HUAWEI นั้นยังคงเดินหน้าผลิต KIRIN 9000 ตัวล่าสุดที่มาพร้อมกับ 5nm ในสถาปัตยกรรมที่ต้องบอกว่าล้ำหน้าพอสมควร และ โดดเด่นในเรื่องของการรองรับ 5G การจัดการพลังงานของตัวเครื่องที่ยังคงโดดเด่นกว่าตัวอื่นๆ อีกทั้งยังทำประสิทธิภาพได้ดีในการใช้งานทั่วไปรวมถึงเล่นเกมก็ทำได้ดีเลยทีเดียว ส่วนเรื่องของกล้องนั้นค่ายนี้ยังคงพัฒนาต่อเนื่องร่วมกันกับทาง LEICA ในรุ่น Pro นี้จะใช้งานเลนส์หลักที่ 50MP พัฒนาขึ้นจาก RYYB ตัวเดิม รองรับการใช้งาน OIS และ เลนส์มุมกว้าง รวมถึง เทเลที่ยังคงทำได้ดี  Periscope Telephoto Camera ที่ซูมแบบออปติคัลได้ที่ 7x และซูมแบบดิจิทัลได้สูงสุดถึง 50x  และ มาพร้อมฟีเจอร์การถ่ายที่เยอะขึ้นจากเดิมทั้งภาพนิ่ง และ วีดีโอ ส่วนลำโพงอะไรก็พัฒนาขึ้นด้วยเช่นกัน ในรุ่น MATE40 PRO ครั้งนี้ และงานออกแบบนั้นก็สานต่อจากรุ่นเดิม  ตอกย้ำเอกลักษณ์ของ HUAWEI Mate Series ด้วยการวางกล้องเป็นวงกลมแบบ Space Ring Design ที่ได้แรงบันดาลใจจากการอยู่ท่ามกลางจักรวาลและดวงดาว และ หน้าจอ OLED แบบ HUAWEI Horizon Display โค้งทำมุม 88 องศา ทำให้จอแสดงผลเสมือนไร้ขอบ รับชมภาพเต็มตาสมจริง ที่ 90Hz

HUAWEI MATE 40 PRO นั้นจะมาพร้อมกับ KIRIN 9000 5nm รองรับการใช้งาน 5G พร้อมกับ RAM 8GB STORAGE 256GB มาพร้อมหน้าขอ OLED ขอบโค้งขนาด 6.76 นิ้ว (ขอบโค้ง88องศา) ความละเอียด FHD+ , มีรีเฟรชเรท 90Hz และความถี่การตอบสนอง 240Hz ส่วนภายในตัวเครื่องมาพร้อมชิปประมวลผล Kirin 9000 5G 5nm  กล้องหลังของ Mate40 Pro มีจำนวน 3 ตัว ประกอบด้วย กล้อง 50MP ที่รองรับ OIS + กล้องทรงโคน (Cine) 20MP ที่ลดความบิดเบี้ยวในการถ่ายภาพมุมกว้างลง + กล้องเทเล 12MP ที่สามารถซูมแบบ opticalได้ 5x ส่วนทางด้านกล้องหน้านั้นให้มาที่ 13MP F2.4 พร้อมกับการรองรับเลนส์มุมกว้างในตัว ส่วนทางด้าน แบตเตอรี่ 4,400mAh ที่รองรับชาร์จเร็ว HUAWEI SuperCharge 66W, ชาร์จไร้สาย 50W และสามารถกระจายไร้สายให้เครื่องอื่นได้เหมือนเดิม แน่นอนว่ายังคงกันน้ำ IP68 เช่นเดิม  และ งานออกแบบนั้นยังคงเด่นกว่าตัวอื่นๆ สานต่อจากรุ่นเดิม ได้ดี ส่วนทางด้านระบบนั้นยังคงใช้งาน Android 10 แต่ยังไม่มี GMS นะ

HUAWEI MATE 40 PRO เปิดราคาในไทยมาพร้อมกับ RAM 8GB STORAGE 128GB ที่ 34,990 บาท  รองรับใช้งาน 5G  มาในสี Black และ Mystic Silver
HUAWEI MATE 40 PRO 

UNBOX

อุปกรณ์นั้นยังคงจัดเต็มให้มาในกล่องไม่ว่าจะเป็น ตัวเครื่อง Adaptor การชาร์จไว รวมถึง เคสใส และ ฟิล์มกันรอยไม่ได้ตัดออกไปไหน รวมถึง หูฟังแบบ USB-C ก็ยังคงแถมมาให้ครับถือว่าเป็นค่ายที่ยังคงใจดีแถมมาให้พร้อมใช้

  • ตัวเครื่อง HUAWEI MATE 40 PRO
  • หูฟัง USB-C
  • สายชาร์จ USB-C
  • Adaptor ชาร์จไฟ 66W
  • เคสใส TPU
  • ฟิล์มกันรอยติดมาให้บนตัวเครื่อง
  • คู่มือ ที่จิ้มซิม

