้งานทดสอบแบตนั้นแน่นอนว่าทำได้ดีครับในแง่ของการชาร์จเข้าเพราะรองรับสูงสุด 45W และสามารถใช้งานไร้สายได้สูงสุด 20W เลยครับ ส่วนในด้านตัวแถมที่ให้มานั้นจะรองรับแค่ 25W แต่ก็ถือว่าเป็นการพัฒนาที่ดี และต่อยอดจาก Note10+ ส่วนตัวแบตรุ่นนี้ให้มาที่ 4,500 mAh และในการใช้งานรองรับทั้งวันได้อยู่แต่มันกลับไม่ได้อึดมากเท่าไรครับ แต่ทั้งวันได้แบบพอดีๆ จากที่ได้ลองใช้งานเปิดหน้าจอความละเอียดสูงสุดนั้นรองรับใช้งาน 10 ชั่วโมง และหน้าจอเปิดทั้งหมด 2-3 ชั่วโมง ใช้งานนำทาง ประมาณ 1 ชั่วโมง และถ่ายรูป ฟังเพลงเป็นต้นครับถือว่ารองรับถึงช่วงเลิกงานได้เหลือ 30% คร่าวๆและกลับบ้านหรือประมาณ 2 ทุ่มก็จะใกล้ๆหมด แอบไหลกว่าที่คิดอยู่ครับ

GAMING

CAMERA

กล้องหลังนั้นมาพร้อมกับ กล้องหลังมุมกว้าง 108MP (f/1.8), รองรับ PDAF, + เลนส์ periscope 12MP (f/3.0), รองรับ PDAF, OIS, ที่ซูมแบบ optical ได้ 5X, ซูมแบบ Super Resolution ได้ 50X + เลนส์กว้าง 120 องศา 12MP  (f/2.2) แน่นอนว่าน่าเสียดายที่ตัด OIS เลนส์เทเลไปแต่ก็ยังดีที่ใส่ในเลนส์หลักเข้ามาครับและใช้ Software เข้ามาช่วยทำให้ในการใช้งานจริงนั้นไม่ได้รู้สึกถึงการสั่นอะไรของตัวเลนส์แม้จะซูมเยอะก็ตาม ส่วนทางด้านฟีเจอร์ในการช่วยเหลือถ่ายภาพนั้นยังคงจัดเต็มแน่นๆเช่นเดิมทั้งการละลายหลัง Live Focus รวมถึงการใช้งาน My Filter ที่จะดูดโทนจากภาพคนอื่นเข้ามาหรือจะเป็นการถ่ายแบบ Single Take จะเป็นฟีเจอร์ที่เรากดถ่ายทีเดียวได้ทั้ง วีดีโอ ภาพนิ่ง หรือจะเป็น ครอปภาพให้เลยครับ หรือถ้ามีคนจะครอปและละลายหลังให้เลยถือว่าฉลาด และถ้าเป็นภาพวิวก็จะเก็บมุมกว้างสุดมาให้ด้วย AI เก่งเลยแหละ และคุณภาพภาพรวมนั้นเท่าที่ลองมาถือว่าใช้งานได้โอเคอย่างมาก และ มุมกว้างคุณภาพทำได้ดีรวมถึงโหมดกลางคืนก็ยังคงรองรับได้สบายๆในหลายๆสภาพแสง 

CUSTOM FILTER เจอโทนภาพไหนชอบ ก็อปได้เลย !! 

