ONEPLUS เองนั้นเรียกได้ว่าลุยตลาดในรุ่นเล็กๆ รุ่นกลางแบบต่อเนื่องเลยแน่นอนว่าหลายๆคนอาจจะรอ เรือธงแต่ก็ต้องเข้าใจว่าในระดับนั้นมันมีเรื่องของการขาดแคลนชิพกันทั่วโลกเท่าไรส่งผลด้วยเช่นกัน ทางค่ายเลยเน้นรุ่นที่ของพร้อมและนำเข้ากันมาก่อนแบบด่วนๆเลยสำหรับ NORD CE 5G ที่พึ่งเปิดตัวในตลาดโลกไปไม่นานครับ รุ่นนี้ถือว่ามาพร้อมกับสเปคที่สูงกว่า N10 และ ทำราคาต่ำกว่า NORD รุ่นแรกทำให้มันค่อนข้างจับต้องได้ง่าย และ ราคาไม่แรง รวมถึงใช้งานหน้าจออะไรต่างๆนั้นจัดเต็มไม่แพ้กัน มาพร้อมกับ Snapdragon 750G และใช้งาน 90Hz หน้าจอแบบ AMOLED รวมถึง ชาร์จไว 30W ก็ถือว่าสเปคเองนั้นมาพร้อมใช้งานเหลือๆทั้ง หน้าจอ แบต ต่างๆด้วยเช่นกัน และในไทยก็ทำราคาเริ่มต้น ในเรทราคาหมื่นต้นๆทำให้เป็นรุ่นท่ีน่าสนใจและรองรับ 5G ได้ดีอีกรุ่นจากทาง 1+

ONEPLUS NORD CE 5G นั้นมาพร้อมกับสเปคหน้าจอ Fluid AMOLED ขนาด 6.43 นิ้วที่มีรีเฟรชเรท 90Hz และมีกล้องหน้าความละเอียด 16MP อยู่ในรอยบากที่มุมซ้ายบนของหน้าจอ ภายในตัวเครื่องใช้ชิบ Snapdragon 750G ที่มาพร้อมโมเด็ม X52 5G ของ Snapdragon ที่รองรับเครือข่าย 5G ทั้งแบบ SA และ NSA นอกจากนี้ยังใช้ระบบปฏิบัติการ Android 11 ที่ครอบด้วย OxygenOS 11 ที่ถูกสัญญาว่าจะมีการอัพเดทซอร์ฟแวร์ในอีก 2 ปีข้างหน้า และอัพเดทแพทช์ความปลอดภัยในอีก 3 ปีข้างหน้าส่วนกล้องหลังจำนวน 3 ตัวประกอบด้วยกล้องตัวหลัก 64MP + กล้อง ultra-wide 8MP + กล้องโมโน 2MP อย่างไรก็ดีตัวเครื่องของ Nord CE 5G ไม่มีแถบเลื่อนด้านข้างสำหรับสลับโหทดการแจ้งเตือนเหมือนใน Nord รุ่นปกติ แต่มันได้นำช่องเสียบหูฟัง 3.5มม. ตัวเครื่องยังมีความหนา 7.9มม. และมีน้ำหนักเพียง 170 กรัม ทำให้มันเป็นสสมาร์ตโฟน OnePlus ที่มีน้ำหนักเบาที่สุดนับตั้งแต่ OnePlus 6T แต่ถึงกระนั้น OnePlus Nord CE 5G มีแบตเตอรี่ความจุ 4,500mAh ที่รองรับการชาร์จเร็วแบบ Warp Charge 30T Plus ซึ่งสามารถชาร์จแบต 0-70% ได้ในเวลา 30 นาที ถือว่าสเปคภาพรวมนั้นทำได้ลงตัว