ตัวเครื่องของทาง HUAWEI นั้นถือว่ายังคงใจดีแถมเคสมาให้ใช้งานกัน เป็นเคสแบบนิ่มขนาดกำลังดีไม่ได้หนาและไม่ได้บางมากเกินไปเมื่อเทียบกับตัวเครื่อง รองรับการคลุมทั้งหน้าจอโค้งและเลนส์กล้องด้านหลังได้ในการใช้งาน ตัวเคสนั้นไม่ได้เพิ่มความหนามามากแต่อย่างใด และไม่ได้ทำให้ตัวเครื่องหนักขึ้นด้วยเช่นกัน แต่ถ้าใครเน้นเรื่องของการกันกระแทกมากๆอาจจะไม่ได้ตอบโจทย์เพราะว่าด้วยการออกแบบหน้าจอโค้งอาจจะปกป้องได้ยาก ถ้าใช้งานแก้ขัดในช่วงแรกไปก็ยังถือว่าดีและยังคงให้มาในตัวกล่อง เป็นสีใสพร้อมกับวัสดุเคสแบบนิ่มพอสมควร

DESIGN

งานออกแบบของทาง HUAWEI MATE 40 PRO รอบนี้มีการอิงดีไซน์ที่ค่อนข้างเป็นเอกลักษณ์ของตัวเองแน่นอนว่าทางด้าน MATE จะเน้นความสมมาตรมาโดยตลอด ในรุ่นก่อนหน้านี้จะเป็นวงกลมถือว่าสวยงาม และในรุ่นนี้ยังคงเป็นวงกลมแต่มีการออกแบบตรงกลางเป็นสีเดียวกับตัวเครื่องทำให้รูปทรงนั้นเหมือนวงแหวนนั้นเองจนแอบนึกถึงiPod ยุคแรกๆ แน่นอนว่าไม่ค่อยไปอิงดีไซน์ตามคนอื่นและมีความโดดเด่นชัดเจนครับ วัสดุงานประกอบเนียนแน่นพร้อมกับ ฝาหลังแบบด้านเล่นแสงสีสวยงามมากๆ มาพร้อมกับขนาดน้ำหนักที่แอบมากกว่าเดิมนิดหน่อยในตัวนี้

ทางด้านหน้าจอนั้นต้องบอกว่ารุ่นนี้ยังคงมีความโค้ง 88 องศาแบบรุ่นก่อนหน้า แต่ข้อดีคือไม่มีความโค้งส่วนขอบบนและขอบล่างแบบP40 PROทำให้การจับถือ การติดฟิล์มนั้นง่ายกว่ามาก มาพร้อมกับ  หน้าจอ OLED ขนาด 6.76 นิ้ว (2,772 x 1,344 พิกเซล) FHD+, มีรีเฟรชเรท 90Hz ที่สเปกนั้นจะใกล้เคียงกับ P40 Pro ก่อนหน้า

ทางด้านหน้าจอส่วนบนนั้นเราจะเห็นว่างานออกแบบจะใกล้เคียงกับ P40 PRO ก่อนหน้านี้แต่จะมาพร้อมกับ กล้องเซลฟี่ความละเอียด 13MP พิกเซล 1.22 ไมครอน รองรับการปรับมุมภาพ มุมกว้างพิเศษ และ มีเซนเซอร์ IR คอยจับการเคลื่อนไหว การควบคุมผ่านอากาศได้ทั้งหมด และมาพร้อมกับการรองรับสแกนใบหน้าแบบ 3 มิติ

ส่วนทางด้านขอบล่างหน้าจอนั้นจะเป็นการควบคุมที่สามารถปรับตั้งค่าได้ว่าจะเป็นการใช้งานแบบเต็มหน้าจอ Gesture ปกติหรือจะเป็นปุ่มควบคุมปกติครับ ทำให้การใช้งานขอบหน้าจอนั้นเต็มตามากขึ้น แต่ขอบล่างก็ถือว่ามีความบางพอสมควรเมื่อเทียบกับรุ่นก่อน แต่ก็ยังแอบหนากว่าด้านบนอยู่เช่นกัน แต่ไม่ได้ต่างกันมากนัก

ขอบเครื่องด้านล่างนั้นจะเห็นว่ามาพร้อมกับถาดซิม Dual Sim รองรับการใช้งาน 5G และ รู USB-C สำหรับการชาร์จ รวมถึง ลำโพงหลักของเครื่อง และในรุ่นนี้มีการใส่ลำโพงมาให้เป็นลำโพงคู่แล้วเช่นกัน ส่วนขอบนั้นเป็นสีเงินโครเมี่ยมสวยงาม พร้อมกับรูปทรงหน้าหลังนั้น สมมาตรกันทั้งหมดโค้ง 88 องศาทั้งส่วนบนและล่างเช่นกัน

ขอบเครื่องทางด้านขวานั้น เป็นการปรับมาของปุ่มเพิ่ม ลด เสียงแบบปกติ หลังจากที่ไปใช้งานระบบสัมผัสในรุ่นก่อนหน้านี้แน่นอนว่าจะเห็นว่าขอบหน้าจอโค้งเหมือนเดิม แต่ถ้าใครติดใจการปรับเสียงแบบสัมผัสนั้นก็ยังคงเปิดใช้งานได้เช่นกันทั้งขอบซ้ายและขวา แต่แทรกปุ่มเข้ามาเพิ่มเติมครับเล็กๆบางๆแต่ก็ใช้งานได้ปกติสำหรับคนที่ไม่ชิน

ส่วนขอบเครื่องด้านซ้ายนั้นเราจะเห็นเลยว่าการที่ขอบหน้าจอโค้งมาแบบนี้ทำให้ตัวเครื่องดูบางสวยงามมากๆ และมีระบบป้องกันเวลาจับถือจะไม่ลั่นด้วยเช่นกัน และฝั่งนี้จะไม่มีปุ่มอะไรถือว่าเป็นงานออกแบบที่สวยและลงตัวมาก

