ช่วงนี้กระแสออกกำลังกายกำลังมาแรง ผู้คนต่างหันมาสนใจรักสุขภาพกันมากขึ้น และสิ่งที่สำคัญของการออกกำลังกายก็ต้องเป็นเครื่องมือชี้วัดสุขภาพ จึงทำให้สมาร์ทวอทซ์ มีบทบาทสำคัญในการใช้ชีวิต หรือการออกกำลังกาย ที่สามารถใส่แทนนาฬิกาบอกเวลาแบบเดิมๆ ได้เลยพร้อมฟังก์ชันที่ให้ได้มากกว่า ซึ่ง ณ ปัจจุบันนี้ สมาร์ทวอทซ์ มีให้เลือก หลายรุ่น หลายยี่ห้อมาก มีตั้งแต่ราคา หลักร้อย จนไปถึงหลักหมื่น แต่จะมีอันไหนบ้าง ตอบโจทย์การใช้งานของเราจริงๆ และ ราคาเป็นมิตร วันนี้แอดขอเสนอ HUAWEI WATCH โดยจะไล่เรียงเป็นรุ่นๆไปว่า แต่ละรุ่นเป็นยังไง เหมาะกับเราไหม โดยเริ่มจาก Watch GT2 , GT2e , และ ตัวล่าสุดที่เพิ่งเปิดตัวไป Watch Fit
Huawei Watch GT2
เป็นสมาร์ทวอทซ์ที่ต่อยอดจากรุ่นแรก มีให้เลือก 2 ขนาด คือ หน้าจอ 46 มิล และ 42 มิล ทำราคาออกมาได้ประทับใจมากๆ เป็นมิตรกับกระเป๋า ส่วนความคุ้มค่า ฟังก์ชันจะมีอะไรบ้าง ตามมาเลยครับ เริ่มจากหน้าจอแสดงผลเป็นแบบ AMOLED ขนาด 1.39 นิ้ว ความละเอียด 454 x 454 พิกเซล ซึ่งรองรับการสัมผัสสั่งงาน หรือจะใช้งานผ่านปุ่มควบคุมที่เป็นเม็ดมะยมทางด้านขวาทั้ง 2 ปุ่มก็ได้เช่นเดียวกัน การใช้งานกลางแจ้งถือว่าทำได้ดี ตัวเรือนจะอยู่ที่ 45.9 x 45.9 x 10.7 มิลลิเมตร น้ำหนักเฉพาะตัวเรือนประมาณ 41 กรัม รองรับภาษาไทย ตัวเครื่องใช้ CPU Kirin A1 ที่ออกแบบมาสำหรับสมาร์ทวอทช์โดยเฉพาะ ก็จะมีทั้งเซนเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหว ตรวจวัดอัตราการเต้นของหัวใจ ตรวจจับแสง แรงกดอากาศต่างๆ โดยรองรับการเชื่อมต่อผ่านบลูทูธ 5.1 และมี GPS ภายในตัว มีโหมดเทรนนิ่งเพิ่มขึ้นมาจากรุ่นก่อน
รองรับการวัดอัตราการเต้นของหัวใจ การนับก้าวเดิน วัดปริมาณอ๊อกซิเจนในเลือดได้ ,บอกประสิทธิภาพการนอนหลับหรือแม้กระทั่งบอกความเครียดได้ อันนี้แอดชอบมากเลย (ต้องใช้คู่กับ โทรศัพท์ที่เป็นเครื่องแอนดรอยด์เท่านั้น)
ถ้าใช้กับ ไอโฟนจะไม่มีฟังก์ชันนี้ และอีกจุดที่น่าสนใจ คือ สามารถรับสาย และโทรออกได้ โดยการโทรออกนั้นจะใช้งานผ่านการเชื่อมต่อบลูทูธของโทรศัพท์ ตัวนาฬิกาไม่สามารถใส่ซิมเพิ่มได้แต่อย่างใด สามารถใส่ว่ายน้ำได้ ในระดับความลึกไม่เกิน 50 เมตร หรือจะเชื่อมต่อเข้ากับ หูฟังBluetooth ตัวอื่น แล้วเปิดฟังเพลงก็ได้เช่นกัน โดย เจ้าตัว GT2 นี้สามารถเก็บเพลงได้เป็นร้อยๆเพลงเลย แต่ตั้งโหลดผ่าน แอปของ Huawei Health