PRICE : OnePlus Nord CE 5G 

  • RAM 8+128GB – 12,990 บาท มี 2 สีฟ้า Blue Void และสีดำ Charcoal Ink
  • RAM 12+256GB – 15,990 บาท มีเฉพาะสีดำ Charcoal Ink
  • พิเศษ! เมื่อสั่งซื้อล่วงหน้า ผ่านเครือข่าย AIS ราคาเริ่มต้นเพียง 5,990 บาท หรืออยากผ่อนสบายๆ 0% นานสูงสุด 10 เดือนพร้อมแพ็กเกจรายเดือน 5G Hot Deal Max Speed เบาๆ เริ่มต้นเพียง 699 บาท/เดือน แถมเพิ่ม AIS 5G services (AR, VR, Cloud Game) รับสิทธิ์ดู YouTube Premium และสมัครดู Disney+ Hotstar เฉพาะที่ AIS เท่านั้น ตั้งแต่ 30 มิถุนายน – 6 กรกฎาคม 2564 นี้ รายละเอียดเพิ่มเติม >> https://www.ais.th/oneplus-nord-CE

UNBOX

กล่องทางด้าน Oneplus Nord CE นั้นไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงไปจาก NORD รุ่นแรกเท่าไรรวมถึงโทนงานออกแบบทั้งหมด และตัวสายชาร์จนั้นยังคงเป็นสีแดงอยู่ครับ ซึ่งอุปกรณ์ในกล่องเองนั้นจะเหมือนกับตัว NORD เลยนั้นเอง ส่วนทางด้านฟิล์ม และ เคสนั้นมีมาให้เรียบร้อย และคุณภาพใช้ได้ครับ รวมถึงสติกเกอร์ และ ที่ชาร์จ 30W

รุ่นนี้เราจะไม่ได้เห็น Welcome Letter แล้วในรุ่นนี้ แต่ก็ยังคงให้สติกเกอร์ NORD มาให้อยู่ครับเป็นเอกลักษณ์ของค่ายนี้ก็ได้เช่นกัน รวมถึง ที่ชาร์จให้มาแบบ หัวกลม รองรับการชาร์จ Warpcharge 30TPlus รองรับสูงสุด 30W นั้นเอง และทางด้านสายชาร์จยังคงเป็นแบบ USB-A ไป USB-C เหมือนรุ่นก่อนๆยังไม่ปรับเป็น USB-C คู่

มาที่ตัวเคสเป็นหน้าตาเดียวกับรุ่น NORD ก่อนหน้าเลยครับในแง่ของการออกแบบเล่นลวดลายข้างหลัง สีด้าน ตัดสลับกับสีแบบใส ถือว่าไม่ค่อยเห็นเคสแถมมีงานออกแบบพวกนี้เท่าไร แต่ชอบที่มันปกป้องเครื่องได้ดีมากๆทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ตัวขอบกินเข้ามาบนหน้าจอ และมีความหนาสูงกว่าหน้าจอทำให้วางคว่ำได้สบาย ส่วนฝาหลังนั้นก็คลุมได้หมดครับรวมถึงตัวเลนส์กล้องนั้นก็ทำออกมาปิดได้ดี มีความหนาขึ้นมาปกป้องได้เวลาวางต่างๆใช้งานทั่วไปจะเห็นได้ว่าตัวเคสนั้นมีความนูนขึ้นมาปกป้องตัวเลนส์ และหน้าจอขึ้นมาอีกครับ และ ทั้ง 4 มุมนั้นในด้านหน้าจะทำความสูงพิเศษขึ้นมาเพื่อที่จะปกป้องหน้าจอให้ดีขึ้นไปอีกเวลาตกหรือวางคว่ำ ซึ่งเคสปกติทั่วไปจะไม่มีมุมพิเศษขึ้นมาแบบนี้อันนี้ถือว่าออกแบบมาได้ดีมากๆ เหมือนเคสแถมเรือธงค่ายอื่นๆเลยแหละ มีเขียน Oneplus ด้วยเช่นกัน