ขอบเครื่องในส่วนบนนั้นเราจะเห็นว่ายังคงมี ไมค์ตัดเสียงมาให้ พร้อมกับ รู Infared สำหรับการควบคุมเครื่องใช้ไฟฟ้า และแน่นอนว่าเป็นการใส่ลำโพงหลักตัวที่ 2 เข้ามาให้ในขอบด้านบนทำให้รองรับการใช้งานลำโพงได้ดีมาก

ฝาหลังในรุ่นนี้มาพร้อมกับการออกแบบที่อิงกับการออกแบบแบบเดิมแต่จะเปลี่ยนดีไซน์ให้เป็นวงแหวนมากขึ้นและการวางกล้องหลัง 3 ตัวพร้อมกับเซนเซอร์ Laser เข้ามา 4 มุมพร้อมกับเขียน LEICA เช่นเดิมตรงวงกลาง ส่วนฝาหลังนั้นเป็นวัสดุกระจกแบบด้านพร้อมกับเล่นแสงสีสวยงามสะท้อนแสงไล่เฉดสีสวยงามมากเวลาเจอแสงอาทิตย์ ส่วนความหนาบาง นั้นแอบรู้สึกว่ามีน้ำหนัก หนากว่าเดิมนิดหน่อยอาจจะด้วยเลนส์และเทคโนโลยีการถ่ายต่างๆนั้นเอง

ทางด้านกล้องหลังเราจะเห็นว่ามีทั้งหมด 4 ตัว แต่จริงๆนั้นในส่วนของเลนส์ตัวที่ 4 นั้นจะเป็น  Laser Sensor สำหรับจับโฟกัสต่างๆ นั้นเอง ส่วนตัวเลนส์หลักนั้นจัดเต็มพัฒนามากขึ้นเป็น 50MP Ultra Vision 50MP (f/1.9), เซนเซอร์ขนาด 1/1.28 นิ้ว, RYYB ส่วนกล้องมุมกว้างนั้นมาให้ที่ กล้อง Ultra Wide Cine 20MP (f/1.8), ทางยาวโฟกัส 18 มม 102 องศา . และมุมซ้ายบนนั้นจะเป็น กล้อง Telephoto 5x แบบ Periscope 12MP (f/3.4), OIS, ทางยาวโฟกัส 125 มม. และสุดท้ายนั้นจะเป็น Laser Sensor นั้นเอง

SPEC

  • หน้าจอ OLED ขนาด 6.76 นิ้ว (2,772 x 1,344 พิกเซล) FHD+, มีรีเฟรชเรท 90Hz
  • ชิปประมวลผล HUAWEI Kirin 9000 5G ที่ใช้การ์ดจอ ARM Mali-G78 MP24 + NPUs
  • RAM 8 GB
  • Storage 256GB UFS 3.1
  • Android 10 ที่ครอบด้วย EMUI 11
  • กล้อง RYYB Ultra Vision 50MP (f/1.9), รองรับ OIS + กล้อง Cine ultra-wide 20MP (f/1.8) + กล้องเทเล 12MP ที่สามารถซูม optical ได้ 5x, LED flash
  • กล้องหน้า 13MP (f/2.4) + เซ็นเซอร์ตรวจจับความลึก ToF 3D
  • เซนเซอร์สแกนนิ้วใต้หน้าจอ
  • ใช้พอร์ตหูฟัง USB Type-C
  • ตัวเครื่องกันน้ำมาตรฐาน IP68
  • ขนาดตัวเครื่อง :162.9×74.5×9.1mm(บอดี้กระจก) / 9.5mm (บอดี้หนัง); น้ำหนัก: 212กรัม
  • รองรับ 5G SA/NSA, Dual 4G VoLTE, Wi-Fi 802.11 ax (2.4GHz and 5GHz),
  • Bluetooth 5.2 LE, GPS (L1 + L5 dual-band), NavIC, NFC,
  • รองรับการใช้งาน Smart Gesture Control
  • ใช้พอร์ต USB 3.1 Type-C (GEN1)
  • แบตเตอรี่ 4,400mAh ที่รองรับชาร์จเร็ว HUAWEI SuperCharge 66W, ชาร์จไร้สาย 50W

PERFORMANCE

ประสิทธิภาพในตัวเครื่อง HUAWEI MATE 40 PRO นั้นต้องบอกว่า มาพร้อมกับ Kirin 9000 ตัวใหม่ล่าสุดที่รองรับการใช้งาน 5G  ในการผลิตเทคโนโลยีที่ 5nm ที่ใช้การ์ดจอ ARM Mali-G78 MP24 + NPUs แน่นอนว่าเรื่องของประสิทธิภาพรุ่นนี้ก็ยังคงเป็นค่ายที่พัฒนาเรื่องของ CPU มาอย่างต่อเนื่องและเด่นๆเรื่องของประสิทธิภาพและการจัดการพลังงานของระบบต่างๆทางด้านประสิทธิภาพ สามารถทำคะแนน Antutu ไปได้ที่ 721462 คะแนน และ Netflix แน่นอนว่ารุ่นนี้การรองรับนั้นไม่สามารถดูความละเอียดสูงได้ครับ ส่วนการอ่านเขียน Androbench ในหน่วยความจำถือว่าสูงพอสมควร ทำไปได้ ในการอ่าน 2000 MB/s และ เขียนไปได้ที่ 1223 MB/s  โหดมาก

