ONEPLUS ได้เปิดตัวเรือธงของตัวเองในปีนี้เรียบร้อยทั้ง ONEPLUS 9 และ ONEPLUS 9 PRO สานต่อเรือธงของค่ายตัวเองอย่างต่อเนื่อง และครั้งนี้เรียกเสียงกระแสได้ดีอย่างมากในความร่วมมือกับแบรนด์ผู้ผลิตกล้องระดับโลกที่มีตำนานมาอย่างยาวนานมากๆ คือ HASSELBLAD นั้นเองบอกเลยว่าหลายๆคนจับตามองแน่นอนครับ เป็นแบรนด์กล้องที่เอาไปถ่ายบนดวงจันทร์ รวมถึงราคากล้องปกตินั้นแสนขึ้นแน่นอน เมื่อมาอยู่บนมือถือหลายๆคนคงคาดหวังกันไว้เยอะอย่างมากในเรื่องกล้อง ส่วนสเปกอื่นๆก็จัดเต็มเช่นเดิมไม่ว่าจะเป็นหน้าจอ 120Hz การชาร์จไว 65W การใช้งาน Snapdragon 888  งานออกแบบวัสดุอะไรนั้นยังคงทำได้ดี แต่ครั้งนี้เราจะมาพรีวิวกันในรุ่นน้องเล็ก ONEPLUS 9 นั้นเอง แม้ว่ากล้องจะไม่ได้มี เทเล หรือ ใช้เซนเซอร์ใหม่ แต่การปรับแต่ง Software ก็ถือว่าพัฒนาขึ้นเยอะครับ เมื่อได้รับความร่วมมือกับ HASSELBLAD นั้นเอง เราจะมาดูกันว่าจะเป็นอย่างไรกันบ้างสำหรับตัวนี้

ONEPLUS 9 จะมาพร้อมกับ  หน้าจอ Fluid AMOLED ขนาด 6.55 นิ้วความละเอียด FHD+ ที่มีรีเฟรชเรท 120Hz, รองรับ HDR10+, อัตราส่วน 20:9 ที่มีกล้องหน้าความละเอียด 16MP ที่ใช้เซนเซอร์ IMX471 กล้องหลังมีจำนวน 3 ตัวประกอบด้วย กล้องตัวหลัก 48MP ที่ใช้เซนเซอร์ IMX689 ตัวเดียวกับใน OnePlus 8 Pro + กล้อง ultra-wide 50MP ที่ใช้เซนเซอร์ IMX766 และมีความโค้งแบบพิเศษทำให้ลดความบิดเบี้ยวของภาพถ่ายลงจนเหลือเพียง 1% เมื่อเทียบกับกล้อง ultra-wide ทั่วไปที่มีความบิดเบี้ยว 10-20% และกล้อง Ultra wide บน OnePlus 9 ยังสามารถถ่ายภาพมาโครขนาด4ซม.ได้ + กล้อง monochrome 2MP ภายในตัวเครื่องจะเหมือนกับในรุ่น Pro คือใช้ชิบประมวลผล Snapdragon 888 ที่รองรับเครือข่าย 5G ทั้งแบบ NSA และ SA รวมทั้งมาพร้อมระบบระบายความร้อนแบบ vapor chamber ที่ใหญ่กว่าเดิม และแผ่นแกรไฟต์และทองแดงสำหรับลดอุณหภูมิขณะเล่นเกม นอกจากนั้นยังมาพร้อม RAM 12GB และรันบนระบบปฏิบัติการ Android 11 ที่ครอบด้วย OxygenOS 11 ส่วนแบตเตอรี่มีความจุ 4,500mAh (2,250mAh จำนวน 2 ก้อน) ที่รองรับ Warp Charge 65W ที่สามารถชาร์จแบตจนเต็มได้ในเวลา 29 นาที และรองรับการชาร์จแบบ PD 45W ที่รองรับการชาร์จกับแล็ปท็อปหรือแท็บเล็ตได้ และตัวเครื่องที่วางขายในอเมริกาเหนือและยุโรปสามารถรองรับการชาร์จไร้สาย Qi ได้ 15W

 UNBOX

เมื่อแกะกล่องออกมาเราจะเห็นมือถือวางไว้พร้อมกับกล่องสีแดงบางๆสำหรับใส่คู่มือการใช้งาน ใบต่างๆนั้นเองซึ่งแอบแปลกใจว่าครั้งนี้ไม่มีโลโก้ สติกเกอร์อะไรใส่เข้ามาแล้วครับ แต่พวกตัวเคส หรือ ที่ชาร์จ สายชาร์จให้มาครบ

  • ONEPLUS 9
  • เคสใส TPU ONEPLUS 9
  • ที่ชาร์จ WARPCHARGE 65T USB-C
  • สายชาร์จ USB-C สีแดงรองรับ WARPCHARGE 65W USB-C TO USB-C
  • คู่มือการใช้งาน ที่จิ้มซิม