DESIGN

งานออกแบบเองนั้นไม่ได้หนีจากรุ่นก่อนๆเท่าไรนักและมาพร้อมกับความบาง 7.9 มม. พร้อมกับน้ำหนักรวม 170 กรัมเท่านั้นถือว่าเป็นมือถือที่บางมากๆและบางที่สุดเท่าที่ทำมาก่อนหน้านี้จะเป็นของ Oneplus 6T นั้นเอง และไม่ได้ตัดรู 3.5มม. ออกไปด้วยนะ มาพร้อมกับสี Charcoal Ink และสีฟ้า Blue Void และ วัสดุแบบด้านทำให้ไม่เป็นรอยนิ้วมือด้วยเช่นกัน เป็นการออกแบบที่ผสมกันทั้ง วัสดุ สี และ การเคลือบทำให้มีความสวยงาม เล่นกับแสงได้ดีและมีมิติมากๆ พร้อมกับ AG Matte อารมณ์เดียวกับเรือธงของค่ายเช่นกัน พร้อมกับกล้องหลัง 3 ตัว วางแนวตั้งและกล้องหน้าแบบเจาะรูเช่นกัน ถือว่าหน้าตาไม่ได้หนีจากรุ่นก่อนหน้าเท่าไรนัก มีความเบา บาง และ จัดวางๆได้ดีมากๆ

หน้าจอ เองนั้นมาพร้อมกับหน้าจอแบบเจาะรูมุมซ้ายของตัวเครื่อง  Fluid AMOLED ขนาด 6.43 นิ้ว ในความละเอียด (1,080×2,400 พิกเซล) Full HD+, 410 ppi, อัตราส่วน 20:9, รีเฟรชเรท 90Hz เช่นเดิม 

ในส่วนมุมซ้ายบนเครื่องนั้นจะเป็นกล้องหน้า 16 ล้านพิกเซล พร้อมกับรูรับแสง f2.45 ถือว่าแอบแคบพอสมควรครับ และมาเป็นตัวเดียวเท่านั้น ส่วนขอบด้านบนเองนั้นมีความบาง และแทรกลำโพง เซนเซอร์ต่างๆมาครับ แต่น่าเสียดายเป็นลำโพงเดี่ยวเท่านั้นครับในรุ่นนี้ จะออกแค่ด้านล่างเท่านั้น

ขอบเครื่องด้านล่างนั้นมาพร้อมกับ ความหนาระดับนึง และมีฟิลม์กันรอยติดหน้าจอมาให้เรียบร้อย และ สามารถควบคุมการใช้งานได้แบบ 3 ปุ่ม หรือแบบเต็มหน้าจอได้ด้วยเช่นกัน

ขอบเครื่องในด้านล่างเองนั้น ใช้งาน USB-C  มาพร้อมกับ ไมค์ และ ช่องเสียบหูฟัง รวมถึงลำโพงหลักของตัวเครื่อง แน่นอนว่ารุ่นนี้ใช้งานลำโพงเดี่ยวนะครับ แต่การจัดวางอะไรนั้นจะคล้ายๆกับรุ่นอื่นๆของตระกูล NORD เช่นกัน

ในส่วนของขอบเครื่องด้านบนนั้นเราจะเห็นว่ามี ไมค์ตัดเสียงใส่เข้ามาให้ใช้งานพร้อมกับ ความโค้งมนของฝาหลังอีกทั้งในเรื่องของกล้องนั้นจะนูนขึ้นมาแบบชัดเจน ตัดขอบโค้งมลสวยงามและเล่นปัดเงาเช่นกันถือว่าดูดีระดับนึงเลย

ขอบเครื่องในด้านซ้ายนั้นเราจะเห็นว่ามีปุ่ม เพิ่ม – ลดเสียง พร้อมกับถาดซิมแบบ Dual Slot นั้นเองไม่ใช่ Triple Slot นะครับ รองรับการเพิ่ม SIM เท่านั้นครับ ส่วนปุ่ม Alert Slider อย่างที่แจ้งไปนั้นไม่มีใส่เข้ามาให้แล้วนั้นเอง