SYSTEM UI

ทางด้านหน้าตา ยังดีว่ายังใช้งาน Android 10 เลยยังพอใช้งานได้ไม่เลวร้ายไปซะทีเดียว แต่ที่ชอบคือ UI หน้าตา EMUI 11 ไม่รกแล้ว แต่ตัวแอปไอคอนก็ไม่เรียบซะทีเดียว ไม่มีเลขมุมแอป และ การแจ้งเตือนไม่เด้งเลย ถ้าใช้งานพวก Facebook หรือ แอปอื่นๆที่ลงเพิ่มคือไม่เห็นแจ้งเตือนเลยไม่เด้งเลย หรือค่อนข้างเด้งช้ามาก

หน้าตา Quick setting ลากลงมา อะไรปกติครับมีการเปลี่ยนหน้าตาไอคอนที่เรียบและสวยงามขึ้น รองรับการปรับแต่งมากมาย และสามารถใช้งาน 2 หน้าจอได้ครับสามารถเลือกแอปอะไรได้ปกติเลย แบ่งหน้าจอได้เอาข้อนิ้วลากแบ่งหน้าจอ หรือ เวลากดเคลียร์แอปและกดแบ่งหน้าจอได้ หรือจะใช้งานเป็นหน้าต่างลอยแบบในภาพได้เลย

คีย์บอร์ดนั้นยังคงใช้ของ SwiftKey ครับรองรับภาษาไทยปกติ เมนูไทยมีในเครื่องปกติครับ เดิมๆ แต่ในภาพแอดมินลง GBoard แล้ว ส่วนทางด้านหน่วยความจำ 256GB นั้นเหลือใช้งาน 220GB  และ RAM 8GB นั้นเหลือใช้งานประมาณ 3.3GB ครึ่งๆของที่ให้มา

การสแกนนิ้วบนหน้าจอ สแกนใบหน้านั้นให้มาครบสามารถทำงานได้ดีทั้งคู่ แอปสามารถโคลนอะไรได้ปกติ และ Gesture รองรับเหมือนเดิมทั้งตอนปิด หรือ เปิดหน้าจอ การใช้ข้อนิ้วเคาะก็ยังมีมาให้ครบเหมือนรุ่นก่อนหน้า

Gesture ในอากาศตัวนี้รองรับการทำงานสั่งงานด้วยมือ ทำได้ 5 อย่างหลักๆคือ แคปหน้าจอ / เลื่อนขึ้น / เลื่อนลง /ซ้าย ขวา / กดเล่นเพลง รับสาย โดยจะใช้งานได้ตอนแสงสว่างเพียงพอ แต่ถ้ามืดๆกลางคืนนั้นหมดสิทธ์ และรองรับปากกาด้วยนะของ M-Pen ใช้ได้ทั้งหมดเลยเอาของ Mateก่อนหน้ามาใช้ก็ได้เช่นกัน รวมถึงตัวควบคุมก็ปรับเปลี่ยนได้3แบบ

หน้าจอนั้นมาพร้อมกับการอัพเกรดมารองรับ 90Hz สามารถปรับเปลี่ยนได้ รวมถึงตั้งค่าความละเอียดได้ด้วยเช่นกันครับ พร้อมกับ โหมดมืด หรือ Eye Comfort ก็ยังคงใส่เข้ามาให้แน่นอนว่าหน้าจอปรับตั้งค่าใกล้เคียงกับ P40 Pro

APP GALLARY ติดเครื่อง แทน PLAYSTORE 

ในส่วนของ APP Gallary นั้นต้องบอกว่ามันมาแทน Playstore มากกว่าเดิมตอน Mate30 Pro เยอะเลย เช่นพวกแอป ธนาคารนั้นเหมือนจะมีครบทุกธนาคารแล้ว และมีแอปเข้ามาเยอะขึ้นแต่พวก LINE GRAB หรือแอปสั่งอาหารทั้งหมดจะไม่รองรับและยังไม่ขึ้น แต่อนาคตนั้นยังคงมีมาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆและทาง Huawei เองก็ทราบจุดนี้ ทั้งเรื่องของแอปธนาคารก็เข้ามาครบแล้ว รวมถึง LINE ตัวเต็มก็สามารถใช้งานได้แล้วนั้นเองไม่ต้องลง GMS

THEME

ธีมตัวนี้รองรับการเปลี่ยนปรับแต่งหลากหลายมีทั้งเสียตังค์และไม่เสียเงินปรับได้หลักๆคือ ฟอนต์ หน้าตาแอป พื้นหลัง และ Always On Display ครับซึ่งถือว่าในรุ่นก่อนๆนั้นปรับอะไรได้ไม่เยอะในหน้าจอนี้แต่ครั้งนี้ก็ปรับได้หลากหลายถือว่ายังรองรับได้ดีเช่นเดิมสำหรับการตกแต่งออกแบบของทาง HUAWEI รอบนี้

