บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย เติมความเร้าใจให้สุดขึ้นไปอีกขั้น ในงานบางกอก อินเตอร์ เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 42 กับการประกาศเปิดตัวรถยนต์และปรับราคาเพิ่มเติมที่เตรียมสร้าง ความตื่นตาตื่นใจบนท้องถนนให้กับแฟนนักขับทั่วประเทศ เริ่มจากการฉลองชัยชนะระดับตำนานของรถยนต์ มินิ คูเปอร์ เอส สุดคลาสสิคในรายการมอนติคาร์โล แรลลี่ ปี 1964 ด้วยมินิ Paddy Hopkirk Edition ใหม่ ซึ่งเป็นรถยนต์มินิ คูเปอร์ เอส 3 ประตู รุ่นลิมิเต็ดสุดพิเศษ พร้อมอวดโฉมแบบไม่ซ้ำใครด้วยลุคใหม่ที่ ได้แรงบันดาลใจมาจากรถแข่งมินิระดับตำนาน ด้วยชุดแต่งทั้งภายนอกและภายในห้องโดยสารที่สืบทอด ชื่อของนักขับชั้นครูชาวไอร์แลนด์เหนืออย่าง “แพดดี้” แพทริค ฮ็อปเคิร์ก โดย มินิ Paddy Hopkirk Edition พร้อมให้แฟน ๆ มินิชาวไทยได้ครอบครองในจำนวนจำกัดเพียง 37 คัน ซึ่งตรงกับหมายเลขประจำรถของ ฮ็อปเคิร์กเมื่อครั้งที่คว้าชัยครั้งประวัติศาสตร์
ลูกค้ายังจะได้สัมผัสความเพลิดเพลินที่เหนือระดับตามสไตล์รถยนต์สปอร์ตหรูชั้นเลิศไปกับบีเอ็มดับเบิลยู M850i xDrive Coupe ในราคาใหม่ ที่ยังคงผสมผสานสมรรถนะอันเหนือชั้น ความหรูหรา และการขับขี่ที่แม่นยำไว้อย่างครบถ้วนตำนานหมายเลข 37 กลับมาโลดแล่นบนท้องถนนอีกครั้งกับ มินิ Paddy Hopkirk Edition
มินิ Paddy Hopkirk Edition ราคาจำหน่าย: 2,910,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม และโปรแกรมบำรุงรักษา MSI Standard) *ราคาพิเศษสำหรับงานมอเตอร์โชว์: 2,555,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม และโปรแกรมบำรุงรักษา MSI Standard)
เมื่อปี 1964 มินิ คูเปอร์ เอส รุ่นคลาสสิกสามารถคว้าแชมป์รายการมอนติคาร์โล แรลลี่ มาครองได้เป็นครั้งแรก ก่อนก้าวสู่สถานะแชมป์สามสมัยในเวลาต่อมา โดยในสนามนี้ มีนักขับแรลลี่ชาวไอร์แลนด์เหนือวัย 30 ปี “แพดดี้” แพทริค ฮ็อปเคิร์ก อยู่หลังพวงมาลัย และเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองความสำเร็จครั้งประวัติศาสตร์ของวงการมอเตอร์สปอร์ต มินิจึงภูมิใจเสนอรถยนต์รุ่นพิเศษที่มาพร้อมรูปลักษณ์และอุปกรณ์แบบเฉพาะตัว โดยเริ่มจากเลข 37 หมายเลขประจำรถของฮ็อปเคิร์กซึ่งประทับอยู่บนประตูทั้งสองฝั่ง