ตัวเคสที่แถมมานั้นถือว่ามีความสวยอันดับต้นๆของบรรดามือถือเลย แน่นอนว่าครั้งนี้มีความแตกต่างคือใส่ สโลแกนของค่ายมาเน้นๆดูดีและทำให้ดูมีระดับขึ้นมาเยอะครับจากเดิมที่เรียบๆ และขอบเครื่องนั้นจะเป็นสีแบบขุ่นๆทั้ง 4 ด้านทำให้ดูดีและสวยอีกทั้งมีความพรีเมี่ยมกว่าเดิมเยอะอันนี้ขอชมเลยครับ ส่วนตัวเคสนั้นสามารถคลุมทั้งหน้าและหลังได้ดีระดับนึง มีขอบป้องกันมุมทั้ง 4 ด้านมาให้ทำให้การปกป้องนั้นได้ดีมากกว่ารุ่นก่อนที่จอโค้งนั้นเองทำให้รุ่นนนี้เคสดูดีปกป้องใช้งานได้จริงมากขึ้นและขอบเครื่องขุ่นชัดเจนกว่าเดิมเพราะว่าขอบทั้งหมดทำได้หนาและปกป้องได้ดี

DESIGN

งานออกแบบตัวนี้มีการเปลี่ยนแปลงเยอะมากๆ ทั้งการวางตำแหน่งกล้องรวมถึงวัสดุฝาหลังการเล่นโทนสีต่างๆในรุ่นนี้จะเป็นสีม่วงแต่เมื่อเจอแสงหรือสะท้อนต่างๆนั้นจะเห็นว่าจะออกสีม่วงอ่อนๆหรือโทนฟ้า แต่ถ้ามืดๆมากก็จะเป็นอีกโทนสีนั้นเองถือว่าเล่นแสงสีได้สวยมากๆ ทางการวางกล้องนั้นในมุมซ้ายบนเราจะเห็นว่ามีกล้องที่เรียงกันแบบแยกโซนกันทั้งหมด กล้องเลนส์หลัก และ เลนส์มุมกว้าง และ มีเลนส์โมโนสำหรับจับระยะแยกกัน พร้อมกับ Hasselblad ส่วนน้ำหนักนั้นเราจะเห็นว่าหนาแค่ 8.1มม. และน้ำหนักตัวเครื่องนั้นแค่ 183 กรัมถือว่ากำลังพกพาได้ไม่หนักมาก

ทางด้านหน้าจอนั้นใช้งานหน้าจอ AMOLED สีสันสวยงามสู้แสงได้ดีพร้อมกับสีดำสนิทสวยงามเลยทีเดียวมาในขนาด ขนาด 6.55 นิ้ว (2400  × 1080 พิกเซล) 120Hz Full HD+ อัตราส่วน 20:9, ความสว่าง 1,100 nits, และใช้กระจก Gorilla Glass 5 ส่วนงานออกแบบนั้นเป็นแบบเจาะรูเช่นเดิม ดีไซน์ถือว่าไม่ได้หนีจากเดิมมากนักแต่การเปลี่ยนมาใช้งานหน้าจอแบบนี้ถือว่าถูกใจแน่นอนหน้าจอสวยและได้ลื่นไหลอย่างมาก

ขอบด้านล่างหน้าจอตัวนี้ต้องบอกว่าทำได้บางมากๆ เรียกได้ว่าบางเกือบจะเท่าขอบด้านอื่นๆแล้ว และในการคุมนั้นสามารถใช้งานแบบเต็มหน้าจอ หรือ เป็นปุ่มปกติได้ครับ ในส่วนของสแกนนิ้วนั้นอยู่ตรงกลางด้านล่างหน้าจอ

ขอบหน้าจอด้านบนนั้นทำได้ค่อนข้างบางเป็นที่อยู่ของ ลำโพงสนทนา และ ลำโพงตัวที่ 2 และ เซนเซอร์ต่างๆแฝงไว้ตรงขอบหน้าจอ และมีความบางขึ้นเยอะอยู่ รุ่นนี้เป็นแบบเจาะรู ใช้กล้องกล้องหน้า 16MP (f/2.45) ที่ใช้เซนเซอร์ Sony IMX471, รองรับ EIS  เซนเซอร์ตัวเดิมเลยนั้นเองตัวเดียวกับ 1+8T ก่อนหน้านี้เลย ยังไม่พัฒนาขึ้นนัก

ขอบด้านล่างนั้นจะเป็นที่อยู่ของลำโพงตัวที่ 1 เป็นลำโพงหลักพร้อมกับ รู USB Type-C  และ ช่องสำหรับไมค์เสียง บันทึกเสียงเวลา คุยโทรศัพท์ต่างๆ และถาดซิมก็ใส่เข้ามาให้ตรงนี้พร้อมกับการรองรับ Dual SIM พร้อมซีลกันน้ำ