เป็นฟีเจอร์ที่ค่อนข้างโกงเหมือนกันครับว่าชอบโทนภาพของใครก็แค่เซฟรูปเค้ามา และ เอามาดึงโทนภาพจากนั้นก็จะสามารถใช้งานได้เลย ในชื่อ Custom Filter ครับแต่จะใช้ได้แค่ตอนถ่ายนะ ถ่ายเสร็จแล้วค่อยมาใส่โทนไม่ได้ครับ หลักการง่ายๆคือ 1.ไปเซฟภาพที่เราชอบ โทนที่ชอบมา 2.เข้าแอปกล้อง เลือกตรงมุมขวาบน และเข้าไปที่ฟิลเตอร์ส่วนตัว 3.กด + 4.เลือกรูปที่เราจะทำการ ก็อปโทนภาพ 5.จากนั้นก็กดบันทึก และพร้อมใช้งานถ่ายได้เลย ง่ายมาก

ZOOM 1X-5X-10X-20X-50X

SELFIE

กล้องหน้าก็มีความละเอียด 10MP F2.2 รองรับ Autofocus ตัวเดียวกับ Note10+ ครับยกมาเลยนั้นเอง แน่นอนว่ายังมีรูรับแสงแคบเพราะว่าจะทำให้ขนาดเล็กลง แต่ก็ทดแทนมาด้วยโหมดกลางคืนในกล้องหน้าครับทำให้ถ่ายแสงน้อยได้ดีกว่าเดิมไปอีกนั้นเอง  ส่วนการถ่ายวีดีโอรองรับการถ่ายกล้องหน้าที่ 4K เช่นเดิมและรวมถึง Live Focus ด้วยครับก็มีฟีเจอร์เข้ามาค่อนข้างเยอะ ส่วนภาพนิ่งนั้นก็ต้องบอกว่ามีโหมดกลางคืนเข้ามาช่วยแต่ก็เสียดายเรื่องรูรับแสงเล็กน้อยครับในกลางคืน รวมถึงพวกความคมรายละเอียดพวกนี้ แต่การตัดขอบอะไรต่างๆนั้นทำได้ดีในการใช้งานละลายหลังต่างๆรวมถึงยังมีโฟกัสมาให้ไม่ได้ตัดทิ้งไปไหนครับผม ถือว่าเป็นไม่กี่ค่ายที่ใส่การโฟกัสเข้ามาให้

VIDEO

ในแง่ของงานวีดีโอนั้นต้องบอกเลยว่าค่ายนี้พัฒนาเน้นๆอย่างมากและเอาใจสายวีดีโอมาเรื่อยๆเลย และในครั้งนี้ก็พลิกวงการอีกครั้งกับการถ่ายแบบ 8K 24FPS ครับ เป็นความละเอียดแบบที่จัดเต็มและเหมือนกับถ่ายหนังเลยและได้ 24FPS อีกด้วยครับแต่ถ้าถามว่าเหมาะกับการใช้ถ่ายทั่วไปไหมต้องบอกว่ายังไม่เหมาะครับด้วยขนาดไฟล์การกันสั่น รวมถึง เอามาแต่งตัดต่อยากแต่ในอนาคตไม่แน่ครับ ส่วนตัว 4K ก็รองรับ 60FPS 30FPS เช่นกันการกันสั่นทำงานได้ดีขึ้น ภาพเนียนสวยขึ้นเยอะและระบบเสียงอัดอะไรทำได้ดีมีการซูมเสียงอะไรเหมือนเดิมครับ และแน่นอนว่าที่ชอบมากๆคือถ่ายแล้วกดสลับกล้องได้เลยไม่ต้องถ่ายใหม่ กล้องหน้าหลัง มุมกว้างไกล เปลี่ยนได้ขณะถ่ายวีดีโอเลยเจ๋งมากครับ และงานวีดีโอแบบโหมดโปร สามารถใช้งานได้และใช้ไมค์นอกได้ด้วย โดยใช้หูฟังBT เป็นไมค์ได้ รวมถึงการซูมแบบเนียนและ โหมดเสียงอัดหน้า หรือ หลังได้และปรับ Db ได้ด้วยเช่นกัน