ฮ็อปเคิร์กและเพื่อนร่วมทีมชาวอังกฤษ เฮนรี ลิดดอน ในมินิ คูเปอร์ เอส รุ่นคลาสสิก คว้าชัยเหนือคู่แข่งที่มีกำลังเครื่องยนต์สูงกว่ามาก แต่ด้วยทักษะการขับขี่ของฮ็อปเคิร์ก ประกอบกับความคล่องตัวและแม่นยำของ ตัวรถ ทำให้ทั้งสองฟันฝ่าทุกอุปสรรค ทั้งถนนในชนบท เส้นทางบนภูเขา หรือแม้แต่โค้งและทางลาดชัน ที่สุดท้าทาย สามารถคว้าชัยชนะที่ทำให้แพดดี้ ฮ็อปเคิร์ก กลายเป็นนักแข่งรถแรลลี่ที่โด่งดังที่สุดในชั่วข้ามคืน ขณะที่มินิเองก็ก้าวจากความเป็นม้านอกสายตาที่แฟน ๆ ต่างเอาใจช่วย กลายเป็นตำนานของวงการมอเตอร์สปอร์ตด้วยถ้วยแชมป์มอนติคาร์โลอีกสองสมัยในปี 1965 และ 1967 จากฝีมือของสองนักขับชาวฟินแลนด์ ติโม มาคิเนน และ เราโน อาลโตเนน ชัยชนะในฐานะเจ้าสนามที่มอนติคาร์โลนี้ ยังคงจุดประกายและสร้างแรงบันดาลใจให้กับแฟน ๆ มินิทั่วโลกมาจนถึงปัจจุบัน และรถยนต์รุ่นพิเศษอย่าง มินิ Paddy Hopkirk Edition ก็เปิดโอกาสให้นักขับชาวไทยได้สัมผัสกับจิตวิญญาณแห่งมอเตอร์สปอร์ตของมินิอย่างแท้จริง
มินิ Paddy Hopkirk Edition นำมินิ คูเปอร์ เอส รุ่น 3 ประตูมาเสริมลุคให้โฉบเฉี่ยวในสไตล์เดียวกับรถคันเดิมของฮ็อปเคิร์ก ด้วยล้ออัลลอยน้ำหนักเบาขนาด 17 นิ้วในลาย Cosmos Spoke สีดำที่โดดเด่นด้วยการเล่นสีดำวาวที่ล้อ พร้อมยาง runflat ขณะที่กรอบและซี่แนวนอนของกระจังหน้ามาในสีดำมันวาว เช่นเดียวกับซี่ตะแกรงของช่องดักอากาศด้านล่าง ช่องบริเวณกระโปรงหน้า ด้ามจับประตู ฝาถังน้ำมัน ด้ามจับประตูหลัง โลโก้มินิทั้งด้านหน้าและด้านหลัง และกรอบไฟหน้า-ไฟท้าย ขณะที่ตัวรถมาในสีแดง Chili Red ตัดกับหลังคาขาว แบบเดียวกับมินิรุ่นคลาสสิกของฮ็อปเคิร์ก
นอกจากไฟหน้าแบบ LED และไฟท้ายลายธงยูเนียน แจ็คในแบบฉบับของมินิแล้ว มินิ Paddy Hopkirk Edition ยังแตกต่างด้วยสติ๊กเกอร์ลายอักษร “Paddy Hopkirk Monte Carlo” และแถบสีขาวที่คาดอยู่บนกระโปรงหน้ารถฝั่งคนขับที่ประดับด้วยลายเซ็นของแพดดี้ ฮ็อปเคิร์ก พร้อมด้วยเลขทะเบียน “33EJB” ของมินิคันแชมป์ปี 1964 ที่ปรากฏอยู่ในแถบขาวด้วยลายกราฟฟิกแบบสามมิติ ขณะที่บริเวณประตูท้ายก็ตกแต่งด้วยลายเซ็นของนักขับชาวไอร์แลนด์เหนือด้วย
มินิ Paddy Hopkirk Edition ใช้ขุมพลังเบนซิน 4 สูบตัวเดียวกับมินิ คูเปอร์ เอส 3 ประตู จึงส่งกำลังได้สูงสุด ที่ 141 กิโลวัตต์ / 192 แรงม้า แรงบิดสูงสุดถึง 280 นิวตันเมตรที่ 1,350-4,600 รอบต่อนาที ทำงานประสานกับระบบเกียร์ Manual Transmission ให้ตัวรถพุ่งทะยานจาก 0 ถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ใน 6.7 วินาที อุ่นใจในขณะขับขี่ด้วยเทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัยและสะดวกสบายแบบครบครัน สำหรับทั้งผู้ขับขี่และผู้โดยสาร