ขอบเครื่องทางซ้ายมือนั้นเราจะเห็นว่าเป็นปุ่มเพิ่ม / ลด เสียงเท่านั้นพร้อมกับขอบโครเมี่ยมสีเดียวกับฝาหลังทั้งหมดสีเงินม่วงๆสวยงาม และฝาหลังจะโค้งลงมากินขอบเครื่องด้านข้างด้วยเช่นกันทำให้จับได้ถนัดและส่งผลถึงงานออกแบบ

ขอบเครื่องด้านบนนั้นเราจะไม่เห็นตัว ขีดเสาสัญญาณแล้วซ่อนได้เนียนตามากขึ้น และยังคงมีไมค์สำหรับตัดเสียง และ บันทึกเสียงตัวที่ 2 ที่ใส่เข้ามาให้ด้วยเช่นกัน และจะเห็นว่าตัวกล้องนั้นไม่ได้นูนออกมามากเท่ากับรุ่นก่อนแล้วจุดนี้ถือว่าทำได้ดีพอสมควรลดลงได้บ้างขึ้นเรื่อยๆเลยในจุดนี้ จะเป็นการนูน 2 ระดับอาจจะหลอกตาได้ดีด้วยระดับนึง

ขอบทางด้านขวานั้นเราจะเห็นว่าเป็นปุ่ม Power สำหรับการเปิด/ปิดเครื่อง และ ปุ่ม สไลด์สำหรับเปลี่ยนโหมดเสียง เงียบ สั่น หรือ เสียงดัง เป็นเอกลักษณ์ของทาง Oneplus ที่ยังคงใส่เข้ามาให้ในทุกรุ่นของค่ายนี้ครับใช้งานสะดวก

ฝาหลังเปลี่ยนจากวัสดุแบบด้านมาเป็นกระจกเงาเช่นเดิมแล้วพร้อมกับสีม่วงที่แอบสวยเหมือนกันเวลาเจอแสงสว่างมากๆก็จะอมม่วงนิดๆพอสวยครับ แต่ถ้าเจอเงาอะไรจะเป็นการคล้ายๆไล่โทนสีจากมืดไปสว่างส่วนบนของเครื่องถือว่าออกแบบมาได้ดี และตัวรอบกล้องนั้นไม่ได้มีการทำสีดำอะไรทำให้เลนส์กล้องนั้นเด่นขึ้นมาครับพร้อมกับโลโก้ HASSELBLAD ด้วยเช่นกัน ฝาหลังนั้นโค้งกำลังดีในขอบซ้ายขวาทำให้จับถนัดมือและถือได้สะดวกมากขึ้น เป็นอีกสีที่สวยและหลายๆคนน่าจะชอบกันออกแนวหนาวๆเล็กน้อยครับสำหรับรุ่น 9 ตัวนี้ ถือว่าสีม่วงกำลังมาในหลายๆตัว และในชื่อเรียกของฝาหลังสีนี้จะเป็น สีม่วง (Winter Mist) นั้นเองครับ และจะมีสีฟ้า และ สีดำให้เลือกด้วยเช่นกัน

โดยกล้องหลังมีจำนวน 3 ตัวประกอบด้วย กล้องตัวหลัก 48MP ที่ใช้เซนเซอร์ IMX689 ตัวเดียวกับใน OnePlus 8 Pro + กล้อง ultra-wide 50MP ที่ใช้เซนเซอร์ IMX766 และมีความโค้งแบบพิเศษทำให้ลดความบิดเบี้ยวของภาพถ่ายลงจนเหลือเพียง 1% เมื่อเทียบกับกล้อง ultra-wide ทั่วไปที่มีความบิดเบี้ยว 10-20% และกล้อง Ultra wide บน OnePlus 9 ยังสามารถถ่ายภาพมาโครขนาด4ซม.ได้ + กล้อง monochrome 2MP นอกจากนี้ตัวกล้องยังสามารถถ่ายวิดิโอแบบ RAW 12-bit ในโหมด Pro, และมาพร้อมโหมด Nightscape Video 2.0, UltraShot HDR, โหมด Tilt-shift, Video HDR, Video Portrait, Focus Tracking ฯลฯ ให้มาครบเช่นกัน