ขอบเครื่องในด้านขวานั้นจะเห็นเป็น Power เปิดปิด พร้อมกับขอบเครื่องแบบเงาแน่นอนว่าไม่ได้ใช้งานอลูมิเนียมอะไรครับ ขอบเครื่องรุ่นนี้จะเป็นพลาสติกทั้งหมด รวมถึงฝาหลังก็เป็นวัสดุแบบพลาสติกด้วยเช่นกัน ขอบกล้องขึ้นมาพอสมควร และไม่มี ALERT SLIDER ใส่เข้ามาเหมือนเดิม ทั้งด้านขวา และ ด้านซ้ายของเครื่อง เสียดายเหมือนกัน

ฝาหลังในรุ่นนี้เป็นสีที่ต้องบอกว่าโดดเด่นอย่างมาก เป็นสีฟ้า Blue Void และ วัสดุแบบด้านทำให้ไม่เป็นรอยนิ้วมือด้วยเช่นกัน เป็นการออกแบบที่ผสมกันทั้ง วัสดุ สี และ การเคลือบทำให้มีความสวยงาม และจะมีแค่ในตัว RAM 8 – STORAGE 128 GB เท่านั้น แน่นอนว่าแม้จะไม่ใช่วัสดุกระจกอะไรรวมถึงขอบตัวเครื่องก็เป็นพลาสติกแต่การเก็บงาน ความเบา ความสวยงามนั้นทำออกมาได้เนียนมือและผิวสัมผัสดี การพัฒนาฝาหลังแบบด้านแบบรุ่นเรือธง แต่การใช้งานพลาสติกมาแทนบอกเลยว่าพรีเมี่ยมขึ้นเยอะ ในการทำวัสดุแบบนี้ให้ผิวสัมผัสเหมือนเรือธงรุ่นพี่ได้เลย แต่ได้ความเบามากกว่าชัดเจน และสีนั้นจะออกฟ้าๆเล่นกับแสงได้ดีมากๆจะเห็นขอบสีเงินเข้มๆแทรกเข้ามาเวลาเจอแสง พร้อมกับ โลโก้ตรงกลาง และ กล้องหลังที่วางแนวตั้งไว้มุมเดิม แต่จะเป็น 3 เลนส์หลักเท่านั้น และ มีไฟ LED

กล้องหลังนั้นให้มา 3 ตัว เลนส์หลัก 64MP พร้อมกับรูรับแสง F1.79 เท่านั้นรองรับการถ่าย 4K ได้สบายๆ และมาพร้อมกับเลนส์มุมกว้าง 8MP และ เลนส์โมโน จับระยะใช้งานต่างๆครับ สเปคในการใช้งานนั้น กล้องตัวหลัก 64MP (f/1.79) ขนาดพิกเซล 0.7μm, รองรับ EIS กล้อง ultra-wide กว้าง 119 องศา 8MP (f/2.25) กล้องโมโน 2MP (f/2.4) ถ่ายวิดิโอ 4K ได้ที่ 30fps, ถ่าย slow motion 1080p ได้ที่ 120fps, 720p ได้ที่ 240fps ก็ถือว่าเป็นกล้องที่ครบมากๆตัวนึง มีเลนส์มุมกว้าง เลนส์หลักพร้อมใช้งาน และโหมดการถ่ายภาพที่ยังคงเด่นและฟีลแบบธรรมชาติ เนียนตา และ มิติภาพสวยเช่นเดิมตามสไตล์ของกล้อง Oneplus เหมือนที่เราเจอกันในหลายๆรุ่น

