บีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทย สานต่อสำเร็จสู่ศักราชใหม่ด้วยยนตรกรรมระดับผู้บริหารในตำนานรุ่นล่าสุด บีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ ใหม่ ที่กลับมาอีกครั้งในเจเนอเรชั่นที่ ในสามรุ่นย่อย ได้แก่ บีเอ็มดับเบิลยู 520d M Sport บีเอ็มดับเบิลยู 530e Elite และบีเอ็มดับเบิลยู 530e M Sport กับรูปโฉมที่ทรงพลังยิ่งขึ้นทั้งภายนอกและภายใน เสริมความล้ำอีกขั้นด้วยเทคโนโลยีช่วยเหลือผู้ขับขี่ใหม่ล่าสุด ตอกย้ำความแข็งแกร่งอันโดดเด่นของบีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ ในเซกเมนต์ยนตรกรรมผู้บริหารระดับพรีเมียมในตลาดประเทศไทย

 

มร.อเล็กซานเดอร์ บารากา ประธาน บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย กล่าวว่า “เราได้เปิดศักราช 2564 ด้วยการเผยโฉมใหม่ของบีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ ที่ยกระดับเอกลักษณ์และความสง่างามซึ่งชนะใจของแฟน ๆ ทั่วโลกมาโดยตลอด นับตั้งแต่การเปิดตัวครั้งแรกในปี พ.ศ. 2515 บีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ ได้กลายมาเป็นยนตรกรรมหรูที่ครองตำแหน่งผู้นำในเซกเมนต์รถยนต์พรีเมียมซีดาน โดดเด่นด้วยการหลอมรวมกลิ่นอายความสปอร์ต รูปลักษณ์ที่สง่างาม และเทคโนโลยีล้ำสมัยแห่งอนาคตเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว ในวันนี้ เรานำเสนอบีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ ใหม่ทั้งในรูปแบบเครื่องยนต์ดีเซลและปลั๊กอินไฮบริด ซึ่งทั้งสามรุ่นมาในดีไซน์โฉมใหม่ตลอดคันจากด้านหน้าไปจนถึงท้ายรถ สะท้อนรูปลักษณ์ที่พรีเมียมยิ่งขึ้น อีกทั้งมาพร้อมนวัตกรรมใหม่ล่าสุด ทั้งด้านระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ ประสิทธิภาพในการขับขี่ และระบบการเชื่อมต่อ เพื่อเสริมสุนทรียภาพในทุกห้วงเวลาของการขับขี่”

 “นอกจากนี้ เรายังได้เผยโฉมบีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ ใหม่ด้วยคอนเซ็ปต์เปิดตัวที่แตกต่างไปจากทุกครั้ง ‘Change the way you lead. Lead the way you change.’ ซึ่งครั้งนี้เราต้องการเน้นย้ำถึงการสร้างความเปลี่ยนแปลงที่เหนือกว่าเพียงแค่ด้านยนตรกรรม เพื่อให้ผู้ขับขี่บีเอ็มดับเบิลยูได้สัมผัสโลกที่มีความสมดุลของการใช้ชีวิตในหลากหลายด้าน ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงมากมายในโลกปัจจุบัน การเปิดตัวบีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 5 ใหม่ในครั้งนี้จึงไม่ได้เพียงเป็นจุดเปลี่ยนในประวัติศาสตร์อันยาวนานของบีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ เท่านั้น แต่ยังเป็นอีกหนึ่งก้าวแห่งการเริ่มต้นปีอันน่าตื่นเต้นของบีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทย โดยถึงแม้เราอาจต้องเผชิญกับอีกปีที่เต็มไปด้วยความท้าทาย แต่ผมมั่นใจว่าบีเอ็มดับเบิลยูจะยังคงมอบสุนทรียภาพแห่งการขับขี่อันเป็นเอกลักษณ์ รวมถึงพลังแห่งทางเลือกให้แก่ลูกค้าในประเทศไทยได้อย่างแข็งแกร่งต่อไป”

 มิติตัวรถที่ยาวกว่ารุ่นก่อนหน้า 27 มิลลิเมตร ทำให้บีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ ใหม่มีความยาว 4,963 มิลลิเมตร แต่ยังคงประสิทธิภาพด้านอากาศพลศาสตร์ไว้ได้อย่างเหนือชั้น ด้วยค่าสัมประสิทธิ์แรงต้าน (Cd) เพียง 0.23 มาพร้อมชุดแต่ง M Aerodynamics และล้ออัลลอย น้ำหนักเบาลาย Double-spoke ขนาด 18 นิ้ว สำหรับรุ่น 520d M Sport และล้ออัลลอย น้ำหนักเบาลาย Y-spoke แบบสลับสี ขนาด 19 นิ้ว สำหรับรุ่น 530e M Sport ขณะที่รุ่น 530e Elite มาพร้อมล้ออัลลอย ขนาด 18 นิ้ว ลาย Double-spoke

บีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ ใหม่ มอบประสิทธิภาพเต็มพิกัดจากทั้งเครื่องยนต์สันดาปภายในและระบบปลั๊กอินไฮบริด พร้อมเทคโนโลยี BMW TwinPower Turbo ใหม่ล่าสุด โดยเครื่องยนต์ดีเซล สูบในบีเอ็มดับเบิลยู 520d M Sport ส่งพละกำลังสูงสุด 140 กิโลวัตต์ / 190 แรงม้า ที่ 4,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตรที่ 1,750 – 2,500 รอบต่อนาที ส่งให้ตัวรถเคลื่อนจากหยุดนิ่งถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายใน 7.5 วินาที สู่ความเร็วสูงสุด 235 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ขณะที่บีเอ็มดับเบิลยู 530e Elite และ 530e M Sport มาพร้อมเครื่องยนต์เบนซิน สูบที่มอบพละกำลัง 135 กิโลวัตต์ / 184 แรงม้า ที่ 5,000 – 6,500 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุด 300 นิวตันเมตร ที่ 1,350 – 4,000 รอบต่อนาที ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าในระบบขับเคลื่อนปลั๊กอินไฮบริด ส่งกำลังรวมสูงสุดถึง 215 กิโลวัตต์ / 292 แรงม้า และแรงบิดรวมสูงสุด 420 นิวตันเมตร และสามารถเพิ่มกำลังส่งในการเร่งความเร็วได้มากยิ่งขึ้นด้วยระบบ XtraBoost ซึ่งปลดปล่อยพละกำลังเสริมมากถึง 40 แรงม้า ภายในเวลาเพียง 10 วินาทีเมื่อขับขี่ในโหมด SPORT จึงสามารถโลดแล่นจาก ถึง 100 กิโลเมตรได้ภายใน 5.9 วินาที ทำความเร็วสูงสุดที่ 235 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยสามารถขับขี่แบบไร้มลพิษได้เป็นระยะทาง 52 กิโลเมตรตามมาตรฐาน NEDC ด้วยพลังงานจากแบตเตอรี่แรงดันสูงความจุ 12.0 กิโลวัตต์ชั่วโมงที่ติดตั้งอยู่ใต้เบาะหลัง นอกจากนี้ บีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ ใหม่ในระบบขับเคลื่อนปลั๊กอินไฮบริดทั้งสองรุ่น ยังมีระดับการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์เฉลี่ยต่ำเพียง 41 กรัมต่อกิโลเมตรตามการอ้างอิงผล ECO Sticker ซึ่งนับว่าต่ำที่สุดในกลุ่มรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดขนาดใหญ่ในประเทศไทย

บีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ ใหม่ยังมาพร้อมการควบคุมที่เฉียบคมและโฉบเฉี่ยวเช่นเดียวกันรุ่นก่อนหน้า ฐานล้อที่ยาวและกว้าง รวมทั้งการออกแบบที่เน้นน้ำหนักเบา และการกระจายน้ำหนักแบบ 50:50 ช่วงล่างมาพร้อมเพลาหน้าแบบปีกนกคู่และเพลาหลังแบบ five-link จึงขับขี่ได้อย่างนุ่มสบายทั้งในชีวิตประจำวันและขณะเดินทางไกล รวมถึงในการขับขี่ที่ต้องใช้ความคล่องตัวสูง นอกจากนี้ บีเอ็มดับเบิลยู 530e M Sport ยังพกพาระบบปรับองศาของล้อหลังเพื่่อการเข้าโค้งหรือเลี้ยว (Integral Active Steering) ที่มีระยะกว้างกว่ารุ่นก่อนหน้า ส่งล้อหลังมาช่วยเสริมสมรรถนะการเข้าโค้งเมื่อขับขี่ด้วยความเร็วมากกว่า กิโลเมตรต่อชั่วโมง และยังช่วยเสริมความคล่องตัวขณะเข้าจอด โดยบีเอ็มดับเบิลยู 530e M Sport มาพร้อมช่วงล่างแบบ Adaptive ขณะที่รุ่น 520d M Sport มาพร้อมช่วงล่างแบบ M Sport

เทคโนโลยีช่วยเหลือผู้ขับขี่ในบีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ ใหม่ ได้รับการยกระดับให้ล้ำสมัยยิ่งกว่าที่เคย เพื่อช่วยเหลือการขับขี่ในสภาวะที่หลากหลาย พร้อมปูทางสู่เทคโนโลยีการขับขี่อัตโนมัติ บีเอ็มดับเบิลยู 520d M Sport และ 530e M Sport มาพร้อมระบบช่วยการขับขี่ (Driving Assistant) และฟีเจอร์ที่ช่วยอำนวยความสะดวกและความปลอดภัยในสภาวะต่าง ๆ เช่น ระบบควบคุุมความเร็วอัตโนมัติ พร้อมฟังก์ชั่น Stop & Go (Active cruise control with Stop & Go function) ในบีเอ็มดับเบิลยู 530e M Sport และระบบควบคุุมความเร็วคงที่่ พร้อมฟังก์ชันช่วยลดความเร็ว (Cruise Control with braking function) ในบีเอ็มดับเบิลยู 520d M Sport และ 530e Elite รวมถึงระบบช่วยเตือนอาการเหนื่อยล้าขณะขับขี่่ (Attentiveness Assistant) ในทั้งสามรุ่น นอกจากนี้ ยังมีระบบความปลอดภัยอีกมากมายในทุกรุ่นเพื่อสร้างความอุ่นใจให้แก่ผู้ขับขี่ เช่น เซนเซอร์ควบคุุมระบบความปลอดภัยเมื่อเกิดการชน (Crash Sensor) ระบบป้องกันการกระแทกจากด้านข้าง (Side Impact Protection) ระบบ Active Protection และเซนเซอร์ควบคุมระยะการจอดด้านหน้าและหลัง (Park Distance Control) และสำหรับบีเอ็มดับเบิลยู 530e M Sport ยังมาพร้อมกล้องแสดงภาพรอบทิศทาง (Surround View Camera) และระบบช่วยนำรถเข้าที่่จอดอัตโนมัติ รุ่น Plus (Parking Assistant Plus) เพื่อยกระดับความปลอดภัยและความสะดวกสบายโดยเฉพาะขณะถอยจอดและจอดขนาน

