Mercedes-Benz นั้นเป็นแบรนด์ที่หลากหลายคนน่าจะรู้จัก หรืออาจจะเรียกได้ว่าทุกคนนั้นต้องรู้จักและเป็นแบรนด์รถยนต์ที่มีนวัตกรรมอะไรเยอะมากมากมาย และในล่าสุดในตระกูล EQ Power นั้นถ้าหากหลายๆคนเห็นกันใน Ads ต่างๆเราจะเห็นโฆษณา Charge to Change ที่มีเพื่อนร่วมค่าย BMW มาโผล่ใน Mercedes-Benz Facebok แน่นอนว่าเรียกกระแสได้เยอะและมีหลายคนคงสงสัยว่าลงผิดอะไรยังไงนั้น จริงๆแนวคิดของทาง Mercedes-Benz นั้นอยากจะสื่อง่ายๆเลยคือ ขอแค่เปลี่ยนมาใช้งานรถ PHEV ไม่ว่าจะค่ายไหนก็ได้ รุ่นไหนก็ได้ ขอแค่มาชาร์จ มาใช้พลังงานไฟฟ้า เพื่อที่จะช่วยลดมลพิษ และช่วยลดฝุ่นอะไรได้เยอะมากแค่มาชาร์จไฟกันนั้นเองครับ ถือว่าเป็นแนวคิดที่ดีและไม่จำกัดแค่ค่ายตัวเองด้วยเช่นกันจุดนี้บอกเลยว่าชอบแนวคิดแบบนี้มากๆเลย และในครั้งนี้ได้มีโอกาสไปลองขับเจ้า C300e และ ทดสอบ App Mercedes Me Connect ครั้งแรกๆว่าจะเป็นยังไง

ครั้งนี้ทาง Mercedes-Benz ได้เชิญไปร่วมทดสอบเป็นกลุ่มไม่ใหญ่มากนัก มีรถให้เลือกขับหลากหลายรุ่นในตระกูลเสียบปลั๊กทั้งหมด ตระกูล EQ-POWER ทั้งหลากหลายรุ่นในรุ่น C300e , GLC 300e ,  E300e ในแต่ละรุ่นย่อยเรียกได้ว่าครบๆเลยในตระกูลต่างๆครับ และเราได้ขับเจ้า C300e ตัวเริ่มต้นในราคาแค่ 2.69 ล้านบาท แต่บอกเลยว่า พละกำลัง ไม่แตกต่างกับ C43 ที่ทางเราเคยรีวิวไปเลย มันแรงหลังติดเบาะและพุ่งได้ดีมากๆจนน่าตกใจครับ เป็นตัวเริ่มต้น หน้าตาบ้านๆแต่พละกำลังพร้อมจะหนีคันอื่นๆแบบไม่กี่วิเท่านั้น แต่พวกช่วงล่างอาจจะไม่ได้แนวสปอร์ตเท่าไรนักครับ และที่สำคัญนั้นเราจะได้ทดสอบการชาร์จไฟ และ App MMC  ด้วยว่าในการใช้งานจริงจะรอดไหม

ในเส้นทางวันนี้เป็นการขับจาก กทม แยกกันขับแล้วไปเจอกันที่พัทยา เลยนั้นเองครับเป็นการจัดทริปที่ดีมากๆ ไม่ต้องขับตามกันเป็นขบวนอะไรทำให้มีอิสระในการขับขี่และทดสอบกันเต็มๆ อยากให้ทุกค่ายจัดแบบนี้จริงๆครับ และไปถึงจุดหมายที่โรงแรม RENAISSANCE  RESORT AND SPA ที่พักหรูหราจัดเต็มมากๆเลย และแน่นอนว่าการจัดการเส้นทางขับนั้นจะเน้นขับเส้นทาง Motor Way และสายใหม่ ที่ถนนมีความเรียบและขับสนุกเอาเรื่องเลยครับ