ส่วนหน้าปัดมีให้เลือกใช้งานหลากหลายแบบมากมาย หรือถ้าใครที่พอมีความรู้นิดหน่อย ก็สามารถไปโหลดหน้าปัดสวยๆ มาเพิ่มเติมอีกก็ได้ แต่สำหรับแอดแล้วถือว่า หน้าปัดที่ให้มาค่อนข้างโอเคเลย มีให้เลือกใช้งานเยอะมากๆ เมนูการใช้งานต่างๆ
แบ่งออกเป็น 2แบบใหญ่ๆ ได้แก่การเรียกใช้งานจากหน้าจอ กับ การกดปุ่มด้านข้าง
โหมดออกกำลังกาย : เกี่ยวกับ กีฬา ต่างๆ เช่น วิ่ง ,ปันจักรยาน , ว่ายน้ำ,แบดมินตัน
*โหมดสุขภาพ : อัตราการเต้นของหัวใจ ,ข้อมูลการนอน ,ความเครียด,การฝึกหายใจ
*โหมดฟังเพลง : สามารถควบคุมเพลงบนนาฬิกา หรือจะเชื่อมต่อกับ หูฟังบลูทูธแล้วฟังเพลงได้เลย
*โหมดโทรศัพท์ : สามารถบันทึกเบอร์โทรไว้บนนาฬิกาได้ 10 เบอร์ และโทรออก ได้ ,แจ้งเตือน ข้อความต่างๆได้
*โหมดสภาพแวดล้อม : ความกดอากาศ ,อุณหภูมิ ,เข็มทิศ
*โหมดนาฬิกา : ใช้จับเวลา ,ตั้งปลุกได้
*โหมดเครื่องมือ : ใช้ค้นหาโทรศัพท์ได้ ,ไฟฉาย
ปุ่มด้านล่างสามารถตั้งเป็นทางลัดเข้าสู่เมนูที่เราเลือกไว้ได้ นอกจากนี้เรายังควบคุมหน้าจอได้อีกแบบโดยการปัดหน้าจอ
*ปัด ซ้าย-ขวา :จะเป็นการดูข้อมูลด้านสุขภาพ ,ควบคุมเพลง,อุณหภูมิ,ความเครียด,การเต้นของหัวใจ
*ปัดจากขอบล่าง : จะเป็นการดูข้อความ
*ปัดจากขอบบน : จะเป็นการตั้งค่าต่างๆ
*กดหน้าจอค้างไว้ : จะเป็นการเปลี่ยนหน้าปัดนาฬิกาจุดเด่น
*หน้าจอใหญ่คมชัด ใช้งานกลางแจ้งได้ดี
*แบตเตอรี่อึด ใช้ได้ประมาณ 2 สัปดาห์สบายๆ (ยกเว้นเปิดโหมดสแตนด์บายหน้าจอตลอดเวลา )
*สามารถรับ สาย / โทรออกได้ (แต่ต้องเชื่อมต่อกับโทรศัพท์)
*ฟังก์ชันออกกำลังกาย ค่อนข้างครบ
*สามารถเปลี่ยน หน้าปัด หรือ สายนาฬิกาได้ง่ายๆ
*รองรับภาษาไทย
*ฟังเพลงผ่าน สมาร์ทวอทซ์ ได้เลย ไม่ต้องเชื่อมต่อโทรศัพท์ (โหลดเพลงเก็บไว้ในตัวนาฬิกา)
ข้อสังเกต
*บางฟังก์ชัน ไม่สามารถ ใช้ร่วมกับ iOS ได้
ราคาค่าตัว GT2 จะแบ่งเป็น2ขนาด ซึ่งราคาจะไม่เท่ากัน ตัวหน้าจอ 42mm ราคาเริ่มต้นที่ 5,990 – 6,990 ส่วนตัว 46mm ราคาเริ่มต้นที่ 6,490 – 7,990-. โดยราคาที่แตกต่างกันในแต่ละรุ่นนั้น จะต่างกันแค่ สายเหล็ก,สายหนัง หรือ สายซิลิโคน เท่านั้นครับ
ใส่ตารางสเปก …..