มินิ Paddy Hopkirk Edition พร้อมให้แฟน ๆ มินิจับจองเป็นเจ้าของกันได้ในมหกรรมมอเตอร์โชว์ ในจำนวนจำกัดเพียง 37 คัน เท่ากับหมายเลขข้างรถคันประวัติศาสตร์ของแพดดี้ ฮ็อปเคิร์กนั่นเอง และเพื่อเฉลิมฉลองการมาถึงของรถยนต์รุ่นพิเศษคันนี้ ลูกค้าสามารถสั่งจองมินิ Paddy Hopkirk Edition ในราคาพิเศษเฉพาะช่วงมอเตอร์โชว์และมีกำหนดรับมอบรถภายในวันที่ 30 เมษายน 2564 ในราคาเพียง 2,555,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม และโปรแกรมบำรุงรักษา MSI Standard) และสำหรับลูกค้าที่ซื้อโปรแกรมบำรุงรักษา MSI Ultimate package ยังจะได้รับการยกระดับระยะการบำรุงรักษาเพิ่มขึ้นเป็นระยะเวลา 10 ปี / 100,000 กิโลเมตร และการรับประกัน 5 ปี / ไม่จำกัดระยะทาง
บีเอ็มดับเบิลยู M850i xDrive Coupe ราคาใหม่: 9,499,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม และโปรแกรมบำรุงรักษา BSI Standard)
พบกับนิยามใหม่ของรถสปอร์ตคูเป้กับ บีเอ็มดับเบิลยู M850i xDrive Coupe ยนตรกรรมที่ผสานขุมพลัง ความสปอร์ตปราดเปรียวเหนือระดับและความหรูหราล้ำสมัยเข้าไว้ด้วยกันอย่างสมบูรณ์แบบ รูปโฉมของ บีเอ็มดับเบิลยู M850i xDrive Coupe ประกาศถึงเอกลักษณ์อันโดดเด่นด้วยรูปทรงลาดต่ำและดีไซน์ทรงพลัง เติมเต็มความสุนทรีย์ทางอารมณ์ด้วยเส้นสายที่สง่างามตลอดตัวรถ พร้อมกระโปรงหน้าที่ลาดยาวสะท้อน แสงเงาได้อย่างเฉียบคม สะดุดตาด้วยกระจังหน้าทรงไตคู่ขนาดใหญ่ของบีเอ็มดับเบิลยู โดยช่วงล่างของ กระจังหน้ากว้างออกเพื่อเน้นย้ำถึงจุดศูนย์ถ่วงที่ต่ำของตัวรถ ช่องดักอากาศขนาดใหญ่ทั้งสองข้างช่วยเสริมสมรรถนะด้านแอโรไดนามิกส์ของตัวรถ คู่ไปกับสปอยเลอร์หน้าที่ทำหน้าที่ลดแรงยกบริเวณเพลาหน้า นอกจากนี้ บีเอ็มดับเบิลยู M850i xDrive Coupe ใหม่ยังมาพร้อมไฟหน้า LED ที่ติดตั้งระบบ BMW Laserlight ในรูปทรงที่เล็กเรียวกว่าไฟหน้าของรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูรุ่นอื่น ๆ
เสียงคำรามของเครื่องยนต์ BMW TwinPower Turbo V8 รุ่นพัฒนาใหม่ล่าสุด และความเร้าใจจากสมรรถนะ ที่เหนือระดับยิ่งขึ้นจากชุดแต่ง M Performance ล้วนกระตุ้นการสูบฉีดของอะดรีนาลีน ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ที่ชื่นชอบความเร็ว บีเอ็มดับเบิลยู M850i xDrive Coupe โลดแล่นด้วยขุมพลังเบนซิน 8 สูบ ขนาด 4.4 ลิตร ส่งกำลังสูงสุด 390 กิโลวัตต์/530 แรงม้า ที่ 5,500 – 6,000 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุด 750 นิวตันเมตร ที่ 1,800 – 4,600 รอบต่อนาที เร่งความเร็วจากหยุดนิ่งถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายใน 3.7 วินาที ที่ความเร็วสูงสุด 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