MERCEDES ME CONNECT

MERCEDES ME CONNECT จริงๆตัวแอปนี้ถือว่าเปิดตัวกันมาซักพักแล้วแต่เอาจริงๆคนทั่วไปน้อยคนมากๆนักที่จะใช้งาน และ ไม่แน่ใจว่าติดอะไรถึงไม่ค่อยมีคนใช้งานกัน ในครั้งนี้เลยมาทดสอบใช้งานจริงกันรวมถึงทาง Mercedes เองก็จะเริ่มเอาจริงและโปรโมทใช้งานกันแน่ๆในเดือนหน้านี้ครับ ทางเราเลยได้มาทดสอบเป็นกลุ่มแรกๆกันก่อนเลย ซึ่งต้องบอกก่อนว่าตัว App นี้ใช้งานฟรีกันยาวๆครับ ยังไม่มีการเก็บค่าบริการ และสามารถเชื่อมกับรถตัวเองได้ทุกที่ในโลก แม้จะอยู่ต่างประเทศขอแค่มือถือเรามี อินเตอร์เน็ตใช้งาน ตัวแอปสามารถ ปลดล็อกรถระยะไกล เปิดกระจก ระบายความร้อน สั่งเปิดแอร์จากมือถือ กดหารถ กดให้บีบแตร หรือเปิดไฟ อีกทั้งยังดูสถานะการชาร์จไฟต่างๆได้ด้วย

ตัวแอปในการใช้งานจริงนั้นในภาพคือจะสั่งเปิดกระจกทั้ง 4 บานโดยที่รถยังคงล็อกอยู่ครับ และจริงๆสามารถสั่งที่ไหนก็ได้นะ แต่อันนี้เอามาให้ดูใกล้กับตัวรถนิดนึงจะได้เห็นกันชัดๆรวมถึงสามารถ กดปลดล็อกได้ผ่านมือถือและดูสถานะประตู อะไรได้ทั้งหมด มีประโยชน์ในกรณีต้องให้คนไปเอาของแต่กุญแจอยุ่กับตัวเราเป็นต้นนั้นเอง หรือ เราบินไปต่างประเทศ และกดดูสถานะรถ หรือ ปลดล็อกให้ทางบ้านมาหยิบของอะไรได้ง่ายๆและสั่งเองได้ทั้งหมดเลย

มากันที่หน้าตาตัวแอปนั้นเราจะเห็นว่าหน้าหลักจะมีหน้าตารถ พร้อมกับการเข้าถึงฟีเจอร์ 5 อันง่ายๆ ทั้งล็อกรถ เปิดกระจก รวมถึง ดูสถานะการชาร์จแบต และ เปิดแอร์ รวมถึงสถานะตัวรถว่าเป็นอย่างไร อีกทั้งนอกเหนือจากที่เห็นจะเห็น การดูระยะเวลาที่จะเข้าเช็คระยะ การแทรคติดตามรถ การตั้งความเร็วไม่ให้ขับเกิน หรือจะเป็นเปลี่ยนหน้าตา สีไฟในรถ และ หน้าปัดต่างๆได้ครับ และ ตั้งได้ด้วยว่าจะเป็นการกดตามหารถ กดให้ไฟส่องสว่างอะไรต่างๆทั้งหมด

หน้าตาเอาจริงๆนั้นใช้งานกันไม่ยากครับตัวแอปสามารถรองรับการใช้งานได้ค่อนข้างไวและไม่ได้ยุ่งยากแบบที่คิด แต่ถ้าหากมองกันตรงๆถือว่าฟีเจอร์ก็เพียงพอต่อการใช้งาน แต่ถ้าในอนาคตอาจจะมีอะไรเยอะกว่านี้แน่นอนว่าสามารถพัฒนาได้เสมอครับ รวมถึงการใช้รถยนต์ PHEV เสียบปลั๊กแบบนี้ การใช้งานแอปนี้มีความสำคัญมากๆ เพราะสามารถดูสถานะตัวการชาร์จไฟได้แบบ realtime บอกได้เลยว่าชาร์จไฟอยู่ และจะเต็มเมื่อไร วิ่งได้แค่ไหนนั้นเอง แต่หน้าจอตรงกลางนั้นจะเป็นแอปที่เราชาร์จผ่าน EA anywhere นะครับซึ่งจะเป็นการชาร์จนอกสถานที่ก็จะบอกว่าเราชาร์จไปกี่นาที เสียเงินเท่าไร และไฟได้เท่าไรก็ถือว่ารองรับได้ทั้งหมด จะไปชาร์จที่ไหนก็ได้ทั้งแบบฟรีและเสียเงินนั้นเอง