SPEC

  • หน้าจอ Fluid AMOLED ขนาด 6.55 นิ้ว (1080 x 2400 พิกเซล) Full HD+, 402 ppi, อัตราส่วน 20:9, รีเฟรชเรท 120Hz, HDR 10+, ความสว่าง 1100nits, ใช้กระจก Gorilla Glass
  • ชิปประมวลผล Snapdragon 888 5nm
  • ใช้การ์ดจอ Adreno 660
  • RAM 8GB LPDDR5 + storage (UFS 3.1) 128GB / RAM LPDDR4X 12GB + storage (UFS 3.1) 256GB
  • Android 11 ที่ครอบด้วย OxygenOS 11
  • ซิมคู่ (nano + nano)
  • กล้องหลัง
    • กล้องตัวหลัก 48MP (f/1.8) ที่ใช้เซนเซอร์ Sony IMX689 ขนาด 1/1.43 นิ้ว, รองรับ EIS
    • กล้อง ultra-wide 50MP (f/2.2) ที่ใช้เซนเซอร์ Sony IMX766 ขนาด 1/1.56 นิ้ว, รองรับมาโครขนาด 4cm
    • กล้อง monochrome 2MP
    • ถ่ายวิดิโอ 8k ได้ที่ 30fps, 4K ได้ที่ 60fps, slow motion 720p ได้ที่ 480fps, slow motion  1080p ได้ที่ 240fps
  • กล้องหน้า 16MP (f/2.4) ที่ใช้เซนเซอร์ Sony IMX471 ขนาด 1/1.43 นิ้ว, รองรับ EIS
  • เซนเซอร์สแกนนิ้วใต้หน้าจอ
  • ขนาดตัวเครื่อง: 160×73.9×8.1มม.; น้ำหนัก: 183 กรัม
  • ช่องเสียบหูฟัง USB Type-C, ลำโพง Stereo คู่, รองรับ Dolby Atmos
  • รองรับเครือข่าย 5G SA/NSA, Dual 4G VoLTE, Wi-Fi 6 802.11 ax 2X2 MIMO, Bluetooth 5.2, GPS (L1+L5 Dual Band) + GLONASS
  • USB Type-C
  • แบตเตอรี่ความจุ 4,500mAh ที่รองรับชาร์จเร็วแบบ Warp Charge 65W
  • สีม่วง (Winter Mist), สีฟ้า (Arctic Sky) และสีดำ (Astral Black)

PERFORMANCE

ประสิทธิภาพของตัวเครื่องตัวนี้พกพาความแรงระดับสูงอยู่แล้วด้วย Snapdragon 888 ที่แรงกว่าเดิม พร้อมกับ RAM 12GB และใช้งานหน่วยความจำแบบ UFS 3.1  256GB ตัวนี้คือเร็วมากๆ และทำคะแนนในส่วนของ Antutu ไปได้ 806872 คะแนน และ Geekbench ได้ไป 1097/3110 รวมถึงหน่วยความจำอ่านเขียนไปได้สูงมากๆ ทำความเร็วไปได้ 1,884 MB/s และ DRM L1 สำหรับการดู NETFLIX รองรับสูงสุด HDR 10 HD ครับ

SYSTEM UI 

Android 11 ที่ครอบด้วย Oxygen OS 11 และหลายๆคนคงทราบกันดีกว่าแบรนด์ OnePlus มักจะได้รับการอัพเกรดซอฟต์แวร์เร็วเป็นอันดับต้นๆในยุคก่อน แต่ตอนนี้แอบมีช้าและบัคเยอะเหมือนกันนะ และซัพพอร์ตยาวๆเป็นเวลา 2 ปี ซึ่งตลอด 2 ปีนี้จะได้รับการอัพเกรดใหญ่ๆทั้งหมดส่วนตัวแอดว่ามันเคยเป็นรุ่นที่ทำระบบมาค่อนข้างดีมากๆและใช้งานได้ดีอันดับต้นๆของ Android การแจ้งเตือนอะไรทำได้ไวกว่าหลายๆตัวในบรรดา Android ด้วย แต่ตอนนี้ต้องบอกว่าไม่เทพเท่าแต่ก่อนแล้วจริงๆ แต่ความลื่นไหล หน้าตาของมันก็ยังคงโดดเด่นอยู่เหมือนเดิมนะ

แน่นอนว่าลากลงมา 1 ครั้งเจอตั้งค่า ลากลงมาอีกรอบก็ เหมือนรุ่นอื่นๆที่ใช้ Android 11 แต่จะเห็นว่าหน้าตาอะไรหลายๆอย่างแอบเปลี่ยนแปลงจากรุ่นก่อนหน้าชัดเจนเลยครับ และสำหรับการแบ่งหน้าจอนั้น ยังคงทำได้เช่นเดิม สามารถกดเข้าหน้าเคลียร์แอปและกด 3 จุดมุมขวาบนได้เลยครับ และสามารถใช้งานหน้าต่างแยกได้ด้วยทำให้แบ่งได้อิสระมากขึ้น ภาพรวมมันเปลี่ยนโทนสีได้เลยเลือก ดำแดง ก็สวยเข้มดีครับ เปลี่ยนรูปทรงไอคอนได้ด้วยนะ