HUAWEI WATCH GT2eรุ่นที่2 เป็น ตัวที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อต้นปีที่นี้เองกับ GT2e โดยหน้าดูสปอร์ตมากขึ้น กับราคาที่เข้าถึงง่ายกว่าเดิม เพิ่มโหมดออกกำลังกายมามากว่า รุ่นGT2 (แต่พออัปเดตแล้วโหมดออกกำลังกายก็จะเท่ากันครับ) โดยสเปกรวมๆแล้วจะใกล้เคียงกับ รุ่นGT2 แค่ตัดฟังก์ชัน ในส่วนของการรับสาย/โทรออก เท่านั้น นอกนั้นก็แทบไม่ต้องจากรุ่นพี่เลย มาพร้อมกับหน้าจอ AMOLED 454 x 454 HD ขนาด 1.39 นิ้ว หน้าจอทัชสกรีนรองรับการเลื่อนและการสัมผัส การแสดงผลสวยงาม สีสันสดใส และค่าความสว่างสูงสามารถแสดงผลได้สวยงามแม้อยู่กลางแจ้ง รองรับภาษาไทย ส่วนสายก็สามารถเปลี่ยนได้เช่นเดียวกับรุ่น GT2 เหมือนกัน จริงๆแล้วสามารถใช้สายตัวเดียวกับ GT2 ได้เลย
จุดเด่น
*หน้าจอใหญ่คมชัด ใช้งานกลางแจ้งได้ดี
*แบตเตอรี่อึด ใช้ได้ประมาณ 2 สัปดาห์สบายๆ (ยกเว้นเปิดโหมดสแตนด์บายหน้าจอตลอดเวลา )
*ฟังก์ชันออกกำลังกาย ค่อนข้างครบ
*สามารถเปลี่ยน หน้าปัด หรือ สายนาฬิกาได้ง่ายๆ
*รองรับภาษาไทย
*ฟังเพลงผ่าน สมาร์ทวอทซ์ ได้เลย ไม่ต้องเชื่อมต่อโทรศัพท์(โหลดเพลงเก็บไว้ในตัวนาฬิกา)
ข้อสังเกต
*บางฟังก์ชัน ไม่สามารถ ใช้ร่วมกับ iOS ได้
*ไม่สามารถรับสาย / โทรออกได้
ในส่วนราคาของรุ่น GT2e นี้บอกเลยกว่า เป็นมิตรกับกระเป๋าตังค์อย่างมาก มีราคาเดียวทุกสี คือ 4,990 (ราคาที่ลงจะเป็นราคากลางนะครับ)
ใส่ตารางสเปก….
HUAWEI WATCH FIT
และน้องเล็กสุดที่เพิ่งเปิดตัวไปสดๆร้อนๆ กับ huawei watch fit เรียกได้ว่าทำออกมา แบบมินิมอลมากๆ ไม่ดูให้เทอะทะ ออกแบบมาให้กระชับเหมาะกับการออกกำลังกาย ในรูปแบบต่างๆ รวมไปถึง ดีไซน์รูปหน้าปัดทรงสี่เหลี่ยมที่เเตกต่างออกไปจากนาฬิการุ่นผ่านๆมาของ Huawei ตามสเปกรุ่นนี้จะมีขนาด 46 × 30 × 10.7 mm, น้ำหนัก 21 กรัม
จุดเด่นของเจ้ารุ่นนี้จะมาพร้อมกับ หน้าจอรูปทรงสี่เหลี่ยมขนาด 1.64 นิ้ว AMOLED HD มีโหมดออกกำลังกายมาให้ถึง 96 โหมดออก มี GPS ในตัว พร้อมแบตเตอรี่ นานสูงสุด 10 วัน + ชาร์จเร็ว เปิดวางจำหน่ายในราคา 3,499 บาท มีวางจำหน่ายด้วยกันทั้งหมด 4 สี
ตัวเครื่องกันน้ำได้ตามมาตรฐาน 5ATM ใส่ว่ายน้ำได้สบายๆ หน้าจอแสดงผลแบบ AMOLED 2.5D ขนาด 1.64 นิ้ว
ความละเอียด HD ( 456×280 P ) ด้านขวามือของหน้าปัดนาฬิกาจะมีตำแหน่งของปุ่มการใช้งานหลักเพียง 1 ปุ่มเท่านั้นเช่น ย้อนกลับ หรือ เรียกใช้งานเมนูแอปที่มีมาให้ และมีรูไมโครโฟน
ปุ่ม Home
กด 1 ครั้งเพื่อเปิดแอปพลิเคชันบน Smartwatch
เมื่ออยู่ในเเอปต่างๆ กด 1 จะเป็นการย้อนกลับหน้าแรก