C300E AVANTGARDE

รุ่นที่เราทดสอบขับนั้นจะเป็นตัวเริ่มต้นที่ราคาถูกที่สุดของตระกูล C300e ครับมาพร้อมกับ เครื่องยนต์เบนซิน แบบ 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร 1,991 ซีซี. เทอร์โบอินเตอร์คูลเลอร์ กำลังสูงสุด 211 แรงม้า ที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 350 นิวตันเมตร ที่ 1,200 – 4,000 รอบ/นาที ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า กำลังสูงสุด 122 แรงม้า 440 นิวตันเมตร ให้กำลังสูงสุด 320 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 700 นิวตันเมตร จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ 9G-Tronic ขับเคลื่อนล้อหลัง แบตเตอรี่ความจุ 13.5 kWh ในราคา 2.699 ล้านบาทไทยถือว่าเป็นราคาที่ไม่แรงและจับต้องได้ง่าย แต่ถ้ามองในงานออกแบบอาจจะดูไม่เท่ ไม่สวยเท่าตัว AMG Dynamic นั้นเองแต่ถ้าใช้งานทั่วไปก็พอรับได้ และฟีเจอร์ สเปกอะไรก็เพียงพอต่อการใช้งานมากๆครับ หน้าจอต่างๆระบบควบคุมรวมถึง ระบบความปลอดภัยต่างๆ แต่จะขอบ่นในเรื่องของ กุญแจไม่ใช่แบบรุ่นพี่เท่าไร ในการขึ้นลงรถ ต้องกดล็อกจาก กุญแจ หรือ มือถือเท่านั้น ไม่สามารถ กดล็อกผ่านตัวมือจับ หรือ เอื้อมมือเข้าไปแล้วตัวรถจะปลดล็อกเองได้ อันนี้แอบน่าเสียดายและน่าบ่นมากๆในราคานี้น่าจะใส่มาให้ครับ และการสตาร์ทนั้นเป็นแบบปุ่มกดทั่วไป และหน้าตาระบบไม่รองรับ Apple Carplay ด้วย

งานออกแบบโดยรวมมีความเป็นผู้ดีเรียบร้อยครับดีไซน์ไม่ได้หวือหวามากนัก มาพร้อมกับล้อ อัลลอยแบบ 5 ก้านคู่ ขนาด 18 นิ้ว แต่ฝาท้ายอะไรใส่ไฟฟ้าเข้ามาให้ด้วยนะแต่ไม่มีระบบเตะเปิดครับ ส่วนทางด้านงานออกแบบภายในดีไซน์คุ้นเคยกันดีพร้อมกับลายไม้สีเทา หน้าจอตรงกลาง และหน้าปัดแบบเข็มทั่วไปครับ พร้อมกับ ไฟสร้างบรรยากาศภายในห้องโดยสาร Ambient Light ปรับเปลี่ยนได้ 64 สี และ หน้าจอกลาง ขนาด 10.25 นิ้ว ไม่รองรับระบบสัมผัสนะ ส่วน Apple Car Play / Android Auto อาจจะต้องไปอัปเดตครับเพราะที่ลองตอนนี้มันไม่ติด และรองรับ ระบบเชื่อมต่อรถยนต์ Mercedes me connectระบบโทรช่วยเหลือฉุกเฉิน Emergency Call System   ระบบวิเคราะห์สภาพรถยนต์ Telediagnostics  ระบบควบคุมการเปิด-ปิดระบบปรับอากาศแบบ Pre-entry Climate Control ส่วนฟีเจอร์กล้องมองหลังใส่เข้ามาให้ แต่ไม่มีกล้องรอบคันนะครับ และถุงลม 9 ตำแหน่ง

ก็ถ้าหากมองว่าเป็นคนที่เน้นใช้งานไม่ได้เน้นสวย หวือหวาอะไรมากนัก เน้นการขับขี่ทั่วไปดีไซน์เรียบๆแต่เครื่องยนต์ได้พละกำลังรุ่นใหม่ แรงๆพร้อมกับได้ช่วยลดมลพิษและชาร์จไฟพวกนี้ รุ่นนี้เอาจริงๆก็เพียงพอต่อการใช้งานกับขี่แล้วแหละ ยิ่งถ้าขับในเมืองนั้นใช้พลังงานไฟฟ้าล้วนๆไปกลับที่ทำงานบางทีไม่ต้องใช้น้ำมันเลย ประหยัดมากๆครับ และ ที่ทำงานใครมีที่ชาร์จไฟฟ้านั้นยิ่งประหยัดค่าน้ำมันแต่ละเดือนไปได้เยอะกว่าที่คิดและบอกเลยว่าพลังงานสะอาดล้วน