SCREEN

ทางด้านหน้าจอนั้นมาพร้อมหน้าจอ 6.76 นิ้วที่โค้งด้านข้างถึง 88 องศาที่ FLEX OLED FHD+ (1,176 x 2,400px) Touch Sampling Rate 240Hz. และในครั้งนี้ได้ปรับมาใช้งานปุ่มขอบเครื่องเหมือนรุ่นทั่วไป รุ่นปกติแล้วนั้นเอง จากที่รุ่นก่อนๆนั้นจะใช้งานปุ่มบนขอบหน้าจอ และ ก็ได้ปรับมาใช้งานหน้าจอที่มีความลื่นไหล 90Hz พร้อมกับรองรับการสัมผัส 240Hz ที่ติดนิ้วและลื่นไหลมากกว่าเดิมด้วยเช่นกัน และงานออกแบบก็เปลี่ยนมาใช้งานหน้าจอแบบเจาะรูขอบมุมซ้ายที่มีขนาดใหญ่พอๆกับรุ่น P40 Pro ด้วยเช่นกัน แต่ก็ได้หน้าจอแบบขอบโค้งสุดๆ 88 องศา ซ้ายขวา ไม่มีโค้งขอบบนและล่างแบบรุ่น P40 Pro นั้นเอง แน่นอนว่าการใช้งานขอบหน้าจอแบบนี้ใส่เข้ามาให้ใช้งานกันทำให้ขอบเครื่องนั้นดูบางและไร้ขอบ แต่การใช้งานต้องระวังกันนิดหน่อย และตัวฟิล์มอาจจะหายากและติดยากกันพอสมควร  และคุณภาพหน้าจออะไรนั้นแอบดูสวยและสู้แสงได้ดีกว่ารุ่นก่อนหน้านะ

ALWAYS ON DISPLAY 

ก็มีมาให้แล้วรองรับการปรับแต่งได้หลากหลายมากขึ้นเยอะ และสามารถติดตลอดเวลาได้เห็นได้ชัดเจนและปรับแต่งแบบของตัวเองได้หรือจะหาซื้อใน ธีมก็ได้เช่นกัน ส่วนหน้าจอนี้จะสามารถสแกนนิ้วได้เมื่อมีสัญลักษณ์ติดขึ้นมา หน้าตาสามารถเปลี่ยนแปลงได้มากขึ้นตามระบบที่อัปเดตขึ้นมาเป็นภาพเคลื่อนไหว หรือ สามารถเลือกจากรูปได้

SMART SENSING

ในการควบคุมสั่งงานด้วยมือแบบไม่ต้องสัมผัสหน้าจอ เป็นฟีเจอร์ที่ในรุ่นนี้ก็ใช้เซนเซอร์ตรวจจับพิเศษ แน่นอนว่าพัฒนามามากขึ้นจากรุ่นก่อน เพราะถ้าหากใครจำกันได้ในรุ่น Mate 30 Pro นั้นจะทำได้แค่ เลื่อนขึ้น ลง และ แคปหน้าจอ แต่ในรุ่นนี้พัฒนามามากขึ้นรองรับการ ปัดซ้าย ปัดขวา เลื่อนขึ้น เลื่อนลง และ แคปหน้าจอ รวมถึง สามารถกดเล่นเพลงอะไรได้ด้วยเช่นกันครับ ถือว่าปรับปรุงมาเยอะมาก แต่ก็ใช้งานในที่แสงน้อยลำบากพอสมควร ยิ่งถ้าที่มืดนั้นจะไม่ทำงานเลย แต่ก็รองรับทุกแอป และทุกประเทศ ในฟีเจอร์ใหม่ๆบางส่วนนั้นจะใช้งานได้แค่ Gallery Music ไปก่อนนะครับ  และนอกเหนือจากควบคุมแล้ว ยังสามารถ ให้หน้าจอติดเวลามอง และ มองหน้าจอเพื่อลดเสียงได้เวลามีคนโทรมา หรือจะเป็นการ โชว์มือบนหน้าจอ เพื่อปลุกเครื่อง ซึ่งฟีเจอร์พวกนี้ใช้งานจริงได้

ในส่วนของ Huawei นั้นจะทำได้หลากลาย แบบ คือ

  • แคปหน้าจอ โดยการ แบมือและกำมันก็จะถ่ายหน้าจอได้
  • เลื่อนลง แบมือเข้ามือถือและปัดลง มันจะเลื่อนให้เลย
  • เลื่อนลง คว่ำมือใส่หน้าจอ และ ปัดขึ้น มันก็จะปัดหน้าจอขึ้นให้ โดยที่เราไม่ต้องแตะหน้าจอ
  • เลื่อนซ้าย ปัดมือไปทางซ้าย รองรับแค่ Gallery และ E-Book
  • เลื่อนขวา ปัดมือไปทางขวา รองรับแค่  Gallery และ E-Book
  • กดเล่นเพลง หรือ รับสาย โชว์มือห่างหน้าจอ และ ขยับเข้าไปใกล้
  • แบมือ เพื่อ ปลุกตัวเครื่อง หรือ หน้าจอ
  • เมื่อมองหน้าจอ จะลดเสียงโทรเข้า หรือ ไม่ให้หน้าจอดับได้