SPEC

  • หน้าจอ Fluid AMOLED ขนาด 6.43 นิ้ว (1,080×2,400 พิกเซล) Full HD+, 410 ppi, อัตราส่วน 20:9, รีเฟรชเรท 90Hz
  • ชิบประมวลผล Snapdragon 750G 8nm
  • ที่ใช้การ์ดจอ Adreno 619
  • RAM LPDDR4X 6GB/8GB + storage (UFS 2.1) 128GB,
  • RAM LPDDR4X 12GB + storage (UFS 2.1) 256GB
  • Android 11 ที่ครอบด้วย OxygenOS 11
  • ซิมคู่ (nano + nano)
  • กล้องหลัง กล้องตัวหลัก 64MP (f/1.79) ขนาดพิกเซล 0.7μm, รองรับ EIS กล้อง ultra-wide กว้าง 119 องศา 8MP (f/2.25) กล้องโมโน 2MP (f/2.4) ถ่ายวิดิโอ 4K ได้ที่ 30fps, ถ่าย slow motion 1080p ได้ที่ 120fps, 720p ได้ที่ 240fps
  • กล้องหน้า16MP (f/2.45) เซ็นเซอร์สแกนนิ้วใต้หน้าจอ IMX471 รองรับ FHD
  • ขนาดตัวเครื่อง: 159.2×73.5×7.9มม.; น้ำหนัก: 170 กรัม
  • ช่องเสียบหูฟัง 3.5mm, ลำโพง Super linear
  • รองรับเครือข่าย 5G SA/NSA, Dual 4G VoLTE, Wi-Fi 6 802.11 ac (2.4GHz + 5GHz), Bluetooth 5.1, GPS/GLONASS/Beidou/NavIC, NFC USB Type-C
  • แบตเตอรี่ 4,500mAh ที่รองรับ Warp Charge 30T Plus

PERFORMANCE

ประสิทธิภาพของตัวเครื่องตัวนี้พกพาความแรงระดับ Snapdragon 750G 5G พร้อมกับ RAM 8GB และใช้งานหน่วยความจำแบบ UFS 2.1  128GB และทำคะแนนในส่วนของ Antutu ไปได้ 389186 คะแนน และ Geekbench ได้ไป 632/1797 รวมถึงหน่วยความจำอ่านเขียนไปได้สูงมากๆ ทำความเร็วไปได้ 947 MB/s และ DRM L1 สำหรับการดู NETFLIX รองรับสูงสุด HD ครับ ถือว่าครบๆในการใช้งาน เล่นเกม ในเรทราคาเท่านี้จัดว่าดี

SYSTEM UI

Android 11 ที่ครอบด้วย Oxygen OS 11 และหลายๆคนคงทราบกันดีกว่าแบรนด์ OnePlus มักจะได้รับการอัพเกรดซอฟต์แวร์เร็วเป็นอันดับ 2 เป็นรองแค่ Google เท่านั้น  เป็นรุ่นที่ทำระบบมาค่อนข้างดีมากๆและใช้งานได้ดีอันดับต้นๆของ Android การแจ้งเตือนอะไรทำได้ไวกว่าหลายๆตัวในบรรดา Android ด้วยและทำราคาถูกลงมาก

แน่นอนว่าลากลงมา 1 ครั้งเจอตั้งค่า ลากลงมาอีกรอบก็ เหมือนรุ่นอื่นๆที่ใช้ Android และยังคงหน้าตาแบบเดียวกับทาง 9 ก่อนหน้าที่เรารีวิวไปครับ สำหรับการแบ่งหน้าจอนั้น ยังคงทำได้เช่นเดิม สามารถกดเข้าหน้าเคลียร์แอปและกดค้างหน้าแอปได้เลย แต่หน้าตาพวกนี้มันเปลี่ยนโทนสีได้เลยเลือก ดำแดง ก็สวยเข้มดี เปลี่ยนรูปทรงไอคอนได้ด้วยนะสวยงามเลยหน้า Quick Setting

ตัวระบบใช้งานได้ 110 GB และ RAM 8 GB ใช้ไป 3.2 GB โดยเป็นการนับเฉลี่ย 1 วันที่แอดมินใช้งานปกติครับผม  สำหรับทางแป้นพิมพ์ ตัวนี้ใช้ของ G board อันนี้แอดมินชอบสุดละตัวนี้ เรียบสวยและเสถียรมากๆเลยครับ