DRIVING

การขับขี่นั้นต้องบอกว่าตอนแรกก็ไม่ได้หวังอะไรมากนักในการขับขี่เพราะรถก็ตัวเริ่มต้น ธรรมดาไม่น่าจะแรงสนุกอะไรแบบนั้นรวมถึง เป็นรถยนต์ Hybrid และทางเราเคยทดสอบ AMG C43 ไปแล้วก่อนหน้านี้้ แต่หลังจากที่ได้สัมผัส C300e บอกเลยว่าอัตราเร่งหลังติดเบาะ ความรู้สึกแบบนี้ แทบจะใกล้เคียงกับ C43 อย่างมากในแง่ของความพุ่ง อัตราเร่งนะครับ แน่นอนว่าช่วงล่างการควบคุมคนละแนวกันแบบชัดเจน แต่เครื่องพละกำลังไม่ได้หนีกันแบบที่คิดไว้ การใช้มอเตอร์เข้ามาช่วยในการขับขี่ทำให้รถยนต์หลายๆคันมีพละกำลังที่มากขึ้น 0-100 แค่ 5วิกว่ารวมถึงอัตราเร่งในแต่ละช่วงพร้อมจะทะยานออกไปได้ทันที แม้ช่วงล่างจะแอบนิ่ม ย้วยไปหน่อยตามแนวของรถนั่งพื้นฐานแบบนี้ครับ

พวงมาลัยเป็นทรงกลมมาตรฐานไม่ได้มีการปาดขอบอะไรรวมถึงงานออกแบบต่างๆจะคนละแบบกับ AMG รุ่นย่อยนั้นจะเป็นแบบสปอร์ตขึ้น แต่ถ้ามองดีไซน์ภายในก็ถือว่าสวยใช้งานได้แล้วไม่ได้ดูเรียบมากเกินไปครับ รวมถึงการควบคุมอะไรภายในของทาง Benz ถือว่าทำออกมาใช้งานง่ายมากๆแล้วชอบ Trackpad มากๆตรงพวงมาลัย ส่วนมุมมองการขับขี่อะไรนั้นเป็นมาตราฐานทั่วไปเลยขับง่ายและเป็นรถที่ใช้งานทั่วไปได้แบบเต็มที่ แต่พละกำลังพร้อมจะพุ่ง 0-200 ได้แบบไวกว่าที่คิดมากๆ จนอยากจะได้ช่วงล่าง เทพมาใส่แทนเลยจริงๆ เครื่องยนต์การที่มีพลังงานไฟฟ้ามาเสริมในการขับขี่ในเมืองช่วยได้เยอะในการเร่งแซง การขับทั่วไปอะไรมันนิ่งเงียบและเนียนมากๆเป็นแบบรถยนต์พลังงานไฟฟ้าล้วนแบบนั้นจริงๆ แต่ถ้าหากเร่งแซงก็พร้อมที่จะพุ่งทะยานออกไปแบบไวมาก แต่ถ้าการขับขี่ทางไกลนั้นระบบพลังงานไฟฟ้าอาจจะไม่ได้เข้ามาเสริมอะไรมากนักครับแต่เวลาช่วงปล่อยลอยๆ บางทีก็เป็นการชาร์จไฟเข้าไปในตัวและเร่งแรงบางจังหวะใช้พลังงานไฟฟ้าก็ถือว่าช่วยในการขับขี่ทางไกลไปได้มากและประหยัดน้ำมัน

ส่วนตัวก็ยังคงชอบการขับขี่หลักๆเลยคือเรื่องของอัตราเร่งของตัวรถการทำความเร็วที่ทำได้ดีจนน่าตกใจ รวมถึงการขับขี่ในเมืองนั้นเป็นอะไรที่สบายมากๆครับ ส่วนทางไกลนั้นอัตราเร่งพร้อมจะแซงทุกคันแน่นอนแต่ว่าเรื่องของการควบคุมพวงมาลัยนั้นยังไม่ได้แม่นเทพแบบตระกูล AMG หรือในรุ่น AMG Dynamic เท่าไรนักจะเน้นขับสบายๆมากกว่าเลยทำให้การเปลี่ยนเลนอะไรอาจจะไม่ได้คมแบบพวกนั้นถ้าใช้งานความเร็วสูง รวมถึงช่วงล่างในการทำความเร็วมากๆนั้นแอบมีโยนนิดหน่อยแน่นอนว่าพอเข้าใจได้ เพราะรุ่นนี้จะเน้นนั่งสบายขับทั่วไป ไม่ได้เน้นสปอร์ตมากนักครับ เลยไม่ได้มีจุดให้บ่นถ้ามองในแง่ของรุ่นย่อยนี้และการขับขี่ทั่วไป แต่เครื่องยนต์ทำได้ดีเกินหน้าตาช่วงล่างไปมากจริงๆ ใครชอบขับแบบมุดสนุกหรือขับเร็วน่าจะชอบตระกูล EQ มากๆแน่นอนแต่ถ้าเน้นแบบนั้นลองเลือก AMG Dynamic น่าจะตอบโจทย์มากขึ้นไปอีก แต่ถ้าคนทั่วไปเน้นใช้งานทั่วไปคันนี้บอกเลยว่าพละกำลังเหลือเฟือมาก