FINGERPRINT 

การสแกนนิ้วยังคงเป็นแบบ  Optical  เหมือนในรุ่นอื่นๆแต่ถ้าใครสังเกตจะเห็นว่าสแกนนิ้วแสงนั้นป็นสีขาวแล้วจากที่รุ่นก่อนๆจะเป็นสีเขียวทั้งหมด และรวมถึง Mate30 Pro ก็สีเขียวครับแน่นอนว่าสีขาวมันเทคโนโลยีที่ใหม่กว่าเลยทำให้ไวกว่าในการใช้งานด้วย ทำให้ในด้านความเร็ว และ รองรับการใช้งานแบบมือเปียกนั้นเอง ถือว่าเป็นจุดที่ดีและใช้งานได้โอเคกว่าที่คิดเลยแหละใช้งานได้ขณะจอปิดและสามารถแตะได้เลย ไม่ต้องกดปุ่มเปิดเครื่องก่อน ส่วนความไวนั้นยังคงทำได้ดีและเป็นรุ่นที่ไวกว่ารุ่น P30 PRO – MATE 30 PRO อีกด้วย

SOUND 

เรื่องของเสียงนั้นเป็นอีกจุดที่ทางค่ายนี้อาจจะไม่ได้เน้นอะไรมาก หูฟัง ในรุ่นนี้ไม่มีรู 3.5มม.แล้ว มาพร้อมหูฟังแบบ Type-C และผมไม่เห็นตัวแปลงมาให้นะครับในรุ่นนี้ ส่วนเรื่องของเสียงนั้นในเรื่องของ Software กันก่อนมีตัวปรับเสียง Dolby Atmos มาให้ครับสำหรับเสียงดูหนัง เล่นเกมต่างๆเสียงยังคงคล้ายๆรุ่มเดิมไม่ได้โดดเด่นมากนัก เสียงกลางๆ กำลังขับกลางๆ เบสพอมีฟังสนุก เสียงร้องชัด เสียงแหลมเด่นและแอบจัดไปหน่อย การที่ตัดรู 3.5มม.ออกไปนั้นก็น่าเสียดายไปนิดหน่อยแต่คงจะพยายามดันไร้สายเข้ามามากขึ้น แต่ถ้าสายฟังเพลงนั้นก็สามารถหา DAC ตัวแปลงอะไรมาต่อเพิ่มได้สำหรับฟังเสียง 3.5มม. และ คุณภาพเสียงจะดีขึ้นแล้วแต่ DAC ที่เข้ามาต่อได้เลยครับก็เป็นอีกทางเลือกสำหรับสายฟังเพลง ส่วนถ้าเสียงเดิมๆเทียบกับรุ่นก่อนเรียกได้ว่าใกล้กันมากๆครับ

ทางด้านหูฟังในรุ่นนี้เป็นหูฟังทรงเดียวกับในตัว Mate 30 Pro ก่อนหน้านี้เลยครับทั้งรูปทรงรวมถึงคุณภาพเสียงนั้นเป็นแบบเดียวกันเลย มีตัวควบคุมมาให้ในการรับสาย ไมค์ รวมถึงเพิ่ม-ลดเสียง  สายทั้ง 2 ข้างยาวเท่ากัน หูฟังตัวนี้เสียงออกกลางๆ เบสไม่แน่น เสียงโทนสูงแหลม โปร่งๆ ไม่ได้เด่นในเรื่องฟังเพลงมากนัก แต่ดีตรงที่ใส่สบายเวลาออกกำลังหรือไปข้างนอกวิ่งพวกนี้ ไม่ร้อนหูแบบพวก inear ค่อนข้างเบา และไม่แน่นเกินไป คุณภาพเสียงเลยลองลงมาเน้นใช้งานคุยโทรศัพท์หรือคนที่ไม่ได้เน้นอะไรมากก็พอไหว หรือใช้เวลาออกกำลังก็จะทำได้ดี ฟังนานๆไม่ล้าเท่าไรแต่แอบไม่ชอบมันติดแหลมไปนิด ในส่วนของหูฟังแถมในกล่องแบบเดียวกับตัวก่อนหน้าเลย

SPEAKER 

ทางด้านลำโพงในรุ่นนี้มาพร้อมกับการใช้งานลำโพงคู่แน่นอนว่าเรื่องของเสียงนั้นเทียบกับ 30 Pro ก่อนหน้านั้นจะชัดเจนเลยว่าพัฒนาขึ้นทั้งหมด ทั้งเรื่องของความดังเสียง มิติเสียง การแยกซ้ายขวาและความหนักแน่นของเสียงทำให้ใครที่เน้นเรื่องของลำโพงรุ่นนี้ถือว่าทำออกมาตอบโจทย์มากขึ้นและแก้ไขจุดอ่อนของรุ่นเดิมได้ทั้งหมดเลย

BATTERY

ตัวแบตนั้นแน่นอนว่า KIRIN นั้นทำมาได้ดีตลอดๆในรุ่นก่อนหน้า และด้วยการใช้  ตัวใหม่ยิ่งช่วยในเรื่องนี้ได้สบายและแน่นอนตัวจอ FullHD+ ก็มีส่วนช่วยด้วยรวมถึงความจุแบต 4,500 mAh จัดหนักจัดเต็มใช้ยังไงก็ไม่หมดง่ายๆ และครั้งนี้รองรับ 66W ทำให้ชาร์จไวมากๆ และ ไร้สายก็ไวมาก 50W ครับทำให้สามารถใช้ทั้งวันได้แบบสบายๆ แอดมินใช้ทั้งหมด 11 ชั่วโมง หน้าจอเปิดไปทั้งหมด 5-6 ชั่วโมง เน้นใช้งานคือ เล่นเกม โซเชียล และ นำทาง หนักๆเลย จริงๆจากที่ลองมาหลายๆตัวเรื่องของอายุการใช้งานแบตค่ายนี้ไว้ใจได้เสมอจากที่ลองๆมาในหลายๆรุ่น Kirin  ค่อนข้างประหยัดแบตพอสมควรครับในรุ่นหลังๆ และในรุ่น MATE 40 PRO ก็ยังคงพัฒนาด้านนี้ได้ดีขึ้นเรื่อยๆเลย