ในส่วนของการปรับแต่งหน้าตาก็เช่นเดิมว่าสามารถปรับแต่งได้เยอะมากทั้งเรื่องของ ฟอนต์ การออกแบบ โทนสี ไอคอน รูปทรงถือว่ารองรับได้อิสระมากๆ  กล้องหน้าสามารถซ่อนได้น่าจะเอาแบบไหน ตามภาพ กราฟิกเลยครับ และ ในรุ่นนี้ หน้าจอ Ambient Display ในการแสดงเวลาหน้าจอดับหรือแตะเพื่อแสดงครับ แต่จะไม่สามารถปรับแต่งได้แบบรุ่น NORD ปกตินะครับ จะเป็นแค่เวลาขาวดำเท่านั้นเลย เพราะเป็นหน้าจอ IPS LCD เลยทำให้การปรับแต่งอะไรนั้นไม่ได้เยอะมากเท่ากับรุ่นอื่นๆ

ในส่วนของ Gesture นั้นก็มีมาให้เยอะเช่นเดิมทั้ง 3 นิ้วในการแคปหน้าจอ การรับสาย การพลิกเพื่อเงียบ รวมถึง แตะ 2 ครั้งเพื่อปลุกเครื่อง และยังสามารถปรับ ปุ่ม power 2 ครั้ง เข้ากล้อง หรือ กดค้างเพื่อ เรียก Google Assistant ได้ด้วย และ สามารถปรับว่า จะแสดงระดับแบตอะไรยังไงบ้าง หรือ แสดงความเร็วเครือข่ายได้ด้วยรวมถึงการเจาะรูกล้องหน้าว่าจะเป็นแบบไหน หรือซ่อนไป และปรับหน้าแอปเต็มหน้าจอ และทางด้านปุ่มควบคุมนำทางนั้นปรับได้ว่าใช้งานปุ่มหรือท่าทางและ แตะ หรือ กดค้างจะสั่งงานอะไร

SCREEN

หน้าจอในรุ่นนี้ใช้งานจอที่มีความลื่นไหล 90Hz โดยถือเป็นหน้าจอที่โหดสุดๆอีกรุ่นทั้งเรื่องของความคมชัดสวยงามการสัมผัสที่ไว และ รวมถึงอัตราการตอบสนองที่ไวมากๆติดนิ้วมากในระดับเรทราคานี้ครับ  ในส่วนของหน้าจอก็สามารถปรับได้ว่าจะเอา 60 กับ 90Hz ครับ ช่วยประหยัดแบตได้นิดหน่อยส่วนเรื่องของสเปกนั้นมาพร้อมกับ หน้าจอในชื่อ Fluid AMOLED มาพร้อมกับขนาด 6.43 นิ้ว (1080 x 2400 พิกเซล) Full HD+ ที่มีอัตราส่วน 20:9, รีเฟรชเรท 90Hz c และความหนาแน่น 410 ppi และใช้กระจก Gorilla Glass ถือว่าในสเปกอะไรทำได้ดี และเท่าที่ทดสอบใช้งานดูนั้น สู้แสงได้ดีระดับนึงพร้อมกับ มิติสีของภาพนั้นสวยใช้ได้เลยแหละ การออกแบบหน้าจอแบบเจาะรูกล้องหน้าตัวเดียวก็ถือว่าเป็นดีไซน์มาตรฐานของบรรดา android ไปแล้วไม่ว่าจะรุ่นราคาเท่าไรก็ตาม

หน้าจอนอกเหนือจากมุมมองตรงๆแล้วตัวภาพในมุมมองอื่นๆก็ถือว่ายังตอบสนองได้ค่อนข้างดีมากแสงสีอะไรสวยงามและมีความสว่างพอสมควรเลยทำให้สามารถใช้งานได้ในหลายๆสภาพแสงครับถือว่าทางด้านหน้าจอค่ายนี้ไว้ใจได้เลยและในเรื่องของการสัมผัสแน่นอนว่าแม้จะเป็นหน้าจอในรุ่นราคาเรทนี้แต่ก็ถือว่าทำออกมาได้ดีให้ความรู้สึกค่อนข้างใกล้เคียงกับทาง 90Hz ในรุ่นก่อนๆพอสมควรเลยแหละในความติดนิ้วอะไรใช้งานได้ดีคุณภาพยังคงทำได้ดี การสัมผัสเล่นเกมใช้งานไม่มีปัญหา รวมถึงความลื่นไหลในการใช้งานทั่วไปก็เป็นจุดที่แตกต่างแบบชัดเจน จนบางทีความรู้สึกในการใช้งานมันดีกว่า 120Hz แบบ IPS LCD ในบางตัวด้วยซ้ำไปอาจจะด้วยหน้าตา UI ที่เพียวๆและลื่นไหล ทำอนิเมชั่นต่างๆเนียนตา และอันนี้ถือว่าค่อนข้างประทับใจหน้าจอการสู้แสงและการใช้งานรวมๆ และทางด้านหน้าจอเองมาพร้อมกับหน้าจอ Ambient Display จะไม่ได้ติดตลอดเวลาหรือปรับแต่งอะไรได้เยอะ แต่ก็แสดงข้อมูลได้ดี