การปัดใช้งานหน้าปัดนาฬิกา
ปัดลงมา เพื่อเปิดหน้าเส้นทางรัดใช้งานการตั้งค่าต่างๆ
ปัดขึ้น เพื่อดูการแจ้งเตือนต่างๆ
ปัดซ้าย เพื่อเข้าหน้า ข้อมูลการออกกำลังกาย ควบคุมเพลง
ปัดขวา เพื่อดูฟีเจอร์ก่อนหน้านี้
ทัชค้าง เพื่อเปลี่ยนรูปภาพของหน้าปัดนาฬิกา
ความสว่างหน้าจอถือว่าสูงแสงเเดงได้สบายๆ รุ่นนี้ใครที่อยากเปลี่ยนหน้าปัดหน้าจอก็ยังสามารถนำรูปภาพจากคลังภาพมาตั้งเป็นหน้าปัดสวยๆได้เลย
Huawei Watch Fit ตามสเปกเขาเคลมไว้ว่า สามารถใช้งานได้สูงสุดถึง 10 วัน ใช้งานหนักได้ 7 วัน และ ถ้าเปิด GPS จะใช้งานได้ 12 ชั่วโมง หลังจากที่ลองใช้งานในโหมดทั่วไปเชื่อมต่อกลับสมาร์ทโฟน ให้มีการเเจ้งเตือนต่างๆ เท่าที่ลองใข้งานจะใช้งานได้อยู่ประมาณ 6 วันเกือบ 7 วัน โดยรวมก็ถือว่า OK เลยทีเดียว ส่วนเรื่องของการชาร์จแบตเตอรี่เท่าที่ลองใช้กับหัวชาร์จทั่วไปชาร์จชั่วโมงนึงก็อยู่ได้หลายวัน อีกทั้งในรุ่นนี้ใครที่ใช้สมาร์ทโฟนของ Huawei ก็ยังสามารถใช้เป็นรีโมทในการถ่ายภาพได้อีกด้วย อนาคตคาดว่าน่าจะใช้งานได้กับทุกค่าย
ข้อดี
หน้าจอสีสันสดใส หน้าจอสู้เเสงได้ดี
ดีไซน์สวยงามและดูดี อีกทั้งยังใช้วัสดุที่ผิวสัมผัสได้ดี เบาขึ้น
มี GPS ในตัว
รองรับภาษาไทย อ่านการเเจ้งเตือนได้
กันน้ำได้ถึง 5 เมตร
สามารถควบคุมเพลง
มีเซนเซอร์สำหรับวัดค่าต่างๆ
มีโหมดออกกำลังกายถึง 96 โหมด
แบตเตอรี่อึด 7 วันสบายๆ ชาร์จไวเพียง 40 นาที
เชื่อมต่อง่ายจบในเเอปด้วย
ข้อสังเกต
หน้าจอเล็กไปนิดสำหรับคนที่ข้อมือใหญ่
เเบตใช้งานได้น้อยไปหน่อย
ตัวเรือนไม่รองรับ MIL-STD อาจจะต้องใช้งานกันระวังนิดนึง
ไม่สามารถตอบกลับข้อความเเชทได้
การใช้งานยังรู้สึกหน่วงเล็กน้อย
สำหรับราคาตัวนี้ต้องบอกเลยว่า เป็นมิตรมาก ราคาเบาๆสบายกระเป๋า แค่ 3,499 บาท แต่ได้ฟังก์ชันออกกำลังกายครบเหมาะสำหรับผู้ที่เริ่มต้นออกกำลังกาย ถึงระดับกลาง ถ้าจะให้ฟันธงแบบชัดๆที่กล่าวมาทั้ง3 รุ่นนั้นมีข้อดีข้อด้อยต่างกัน แต่ก็ไม่มากนัก เช่นถ้าเน้นฟังก์ชันครบๆ ตอบโจทย์ทุกสิ่งอย่างก็ เลือกเป็นรุ่น GT2 ไปเลย หรือ ถ้าไม่ได้ใช้พวกโทรเข้า/รับสาย แต่อยากได้จอใหญ่ๆหน่อยก็ รุ่นGT2e ครับ หรือ ถ้าเน้นประหยัดแต่ฟังก์ชันออกกำลังกายครบๆ ไม่เน้นโทรเข้า/รับสาย ชอบแบบเบาๆ ไม่ใหญ่หรือดูหนักจนเกินไป ตัว Watch Fit ตอบโจทย์สุดครับ อย่างไรก็ตอบบทความนี้เป็นเพียงข้อมูลแค่บางส่วนในการช่วยตัดสินใจ สุดท้ายแล้วถ้าชอบอันไหนก็เลือกอันไหนไปเลยครับ ซื้ออันที่ชอบเลือกอันที่ใช้ ดีต่อใจและสุขภาพเราแน่นอนครับ