โครงสร้างตัวถัง เทคโนโลยีการขับขี่ และระบบช่วงล่าง ได้รับการออกแบบมาเพื่อสมรรถนะการขับเคลื่อน ชั้นเลิศที่พบได้เพียงจากรถสปอร์ตระดับแถวหน้าอย่าง M8 GTE ที่เป็นรถแข่ง Endurance เท่านั้น สปอร์ตคูเป้รุ่นใหม่นี้มาพร้อมการกระจายน้ำหนักอย่างสมมาตร โครงสร้างตัวถังและระบบขับเคลื่อนทำจากวัสดุอะลูมิเนียม แมกนีเซียม และคาร์บอนไฟเบอร์ ขณะที่ระบบ Driving Experience Control เพิ่มความสนุกสนานให้แก่ การขับขี่ด้วยโหมด ADAPTIVE พร้อมรองรับการตั้งค่าขับขี่ในโหมด COMFORT และ ECO Pro หรือโหมด SPORT และ SPORT+ ให้ผู้ขับขี่สามารถขับขี่ในเมืองได้อย่างคล่องตัว หรือโลดแล่นในระยะไกลได้อย่างราบรื่น
บีเอ็มดับเบิลยู M850i xDrive Coupe ยังโดดเด่นด้วยจิตวิญญาณของมอเตอร์สปอร์ต สะท้อนจากชุดแต่ง M Performance ไม่ว่าจะเป็นช่วงล่างแบบ Adaptive M Suspension Professional สปอยเลอร์หลังแบบ M ล้ออัลลอยน้ำหนักเบาลาย Y-spoke ขนาด 20 นิ้ว พวงมาลัยหนังมัลติฟังก์ชั่น M พร้อมแป้นเปลี่ยนเกียร์ เสริมลุคสปอร์ตยิ่งขึ้นด้วยชุดแต่งภายนอกสีดำเงา ภายในตกแต่งด้วยสแตนเลสสตีล และผลึกแก้ว ‘CraftedClarity’ รวมถึงไฟบริเวณขอบประตูที่ส่องสว่างด้วยเอกลักษณ์ชื่อรุ่น
บีเอ็มดับเบิลยู M850i xDrive Coupe นี้ ยังเป็นอีกหนึ่งก้าวสู่ยุคแห่งยานยนต์ไร้คนขับ ด้วยระบบ Parking Assistant Plus และระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ที่ล้ำสมัยต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ระบบช่วยเบรกอัตโนมัติที่สามารถตรวจจับรถและคนเดินถนนด้วยความเร็วต่ำ (Person Warning with City Braking Function) ระบบเตือนเพื่อป้องกันการชนด้านหลัง (Rear-collision prevention) ระบบเตือนเมื่อรถออกนอกช่องจราจร (Lane Departure Warning) ระบบเตือนเมื่อมีรถในจุดอับสายตา (Blind spot detection) ระบบเตือนเมื่อมีรถตัดผ่านขณะ ถอยหลัง (Crossing-traffic warning rear) และระบบเตือนป้ายจราจร (Speed limit info and no-overtaking
indicator) ซึ่งรถยนต์สปอร์ตคูเป้รุ่นใหม่ล่าสุดนี้ ยังแสดงผลด้วยแผงหน้าปัดดิจิทัลเต็มรูปแบบ และหน้าจอ Control Display ขนาด 10.25 นิ้ว รวมถึง BMW Head-Up Display เวอร์ชั่นล่าสุด ฉายภาพขนาดใหญ่ขึ้นกว่าเดิม 16% ในรูปแบบสามมิติ
นอกจากนี้ ผู้ขับขี่บีเอ็มดับเบิลยู M850i xDrive Coupe ยังสามารถเพลิดเพลินกับการเชื่อมต่ออย่างไร้ขีดจำกัดจาก BMW ConnectedDrive ระบบ iDrive ใหม่ล่าสุด และ BMW Gesture Control ซึ่งติดตั้งมาเป็นอุปกรณ์พื้นฐานเพื่อสร้างความสะดวกสบายให้แก่ผู้ขับขี่