อีกหนึ่งความโดดเด่นของบีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ ใหม่ คือการออกแบบภายในห้องโดยสาร ที่ยังคงเน้นการผสานทั้งความสง่างามและความล้ำสมัยเข้าไว้ด้วยกัน โดยคำนึงถึงผู้ขับขี่เป็นสำคัญ จึงสร้างบรรยากาศที่สมบูรณ์แบบทั้งสำหรับการขับขี่และมอบความสะดวกสบายแม้ขณะเดินทางไกล ตกแต่งด้วยวัสดุพรีเมียมและงานฝีมือสุดประณีตจากช่างผู้เชี่ยวชาญ ปุ่มบริเวณคอนโซลกลางมาในสีดำเงาเพื่อความหรูหรา ตัดกับพวงมาลัยหุ้มหนังมัลติฟังก์ชั่น M Sport พร้อมคอนโซลด้านบนบุด้วยหนัง Sensatec ในรุ่น 520d M Sport และ 530e M Sport ทั้งสามรุ่นมาพร้อมเบาะหนังแท้ Dakota ภายในห้องโดยสารของบีเอ็มดับเบิลยู 520d M Sport และ 530e M Sport ตกแต่งด้วยอลูมิเนียมลาย Rhombicle Smoke Grey พร้อมแถบโครเมี่่ยม ขณะที่บีเอ็มดับเบิลยู 530e Elite ตกแต่งด้วยวัสดุสีดำเงาพร้อมแถบโครเมียม

บีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ ใหม่ ยังได้รับการพัฒนาในด้านระบบความบันเทิงและการสื่อสารให้ทันสมัยยิ่งขึ้น โดยบีเอ็มดับเบิลยู 520d M Sport และ 530e M Sport มาพร้อมจอ BMW Head-up Display และระบบ BMW Live Cockpit Professional แสดงผลบนจอ Control Display ขนาด 12.3 นิ้ว ทำงานบนระบบปฎิบัติการใหม่ล่าสุด BMW Operating System 7 ที่ปรับแต่งให้ตรงตามความต้องการของผู้ใช้ได้มากยิ่งขึ้น และยังมาพร้อมระบบปลดล็อกประตููอัจฉริยะ (Comfort Access System) ที่รองรับ BMW Digital Key ซึ่งเปลี่ยนให้ iPhone กลายเป็นเหมือนกุญแจรถ สามารถล็อกและปลดล็อกรถได้โดยใช้เทคโนโลยีการสื่อสารไร้สายระยะสั้นแบบ NFC (Near Field Communication) โดยรองรับผู้ใช้ได้สูงสุดถึง 5 คน นอกจากนี้ ผู้ขับขี่สามารถเลือกควบคุมระบบการทำงานของรถยนต์ ระบบความบันเทิงและการสื่อสาร ระบบการเชื่อมต่อ และระบบนำทางได้ผ่านทางจอ Control Display ระบบสัมผัส ระบบ iDrive ปุ่มควบคุมมัลติฟังก์ชั่นบนพวงมาลัย ระบบสั่งงานด้วยเสียงผ่าน BMW Intelligent Personal Assistant และ BMW gesture control

ผู้สนใจสามารถครอบครองบีเอ็มดับเบิลยู 520d M Sport ได้ในราคา 3,539,000 บาท บีเอ็มดับเบิลยู 530e Elite ในราคา 2,999,000 บาท และบีเอ็มดับเบิลยู 530e M Sport ในราคา 3,739,000 บาท โดยทั้งสามรุ่นมาพร้อมโปรแกรมบำรุงรักษา BSI Standard ซึ่งครอบคลุมการบำรุงรักษา ปี / 60,000 กิโลเมตร และการรับประกัน ปี ไม่จำกัดระยะทาง ทั้งสามรุ่นยังมีให้เลือกใน สี ได้แก่ Alpine White, Black Sapphire metallic, Bluestone metallic และ Phytonic Blue รวมทั้งสี Bernina Grey Amber effect สำหรับบีเอ็มดับเบิลยู 520d M Sport และ 530e M Sport