ตัวระบบใช้งานได้ 240GB ครับ และ RAM 12 GB ใช้ไป 8.5 GB โดยเป็นการนับเฉลี่ย 1 วันที่แอดมินใช้งานปกติครับผม สำหรับทางแป้นพิมพ์ ตัวนี้ใช้ของ G board อันนี้แอดมินชอบสุดละตัวนี้ เรียบสวยและสเถียรมากๆ

การปรับแต่งนั้นยังคงทำได้ดีเช่นเดิมพร้อมกับรองรับการเปลี่ยนแปลง หน้าจอ Always On Display แล้วในการแสดงเวลาหน้าจอดับหรือแตะเพื่อแสดงครับ ถือว่าเปลี่ยนได้เยอะและสวยงามขึ้นพอสมควรครับ รวมถึงสามารถปรับการควบคุมได้ด้วยครับว่าจะใช้งานหน้าจอแบบเต็มหน้าจอ หรือจะใช้งานแบบปุ่มแบบดั้งเดิมนั้นสามารถใช้งานได้ทั้งหมดเลยครับ รวมถึงปรับ 120Hz และ แสงแจ้งเตือนตามขอบหน้าจอทั้งหมด

ในส่วนของ Gesture นั้นก็มีมาให้เยอะเช่นเดิมทั้ง 3 นิ้วในการแคปหน้าจอ การรับสาย การพลิกเพื่อเงียบ รวมถึง แตะ 2 ครั้งเพื่อปลุกเครื่อง และยังสามารถปรับ ปุ่ม power 2 ครั้ง เข้ากล้อง หรือ กดค้างเพื่อ เรียก Google Assistant ได้ด้วย การปรับแต่งหน้าตาส่วนอื่นๆรองรับได้ดีเช่นกันครับ รวมถึงระบบเสียง Atmos อะไรให้มาครบ

SCREEN

หน้าจอมาพร้อมกับขนาด ขนาด 6.55 นิ้ว ความคมชัดระดับ FHD+ รองรับ HDR 10+, resolution 1080×2400, pixels 402 ppi ให้สีที่แม่นยำด้วยการการันตีค่า JNCD under 0.55 และประหยัดพลังงานมากขึ้นด้วยวัสดุหน้าจอ panel’s advanced E3 material นอกจากนี้ยังมีการรองรับช่วงสีแบบ full DCI-P3color gamut ช่วยในประหยัดพลังงานสำหรับการใช้งานบนหน้าจอและลดแสงสีฟ้า มาพร้อมกับ ขอบหน้าจอที่บาง และสามารถปรับความสว่างได้สูงสุดถึง 1,100 nits  ถือว่าในการใช้งานความสดของสีทำได้ดี ดำก็สนิทเข้มสู้แสงได้สบายด้วย พร้อมกับสแกนนิ้วมือใต้หน้าจอ และ Always On ก็มีมาให้ใช้งานครับ คุณภาพความลื่นไหลนั้นทำได้ดีเช่นเดิมแบบชัดเจน และความสดมิติของภาพมันดีขึ้นกว่าเดิมมิติโหดมากๆอันนี้ชอบ รวมถึงความลื่นไหลทำออกมาดีได้ด้วยทำให้มันได้เรื่องของความละเอียดความสวยมาเต็ม และเป็น AMOLED เช่นเดิม ซึ่งหน้าจอตัวเดียวกับ 8T

การใช้งาน AMOLED แน่นอนว่าในเรื่องของคุณภาพทำได้ดีมุมมองก็ดีเช่นกัน มองได้ชัดเหมือนมองตรงๆไม่เจออาการเพี้ยนอะไรครับ แต่ถ้าใครการปรับเปลี่ยนจาก 60Hz มาเป็น 120 ที่ได้สัมผัสด้วยตัวเองนั้นต้องบอกว่ามันมีความแตกต่างกันแบบชัดเจนยิ่งใครใช้จอ 60 แล้วปรับมาเป็น 120 จะชอบและติดใจมากๆครับ คือแค่เลื่อนหน้าฟีดก็แตกต่างแล้วไม่ต้องเล่นเกมดูหนังอะไรครับกดเลื่อนดูรูปก็ลื่นแล้ว เป็นอีกจุดที่หลายๆคนไม่ควรมองข้ามเลยครับ 120Hz  ตัวนี้มีฟิล์มติดกันรอยมาให้เลยจากโรงงานรองรับการใช้งานสแกนนิ้วอะไรได้ปกติเลยครับส่วนการสู้แสงในการใช้งานจริงนั้นถือว่าทำได้ดี  เป็นหน้าจอตัวเดียวกับรุ่น 8T ก่อนหน้านี้ครับและยังคงทำได้ประทับใจเช่นเดิมเลย