CHARGE TO CHANGE

แคมเปญนี้ถือว่าชื่นชมคนที่คิดมากๆ ใครๆก็ชาร์จได้ขอแค่มาชาร์จ จะแบรนด์ไหนก็ตามชาร์จได้หมด ขอแค่หันมาชาร์จกันมากขึ้น ใช้พลังงานแบบนี้กันมากขึ้น จะช่วยโลกได้จริงๆเป็นแนวคิดที่อยากจะช่วยโลกจริงๆของทาง Mercedes ครับแน่นอนว่าในไทยที่ชาร์จอาจจะไมได้แพร่หลายมากนัก แต่หลายๆแบรนด์ก็พยายามทำ ลุยตลาดให้กันอยู่เช่นกัน ทั้งรถยุโรป หรือ จีนเองแน่นอนว่ายิ่งมีสถานีชาร์จยิ่งส่งผลดีต่อผู้ใช้งานครับ และในครั้งนี้จริงทางแอดเองก็ไปชาร์จตามห้าง ตามสถานีเสียเงินบ่อยก็ไม่ได้ลำบากยุ่งยากขนาดนั้นครับอยากให้ทุกคนได้ลองใช้งานกันจริงๆ ทริปนี้เองก็ทางโรงแรม RENAISSANCE ก็มีที่ชาร์จของทาง EQ  ติดตั้งให้ 2 จุดรองรับการชาร์จใช้งานได้ทันที

ตัวชาร์จนั้นเป็นหัวแบบ TYPE 2  มาตรฐานยุโรป และ รถยนต์สมัยใหม่ทุกคันครับ สามารถรองรับการชาร์จได้ทุกยี่ห้อไม่จำเป็นต้องเป็นทาง Mercedes-Benz ตัวชาร์จนั้นสามารถเสียบใช้งานได้เลย ส่วนการชาร์จนั้นไม่ยากครับ แค่เราดับเครื่อง-มาเปิดฝาท้ายรถ-เสียบชาร์จ-ล็อกรถ และตัวไฟก็จะเริ่มชาร์จไฟเข้าครับ ถ้าไม่ล็อกรถตัวไฟจะไม่ทำงานนะครับ และ ตอนจะเก็บนั้นต้องปลดล็อกก่อนถึงจะดึงออกจากตัวรถได้นะ เพราะเป็นระบบป้องกันไม่ให้คนมาดึงออกครับ

เมื่อเสียบชาร์จนั้นตัวรถก็จะมีสถานะขึ้นในหน้าจอมือถือของเราว่าตอนนี้แบตเหลือเท่าไร และจะเต็มภายในกี่โมงเช่นในภาพนั้นจะเต็มในเวลา 18.30 นั้นเองและที่ทดสอบนั้นเวลาก็อิงได้แน่นอนมากๆตามเวลาเลยนั้นเองสามารถดูแบบ realtime ได้เลยผ่านทางแอป Mercedes Me Connect และบอกได้ด้วยว่าจะขับได้ประมาณกี่กิโลในการชาร์จครับ แน่นอนว่าเป็นปกติของพวก PHEV พวกนี้แบตจะวิ่งได้ประมาณ 40-50 กิโลครับไว้สำหรับขับทั่วไป เสริมเวลาใช้งานเท่านั้นจะไม่ได้เน้นขับเพียวๆเยอะมาก เพราะยังคงมีเครื่องยนต์เข้ามาเสริมนั้นเอง แต่ถ้าใครขับในเมืองบางทีวันนึงอาจจะไม่ต้องใช้เครื่องเลยก็เป็นไปได้ครับ เพราะถ้าระยะใกล้ๆและไม่ได้ขับนานๆวันนึงไปที่ทำงานก็เหลือๆแล้ว