GPS

ในเรื่องของ GPS การใช้งานมันก็ดีขึ้นเยอะมาก จากที่ลองทดสอบใช้งานจริงรวมถึงในแอปนะครับ ถือว่าทำได้ดีมากๆไม่ค่อยเจอค่ายไหน จับได้ เท่ากับจำนวนที่เจอแบบนี้มาก่อนเลยนะถือว่าโหดมากๆจำนวนที่จับได้เจอ 52 จับได้ 38 และ เจอ 64 จับได้ 64ประมาณนี้ สถานะเหลือง+เขียวค่อนข้างดีและนิ่งครับในการนำทางจริงๆนั้นไม่เจอปัญหาหลุดอะไร นำทางจัดได้ว่าโอเคและไม่ใช่จุดอ่อนแล้วนะครับ ถือว่าไว้ใจได้แล้วในการนำทาง สบายๆเลยครับจับได้เยอะมากๆเท่ากับจำนวนที่เจอเลยแหละ แต่รุ่นนี้มันไม่มี GMS ทำให้การใช้นำทางใน Maps นั้นจะหน่วงและจับได้ช้ากว่าปกติ ในการเปิดแอปแรกๆครับ แต่ถ้าใช้ไปซักพักก็ปกติ แต่ตอนนี้มี Petal Maps มาให้ใช้งานจากทาง Huawei เองถือว่าอัปเดตใช้งานได้ไว แผนที่รองรับได้ดีพอสมควร ใช้งานจริงได้ครับ

CAMERA

ทางด้านกล้องหลังในรุ่นนี้มาพร้อมกับกล้องหลัง 3 ตัวที่รองรับการใช้งานเป็นเลนส์หลัก เลนส์มุมกว้าง รวมถึง เลนส์ระยะเทเลที่เป็น Periscope นั้นเองครับทำให้รองรับการถ่ายสูงสุด 50X และ 10X Hybrid Zoom นั้นเองครับ จึงทำให้รองรับการใช้งานได้ค่อนข้างครบ และ ทำให้คะแนน DXOMARK สูงสุดในตอนนี้ รวมถึงเลนส์ก็มีการพัฒนามากขึ้นแม้ว่าตัวนี้จะยังไม่ใช่เลนส์ Freeform แบบตัว Pro+ แต่ก็ถือว่าพัฒนาจาก Mate30 Pro แบบชัดเจนมากๆ ทางด้านกล้องยังคงมี Laser เข้ามาใช้งานแต่รุ่นนี้จะไม่มี 3D TOF แบบรุ่น Pro+ นะครับ ส่วนฟีเจอร์การถ่ายนั้นต้องบอกว่าพัฒนามากขึ้น ทั้งการถ่ายแบบย้อนแสงที่ดีมากขึ้น XD Fusion HDR Engine  และ คุณภาพความคมชัดทำได้ดีมากขึ้น รวมถึงโหมดกลางคืน โหมดละลายหลังก็พัฒนาดีมากขึ้นเนียนตาและสีสันก็ลงตัวมากขึ้นเช่นกันทางด้านสเปก กล้องหลักนั้นมาพร้อมกับ 50MP (ƒ/1.9), ขนาดเซนเซอร์ 1/1.28 นิ้ว, ระยะเทียบเท่า 23 มม., Octa PDAF และ กล้องมุมกว้างนั้นมาพร้อมกับ กล้องอัลตร้าไวด์ 20MP (ƒ/1.8), ขนาดเซนเซอร์ 1/1.54 นิ้ว, ระยะเทียบเท่า 18 มม., PDAF และ กล้องเทเลโฟโต้แบบ Periscope นั้นมาพร้อมกับ 12MP (ƒ/3.4), ขนาดเซนเซอร์ 1/3.56 นิ้ว, ระยะเทียบเท่า 125 มม., PDAF, OIS ถือว่าสเปกนั้นค่อนข้างจัดเต็มและสมราคาเลย

PORTRAIT 

ZOOM  5X -10X -50X 

SELFIE

กล้องหน้าในรุ่นนี้มาพร้อมกับเลนส์หลัก 13MP แต่ข้อดีคือมีมุมมองที่ค่อนข้างกว้างและเซนเซอร์ขนาดใหญ่1.22 ไมครอน ทำให้ดีขึ้นกว่าตัวMATE30 PRO หลายเท่าตัว ทั้งเรื่องของคุณภาพ และมุมมองของตัวกล้อง สามารถปรับระยะ มุมกว้าง 0.8X 1X ได้ในตัวและส่งผลทำให้การกันสั่นทำได้ดีขึ้นมากในการถ่ายวีดีโอ และโทนสีผิว การจัดการแสงสีนั้นพัฒนาจาก MATE 30 PRO ชัดเจนครับ แน่นอนว่ามาพร้อมกับโหมดละลายหลัง และการถ่ายที่ค่อนข้างดี การแทรคใบหน้า ดวงตาอะไรนั้นก็ยังคงยกมาจากรุ่นก่อนหน้าในตัว P40 PRO และมี TOF ในการจับระยะ