SOUND

ส่วนเสียงผ่านหูฟังจากที่ได้ลองนั้นต้องบอกว่าเสียงมันไม่ได้มีความแตกต่างกับรุ่นก่อนหน้านี้เท่าไรนักพอๆกับตัว Oneplus 8 Pro แบบเดียวกันเป๊ะๆเลยแหละถ้าเทียบกับหูฟังและตัวแปลงเดียวกันนะ ขับเสียงทั้งหลายย่านก็ทำออกมาได้ดี แม้รายละเอียดจะไม่มากนัก แต่ตัวเสียงมี Software ปรับ ชนิดหูฟัง ปรับ EQ ได้ครับ และ ตั้งค่าได้นิดหน่อย เหมาะสำหรับ ฟังสนุกได้ ไม่ซีเรียสเรื่องคุณภาพมากนัก ฟังเพลงทั่วไปสบาย ดูหนังได้สบาย ส่วนระบบเสียงแบบไร้สายนั้นก็รองรับการปรับ EQ ได้ด้วยนะครับแบบในภาพเลยและยังมีระบบเสียง Dolby Atmos เข้ามาช่วยในการฟังเพลงดูหนังต่างๆทำได้ดีขึ้น มิติเสียงในภาพรวมนั้นทำได้กังวาลและรอบทิศทางได้ดีขึ้นในการดูหนังครับ

SPEAKER 

ทางด้านลำโพงนั้นให้มาเป็นลำโพงคู่ที่พัฒนามาดีขึ้นเช่นกันจากรุ่นก่อนรวมถึงเสียงมีความดังและเสียงค่อนข้างสะใจพอสมควร และ พัฒนารองรับ ATMOS ได้แล้วทำให้เรื่องของเสียงมีมิติชัดเจน มีความดังชัดเจนขึ้นและเป็นลำโพงที่ดีมากๆตัวนึงครับ และในคลิปขอลองเอาไปเทียบกับ X60 Pro ต้องบอกว่าตัวนั้นมีลำโพงเดี่ยวเท่านั้นแอบน่าเสียดายทำให้คู่นี้นั้นทาง ONEPLUS ทำได้ดีกว่าชัดเจน ทั้งความดัง มิติเสียง หรือว่าในเรื่องของคุณภาพเสียงครับ

GPS

การนำทางค่ายนี้ทำได้ดีมาเสมอครับ และในตัวนี้ยังคงไว้ใจได้ครับในเรื่องนี้นำทางได้สบายมากแม่นเอาเรื่องทำได้ดีขึ้นทางด่วนลงอุโมงค์ไม่เด้งไปไหนครับ ทดสอบตอนรถวิ่ง ก็เจอได้ 100 ถือว่าอยู่ในระดับที่ใช้งานได้ดีเลย และกลางแจ้งจับได้ 52 เลยทีเดียวครับ  และในที่ร่มนั้นได้ 12 ครับ ระยะเวลาในการจับหลังจากเปิด แอปนั้นใช้เวลาไวมากครับ อันนี้ ไม่หน่วงหรือ รอเลยหลังจากเปิดแอป ไม่มีปัญหาใดๆ รวมถึงการเปิดสถานที่ในแอปอื่นๆก็ใช้งานได้ดี

BATTERY

แบตในรุ่นก่อนหน้าตัว 8T นั้นให้มาที่  4,500 จากเดิมในรุ่น 8T นั้นเองทำให้รุ่นนี้นั้นแบต และการรองรับการชาร์จไวนั้นเท่าเดิมทั้งหมดยังไม่ได้เปลี่ยนอะไรมากนักครับ ในแง่ของการทดสอบนั้นอยู่ได้ 12 ชั่วโมง แบตเหลือ 21% ครับ จอเปิด 3  ชั่วโมงกว่า ใช้งาน เฟส กล้อง วีดีโอ ฟังเพลง GPS ครับผม ถือว่าทำได้กลางๆ และ เปิด 5G ไว้ตลอด แอบมีเล่นเกมนิดหน่อย ส่วนถ้าใช้ทั่วๆไปไม่เล่นเกมนั้นจะได้ 12 ชั่วโมง จอเปิด 6 ชั่วโมงครับ ก็ถือว่าดูดีกว่าเดิมเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้อึดมากครับ แต่ถ้าเทียบจำนวนความไวในการลดนั้นถือว่าอึดนิดๆ และถ้ามองเทียบกับรุ่น 8T นั้นเรียกได้ว่าแบตนั้นใกล้เคียงเดิมมากๆ แต่รู้สึกว่าแอบลดไวนิดๆเหมือนกันเมื่อเปิด 5G ถ้าใครหวังแบตอึดนั้นไม่ได้เป็นจุดเด่นครับสำหรับรุ่นนี้ ลดไวกว่า 8T แบบรู้สึกได้เลยครับ แต่ก็ได้การชาร์จไว 65W เข้ามาทดแทนพอช่วยได้