FINGERPRINT  FACE-UNLOCK 

สแกนนิ้วนั้นรองรับใช้งานบนหน้าจอรวมถึงสแกนใบหน้าต้องยกความดีให้กับการใช้งานหน้าจอแบบ AMOLED ทำให้สแกนนิ้วได้ไวและแม่นยำรวมถึงไม่ต้องมีการสแกนนิ้วในด้านหลังอะไรแล้ว และเทคโนโลยีก็จะคล้ายกับตัว NORD ก่อนหน้าด้วยเช่นกันครับ ส่วนการสแกนใบหน้าก็เป็นการใช้งานกล้องหน้ามาตรฐานเลยไม่ได้มีสแกน 3 มิติอะไรซึ่งเราจะเห็นการสแกนใบหน้าแบบนี้แทบจะทุกค่ายกันแล้ว เพราะใช้งานได้ง่ายและไม่ต้องมีเซนเซอร์อะไรเพิ่มเติมด้วย

SOUND

ระบบเสียงหลังจากที่รุ่น ONEPLUS NORD ตัวแรกได้ตัดออกไป แต่ในรุ่นนี้ได้ใส่มาอีกครั้งนึงครับ แน่นอนว่าหน้าตาการปรับแต่งอะไรทำได้หลากหลายมากขึ้นมาพร้อมกับการตั้งโหมดต่างๆ หรือจะเป็น หูฟังเวลาฟังเพลงตัวเสียงมี Software ปรับ Dirac ซึ่งเป็นแบบใหม่ ปรับได้ทั้ง ลำโพง หูฟัง แต่แน่นอนว่าก็เป็นการปรุงแต่งผ่านทาง Software เป็นหลักอยู่ดี เลยไม่ได้โหดมาก และ EQ ก็หายไปแล้วครับ ทำให้โทนเสียงแน่นอนว่ายังคงมีแนวเสียงค่อนข้างคล้ายกับตัว 8T ก่อนหน้านี้มากๆ ใกล้เคียงกันเลยทีเดียว กำลังขับก็ไม่ได้แตกต่างกันมากนักด้วย แต่ก็ยังดีที่ว่าในรุ่นนี้ยังคงไม่ได้ตัดรูหูฟังออกทำให้รองรับเสียงใช้งานได้ง่าย และ เล่นเกม หรือ ฟังเพลงก็ถือว่ากำลังดีเลยครับ

GPS

แน่นอนว่าแม้จะเป็น NORD ก็ตามถือว่าการนำทางค่ายนี้ทำได้ดีมาเสมอครับและในตัวนี้ยังคงไว้ใจได้ครับในเรื่องนี้นำทางได้สบายมากแม่นเอาเรื่องทำได้ดีขึ้นทางด่วนลงอุโมงค์ไม่เด้งไปไหนครับ ทดสอบตอนรถวิ่ง ก็จับได้ 40 ถือว่าอยู่ในระดับที่ใช้งานได้ดีเลย และกลางแจ้งจับได้ 50 เลยทีเดียวครับ และในที่ร่มนั้นได้ 20 ครับ ระยะเวลาในการจับหลังจากเปิด แอปนั้นใช้เวลาไวมากครับ อันนี้ ไม่หน่วงหรือ รอเลยหลังจากเปิดแอป ไม่มีปัญหาใดๆ นิ่งและใช้ได้จริง