การใช้พลังงานไฟฟ้านั้นนอกเหนือจากจะช่วยลด มลพิษแล้วยังคงช่วยในเรื่องของการขับขี่ อัตราเร่งอะไรที่ดีขึ้นด้วยเช่นกันและจะเห็นว่าในตลาดเมืองไทยตอนนี้ทุกค่ายแทบจะมี Plugin Hybrid แล้วและอีกหน่อยนั้นทั่วโลกจะเข้าสู่พลังงานไฟฟ้า หรือ Hybrid ทุกคันและเครื่องยนต์ล้วนๆจะหายไปจากตลาดแน่นอนครับ และ รถไฟฟ้าจะเข้ามาแทนที่ ซึ่งเทคโนโลยีนี้เป็นเหมือนกับการเตรียมตัวปูพื้นฐานการใช้งาน การชาร์จไฟ การเตรียมสถานีชาร์จเพื่ออนาคตเลยนั้นเอง ตอนนี้อาจจะมีไม่เยอะมากและเน้นในเมืองแต่ถ้ามีคนใช้งานเยอะขึ้น ค่ายรถทำกันเยอะขึ้นไม่แน่เราอาจจะได้ใช้งาน สถานีชาร์จไฟเยอะขึ้นมากกว่าตอนนี้ และมีแพร่หลายในหลายๆจังหวัดในประเทศไทยก็เป็นไปได้เช่นกัน

MERCEDES C300e , Mercedes Me Connect !

ก้าวเข้าสู่ยุคพลังงานไฟฟ้า PHEV  พร้อมกับเทคโนโลยีการเชื่อมต่อผ่านมือถือเป็นยุคที่ทุกคนต้องปรับเปลี่ยนอะไรในการใช้งานรถยนต์มากขึ้น แต่ทั้งนี้การปรับเปลี่ยนย่อมดีกับทั้งโลกของเรา และการใช้งานของเราที่สะดวกมากขึ้นทั้งตัวรถที่ขับขี่ได้ดีขึ้น ใช้พลังงานสะอาดมากขึ้น มีการรองรับการชาร์จไฟมากขึ้น และขับสนุกมากขึ้นแน่นอน รวมถึงช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้ดีแน่ๆครับในเรื่องของอัตราสิ้นเปลือง อีกทั้งในเรื่องของแอป Mercedes Me Connect นั้นยังช่วยใช้คนใช้งานสะดวกมากขึ้น สั่งงานเปิดกระจกได้ ปลดล็อกได้ รวมถึง ดูสถานะตัวรถ หารถได้ และเปิดแอร์ก่อนเข้าไปนั่งได้เลยโดยที่ไม่ต้องสตาร์ทรถยนต์ครับเพราะมีพลังงานในตัวแบตทำให้ช่วยเรื่องมลพิษไปได้อีกเท่าตัว รถยนต์ Plug in Hybrid นั้นเริ่มเข้ามามีบทบาทในไทยและอยากให้ทุกคนลองใช้งานและมองเป็นตัวเลือกในการซื้อหรือใช้งานกัน เป็นพื้นฐานที่จะปูทางไปสู่อนาคตทั้งตัวเราและโลกได้ดีรวมถึงเทคโนโลยีก็ปรับปรุงไปเยอะมากเช่นกัน

สำหรับรีวิวนี้เป็นการทำบทความเกี่ยวกับรถยนต์ หรือ สายยานยนต์ของเรา และถ้าหาก มีข้อผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ มีข้อเสนอแนะ หรือข้อนำแนะอะไร ยังไงสามารถแจ้งเราได้เสมอเพื่อการปรับปรุงที่ดีขึ้นครับ เพื่อนๆสนใจอยากให้พวกผมรีวิวรถรุ่นไหนสามารถ Inbox มาบอกเราได้เลยนะ จะพยายามจัดหามาให้อ่านกันเยอะๆ ขึ้นเรื่อยๆ ครับ … สำหรับ Techhangout Auto !

ฝากไลค์เพจ FACEBOOK เราด้วยนะครับ >>>>>>>>>  TECHHANGOUT

เข้าร่วมกลุ่ม TECHHANGOUT พูดคุยแลกเปลี่ยน ข้อมูล คุยกันเองชิลๆได้เลยที่ — Facebook  Techhangout พูดคุย Smartphone gadget 

By Nineztr