SAMSUNG GALAXY NOTE 20 ULTRA

” สายปากกา ค่ายนี้ไม่เคยทำให้ผิดหวัง พร้อมกับหน้าจอ กล้องที่เทพขึ้นจนน่าใช้งาน “

ถ้ามองในแง่ของการใช้งานทั่วไป Samsung Galaxy Note20 Ultra ถือว่าเป็นสมาร์ตโฟนที่ค่อนข้าตอบโจทย์อยู่แล้วทั้งในเรื่องของหน้าจอใหญ่ คมสวยชัด ลำโพงคู่พร้อมกับพลังเสียงที่ดังสะใจอีกทั้งยังมาพร้อมกับ หน้าตาระบบที่คนทั่วไปใช้งานคุ้นเคยกันดี และในครั้งนี้มาพร้อมกับกล้องหลังที่ดีขึ้นรองรับการซูมอะไรได้ดีขึ้น คุณภาพภาพรวมทำได้ดีขึ้น รวมไปถึงหน้าจอ 120Hz ในครั้งนี้ที่อัพเกรดเข้ามาทำให้อะไรหลายๆอย่างนั้นดูลงตัวและยิ่งน่าใช้งานขึ้นไปอีกขั้น และจุดเด่นของค่ายนี้ยังคงเป็นเรื่องของปากกาที่ยังคงหาคู่แข่งเทียบได้ยากและยิ่งนับในบรรดาสมาร์ตโฟนแล้วด้วยไม่ค่อยมีค่ายไหนที่จะให้ปากกาในตัวเครื่องมากันซักเท่าไรและทำให้ Note20 Ultra ค่อนข้างแตกต่างและโดดเด่นกว่าค่ายอื่นแบบชัดเจนด้วยเช่นกัน ส่วนงานออกแบบน้ำหนักขนาดนั้นอาจจะมากไปนิดต้องไปลองสัมผัสกันอีกทีว่ารับได้ไหม รวมถึงในการใช้งานต่อเนื่องแบตนั้นแอบไหล และมีความร้อนสะสมได้ง่ายมากๆในการใช้งานยาวๆทั้งการถ่ายรูปหรือแม้แต่เปิดการนำทางนานก็แอบรู้สึกอุ่นได้ง่ายกว่ารุ่นอื่นที่เคยลองกันมาด้วยในจุดนี้ครับ

ข้อดี

  • หน้าจอทำได้สวยงาม ขอบบางและสู้แสงได้ดีมาก
  • ความลื่นไหลของหน้าจอทำได้ดีและมิติของภาพสวยงาม
  • ปากกา S-Pen ตอบโจทย์ต่อหน้าจอ 120Hz ได้ดีอย่างมาก
  • กล้องหลัง และ หน้ายังคงทำได้ประทับใจ
  • การซูม 5x ถือว่าคุณภาพใช้งานได้จริง
  • ระบบเสียงลำโพงยังคงโดดเด่นเช่นเดิม
  • ประสิทธิภาพในการใช้งานทั่วไปเล่นเกมถือว่ารองรับได้สบาย
  • งานวีดีโอโดดเด่นในแง่ของฟีเจอร์ที่เสริมเข้ามา
  • ปากกายังคงตอบสนองใช้งานได้จริงและดีที่สุด

ข้อสังเกต

  • เครื่องแอบร้อนง่ายพอสมควร
  • แบตไหลกว่าที่คิดไว้
  • มีน้ำหนักประมาณนึง
  • ในไทยยังคงใช้ Exynos

สำหรับรีวิวนี้ผมก็ต้องขอตัวลาไปก่อนสำหรับรุ่นอื่นๆก็ติดตามกันได้เลย ถูกใจฝากกดไลค์กดแชร์ด้วยนะครับ  มีข้อผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ  เพื่อนๆสนใจอยากให้พวกผมรีวิวรุ่นไหนสามารถ Inbox มาบอกเราได้เลยนะ
ฝากไลค์เพจ FACEBOOK เราด้วยนะครับ >>>>>>>>>  TECHHANGOUT

เข้าร่วมกลุ่ม TECHHANGOUT พูดคุยแลกเปลี่ยน ข้อมูล คุยกันเองชิลๆได้เลยที่ — Facebook  Techhangout พูดคุย Smartphone gadget 

Review by Nineztr