VIDEO

งานวีดีโอนั้นรองรับการใช้งานการถ่ายสูงสุด 4K 60FPS ด้วยครับแต่น่าเสียดายว่ายังไม่มีการถ่าย 8K เข้ามาส่วนการถ่าย 4K นั้นจะรองรับ 10 นาทีเท่านั้นในแต่ละครั้งทั้ง 60FPS 30FPS แต่ที่ชอบคือเรื่องของการกันสั่นที่พัฒนาดีขึ้นเยอะมาก และรองรับการเปลี่ยนเลนส์ขณะถ่ายได้เลย แต่ยังไม่สามารถสลับกล้องหน้าหลังได้ในขณะถ่ายนะครับ ส่วนเรื่องของฟีเจอร์การกันสั่นพิเศษ ใส่เข้ามาให้แล้ว รวมถึง การจัดการแสงสีย้อนแสงทำได้ดี และ ซูมได้ 10-15 เท่าในการถ่ายวีดีโอ และมีฟีเจอร์ละลายหลังใส่เข้ามาให้ แต่ในกล้องหน้านั้นยังไม่ค่อยมีฟีเจอร์เยอะมากเท่าไรนัก

HUAWEI MATE 40 PRO 5G

” กล้องหลังโหดเกินหน้าเกินตารุ่นอื่น ออกแบบดี หน้าจอ 90Hz ชาร์จไว แบตอึด !  “

ยังคงทำได้ดีในเรื่องของกล้องหลังในรุ่นนี้มาพร้อมกับการออกแบบใหม่ และ เทคโนโลยีการถ่ายภาพที่พัฒนาขึ้นจากเดิมเยอะแยะมากขึ้น เลนส์หลักที่รองรับคุณภาพได้ดี 50MP พร้อมกับเลนส์มุมกว้าง รวมถึงเลนส์ Periscope นั้นเองครับทำให้ถ้ามองเทียบกับรุ่น 30 Pro นั้นมีการพัฒนาขึ้นชัดเจน และในรุ่นนี้รองรับ 5G พร้อมใช้งานรวมถึงการใช้งาน KIRIN 9000 ตัวใหม่ประสิทธิภาพการทำงานนั้นรวดเร็วลื่นไหลมากขึ้น และยังคงโดดเด่นมากขึ้นในการประหยัดพลังงานทั้งหมด ซึ่งเป็นจุดเด่นที่ทำได้ดีมานานมากๆสำหรับค่ายนี้ครับ ส่วนงานออกแบบยังคงเป็นเอกลักษณ์ของตัวเองและใช้งานได้ดีทั้งวัสดุกระจกด้านและการเล่นสีสันครับ ส่วนจุดที่น่าเสียดายหรือว่าปรับตัวก็คงเป็น HMS นั้นเองครับ ส่วนทางด้านระบบเสียงลำโพงคู่พัฒนามาดีกว่าเดิมเสียงดังสะใจมากขึ้นและวางตำแหน่งแบบใหม่เช่นกัน

ข้อดี

  • ปุ่มเพิ่ม-ลดเสียง ปรับมาใช้งานแบบปกติแล้ว
  • หน้าจอสวย ขอบโค้ง พร้อมกับ 90Hz
  • KIRIN 9000 ยังคงโดดเด่น เรื่องประหยัดพลังงาน และ ประสิทธิภาพดี
  • รองรับการใช้งาน 5G และ จัดการพลังงานได้ดี
  • งานออกแบบโดดเด่น สานต่อรุ่นเดิมได้ดี
  • งานประกอบเนียน คุณภาพวัสดุทำได้ดี
  • แบตใช้งานค่อนข้างอึด และ รองรับชาร์จไว ทั้งสาย และ ไร้สาย
  • กล้องหลังถือว่าอันดับต้นๆของบรรดามือถือทั้งหมด
  • คุณภาพกล้องหลัง หลากหลายระยะ ทำได้ดี
  • กล้องหน้าจัดการแสงสี โทนสีได้ดีขึ้น มีมุมกว้างขึ้น
  • ระบบเสียงลำโพงพัฒนาดีขึ้น

ข้อสังเกต

  • ใช้งาน HMS
  • มาแค่ความจุ รุ่นย่อยเดียว
  • งานวีดีโอกล้องหน้ายังไม่เด่น
  • หน้าจอเจาะรูแอบใหญ่ไปนิด
  • เลนส์มุมกว้างกล้องหน้าจะใช้ฟีเจอร์ ละลายหลังไม่ได้

สำหรับรีวิวนี้ผมก็ต้องขอตัวลาไปก่อนสำหรับรุ่นอื่นๆก็ติดตามกันได้เลย ถูกใจฝากกดไลค์กดแชร์ด้วยนะครับ  มีข้อผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ  เพื่อนๆสนใจอยากให้พวกผมรีวิวรุ่นไหนสามารถ Inbox มาบอกเราได้เลยนะ
ฝากไลค์เพจ FACEBOOK เราด้วยนะครับ >>>>>>>>>  TECHHANGOUT

เข้าร่วมกลุ่ม TECHHANGOUT พูดคุยแลกเปลี่ยน ข้อมูล คุยกันเองชิลๆได้เลยที่ — Facebook  Techhangout พูดคุย Smartphone gadget 

Review by Nineztr