GAMING 

เรื่องของการเล่นเกมรุ่นนี้บอกเลยว่ายังทำได้สุดยอดเหมือนเดิม เหมือนกับรุ่นที่ผ่านๆมา เเต่สิ่งที่ชื่นชอบที่สุดสำหรับมือถือรุ่นนี้ เท่าที่ได้ลองก็คือคุมความร้อนได้ดีขึ้นจากเท่าที่ได้ทดสอบต่อเนื่อง เล่นเกมไปด้วยอัดหน้าจอไปด้วยโดยรวมความร้อนอยู่ในเกณปกติ การเล่นเกมต่างๆเเน่นอนว่ามาพร้อมกับชิปเซ็ตระดับท็อปอย่าง Snapdragon 888 คงไม่ต้องพูดเรื่องของประสิทธิภาพลื่นไหล เเละปรับสุดสูงสุดอยู่เเล้วในทุกๆเกม ส่วนเเบตเตอรี่เท่าที่ได้ทดสอบ 1 ชั่วโมงเเบตจะกินอยู่ราวๆ 14 – 15% เอาเป็นว่ามาดูกันดีกว่าว่ารุ่นนี้เล่นเกมจะดีขนาดไหน

CAMERA 

สำหรับกล้องตัวนี้เป็นจุดที่น่าสนใจเพราะว่ามาร่วมกพัฒนากับ HASSELBLAD และใช้งานเซนเซอร์ที่ดีกว่า 8T ก่อนหน้า เพราะตัวนี้ยกเซนเซอร์กล้องจากรุ่น 8 Pro มาเลยนั้นเองครับ มาพร้อมกับ กล้องหลัง 48MP (f/1.78) ใช้เซนเซอร์ Sony IMX689, ขนาดพิกเซล 0.8μm, ฟีเจอร์ OIS + EIS, Native ISO คู่, + กล้อง ultra-wide 50MP (f/2.2) ตัวใหม่ และเป็นตัวเดียวกับรุ่น 9 PRO บอกเลยว่าคุณภาพไม่ธรรมดาครับ ที่ใช้เซนเซอร์ Sony IMX766 ขนาด 1/1.56 นิ้ว, รองรับมาโครขนาด 4cm และ มาพร้อมกล้องจับระยะ 2MP ใส่เข้ามาให้ ซึ่งจุดหลักๆนั้นจะไม่มี OIS ไม่มีเลนส์ เทเลใส่เข้ามาให้ในรุ่นนี้ที่แตกต่างกับ 9 PRO และ เลนส์หลักตัว 9 PRO ใช้งานเซนเซอร์เทพกว่า ใหม่กว่าครับ แต่ถ้ามองในรุ่นนี้ก็ถือว่าไม่ธรรมดานะ เลนส์มุมกว้างเทพมากๆ และ คุณภาพการถ่ายดีกว่าตอนเปิดตัวแรกๆเยอะมากครับ อยากให้ลองและสัมผัสกันก่อนเพราะว่าได้พัฒนาแก้ไขมาเยอะมากๆแล้ว

PORTRAIT 

SELFIE

ส่วนกล้องหน้านั้น เป็นกล้องหน้า 16MP  Sony IMX471 พร้อมกับ รูรับแสง f/2.5 ใช้งานตัวเดียวกับรุ่นก่อนครับ เซนเซอร์ตัวเดิมเลยครับ ที่รองรับการถ่าย Portrait อะไรได้ปกติครับ และมีแต่งแสง หน้าเนียนมาให้ครบครันเช่นเดิม ส่วนกล้องหน้ายังไม่ได้แตกต่างกันเดิมมากเท่าที่ควร และยังไม่เปลี่ยนเซนเซอร์ตั้งแต่รุ่น ONEPLUS 7 เลยนะ

VIDEO

งานวีดีโอรองรับ 8K 30FPS ถือว่าพัฒนาขึ้นจากรุ่นก่อนครับและกันสั่นทำได้ดีเช่นเดิมเลยทั้งหลายๆความละเอียด แต่8K- 4K 60FPS นั้นจะจำกัดไว้ที่ 5 นาทีเท่านั้นนะ แต่ต้องชมว่ารุ่นนี้แม้จะไม่มี OIS แต่กันสั่นทำได้ดีมากๆในหลายๆความละเอียด รวมถึงในเรื่องของเลนส์มุมกว้างใช้งานได้ทุกความละเอียดเลยทีเดียวถือว่าเลนส์มุมกว้างสมราคาระดับเรือธงและเป็นตัวเดียวกับรุ่นพี่ 9 Pro ด้วยเช่นกันครับ อีกทั้งมีกันสั่นพิเศษ โหมดกลางคืนอะไรใส่มาครบเลยจะสว่างกว่าทั้งแบบปกติ และ แบบ 60FPS บอกเลยว่าน่าสนใจและงานวีดีโอทำได้ดีมากจริงๆ แต่กล้องหน้านั้นเหมือนเดิมเลยทั้งความละเอียดและคุณภาพเพราะว่าใช้งานเซนเซอร์เดิมทั้งหมดไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอะไรเลยนะ

ONEPLUS 9

” น้องเล็ก แต่กล้องไม่ธรรมดา สเปกลงตัว เหลือๆในการใช้งาน “

น้องเล็กแต่ครั้งนี้มาพร้อมกับกล้องแบบเดียวกับรุ่นพี่ในรุ่นก่อนในเซนเซอร์หลัก และ ใช้งานเลนส์มุมกว้างตัวเดียวกับรุ่น 9 PRO บอกเลยว่าไม่ธรรมดารวมถึงการร่วมพัฒนากับทาง HASSELBLAD ด้วยเช่นกันทำให้เรื่องของกล้องตัวนี้ทำได้ดีกว่าที่คิดไว้ รวมถึงดีกว่าตอนเปิดตัวที่เมืองนอกด้วยซ้ำครับ อีกทั้งงานออกแบบความสวยงามต้องบอกตรงๆว่าสวยกว่ารุ่น 8 8PRO ชัดเจนเลยแหละ หลักๆจะเป็นเรื่องกล้อง และ CPU ที่พัฒนาขึ้น แต่หน้าจอ ฟีเจอร์การใช้งาน การชาร์จอะไรต่างๆนั้นไม่ได้หนีจากเดิมเท่าไรนักครับ เน้นสำหรับการเล้นเกมที่ดีขึ้น กล้องเทพขึ้นและการปรับแต่งจาก HASSELBLAD ได้ลงตัวและสวยงามขึ้นเป็นจุดเปลี่ยนหลักๆที่ทำให้น่าสนใจ ส่วนในไทยตอนนี้รอติดตามกันครับว่าจะมาช่วงไหน เพราะในตลาดโลกของขาดกันเยอะมากๆน่าจะเรื่องชิปด้วยเช่นกันครับเอาใจช่วยทางแบรนด์ และสำหรับใครที่รอกันอยู่ อดใจรอกันนะรุ่นนี้ทำออกมาได้ดีมากจริงๆครับ และตัว Pro น่าจะโหดเอาเรื่องเลยเช่นกัน แต่จุดที่ขอบ่น ในเรื่องของกล้องหน้าอยากให้ทางค่ายเปลี่ยนเซนเซอร์เป็นรุ่นใหม่ๆที่ดีกว่าเดิมได้แล้ววนะ นานไปแล้ว

ข้อดี

  • งานออกแบบสวยงามกว่าเดิม ดูหรูหรา พรีเมี่ยมมากขึ้น
  • คุณภาพกล้องหลังคือเทพ ทั้งการจัดการแสงสี มิติ ของภาพจาก HASSELBLAD
  • เลนส์มุมกว้างตัวเดียวกับ 9 Pro คุณภาพไว้ใจได้และเทพมากตัวนึงในตลาดตอนนี้
  • โหมดการถ่ายพื้นฐาน ทำได้ดี รวมถึง Portrait ต่างๆ
  • ระบบหน้าตามีความสวย ลื่นไหล เช่นเดิม
  • ลำโพงคู่ รองรับ ATMOS เรื่องเสียงทำได้ดี
  • ประสิทธิภาพ ในการเล่นเกม ทำงานใช้งานทั่วไปสบายๆกับ Snapdragon 888
  • รองรับการชาร์จไร้สาย !

ข้อสังเกต

  • ยังคงใช้งานเซนเซอร์กล้องหน้าตัวเดียว ตั้งแต่ยุค Oneplus 7
  • การชาร์จไว และ แบตเตอร์รี่ เท่าเดิมกับ 8T
  • หน้าจอยังคงเป็นตัวเดียวกับ 8T
  • ไม่มี OIS ในกล้องหลัง

สำหรับรีวิวนี้ผมก็ต้องขอตัวลาไปก่อนสำหรับรุ่นอื่นๆก็ติดตามกันได้เลย ถูกใจฝากกดไลค์กดแชร์ด้วยนะครับ  มีข้อผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ  เพื่อนๆสนใจอยากให้พวกผมรีวิวรุ่นไหนสามารถ Inbox มาบอกเราได้เลยนะ
ฝากไลค์เพจ FACEBOOK เราด้วยนะครับ >>>>>>>>>  TECHHANGOUT

เข้าร่วมกลุ่ม TECHHANGOUT พูดคุยแลกเปลี่ยน ข้อมูล คุยกันเองชิลๆได้เลยที่ — Facebook  Techhangout พูดคุย Smartphone gadget 

Review by Nineztr