BATTERY WARP CHARGE 30TPlus

แบตนั้นถือว่าให้มาค่อนข้างดีในความจุ 4,500 mAh ส่วนการชาร์จไวนั้นยังคงทำได้ดี 30W เท่ารุ่นก่อนหน้า ทั้งตัว NORD NORD N10 รวมถึงพวก Oneplus 8 Pro ในแง่ของการทดสอบนั้นอยู่ได้ 12 ชั่วโมง แบตเหลือ 26% ครับ จอเปิด 5  ชั่วโมง ใช้งาน เฟส กล้อง วีดีโอ ฟังเพลง GPS ROX ครับผม ถือว่าทำได้ดีเลยนะ ทดสอบนั้นเปิด 5G ไว้ตลอด ทำได้ใกล้เคียงกับรุ่นพี่พอสมควรในการใช้งานทั่วไปครับ ทั้งเรื่องของความอึดและการใช้งานหน้าจอ

GAMING

เรื่องของการเล่นเกมรุ่นนี้เท่าที่ได้ทดสอบ อย่างที่ทราบกันดี เรื่องของชีพียูจะมาพร้อมกับชิปเซ็ท Snapdragon 750G เป็นชิปเซ็ท 5G ที่ดีที่สุดของฝั่ง Qualcomm ในตอนนี้ สำหรับการเล่นเกมส์เท่าที่ได้ทดสอบรุ่นนี้ ถือว่าเล่นเกมส์ได้ดีมากๆ ดีทั้งเรื่องของการเปิดภาพกราฟฟิก เฟรมเรทของเเต่ละเกมส์ เเต่สำหรับใครที่เล่นเกม PUBG ในรุ่นนี้ยังคงไม่รองรับการเล่นเเบบ 60 FPS อาจจะเป็นเพราะว่าชิปใหม่ อาจจะต้องรออัพเดท การทัชรุ่นนี้ทัชได้ติดนิ้วมากๆ ส่วนเรื่องของความร้อนที่หลายๆคนสงสัย เท่าที่ลองทดสอบ 1 ชั่วโมง ความร้อนสูงสุดเท่าที่วัดได้จะอยู่ที่ 41 – 42 องศาในห้องปกติ เเละ ตามเกมส์ที่เล่น ส่วนเรื่องเเบตเตอรี่เท่าที่ได้ลอง 1 ชั่วโมงแบตจะลดประมาณ 14-15%

CAMERA

กล้องหลังก็ถือว่าไม่ธรรมดาเช่นกัน มาพร้อมกับ 3 เลนส์หลัก และ รองรับกล้องถ่ายภาพชัดสูงสุด 64 MP – OnePlus Nord CE 5G ติดตั้งด้วยกล้องหลังสามตัว มาพร้อมกับโหมด Nightscape เพื่อประสบการณ์การ
ถ่ายภาพในที่แสงน้อยได้ดียิ่งขึ้น สามารถถ่ายภาพได้มากถึงแปดภาพโดยใช้ค่าแสงที่แตกต่างกัน และประกอบเข้าด้วยกันเพื่อสร้างภาพถ่ายที่คมชัด สว่างขึ้น และน่าทึ่งยิ่งขึ้น กล้องตัวหลัก 64MP (f/1.79) ขนาดพิกเซล 0.7μm, รองรับ EIS กล้อง ultra-wide กว้าง 119 องศา 8MP (f/2.25) กล้องโมโน 2MP (f/2.4) ถ่ายวิดิโอ 4K ได้ที่ 30fps, ถ่าย slow motion 1080p ได้ที่ 120fps, 720p ได้ที่ 240fps ภาพรวมเท่าที่ลองมานั้น มุมกว้างเวลากลางวันทำได้ดี แต่กลางคืนอาจจะมีวุ้นค่อนข้างเยอะ ส่วนระบบจัดการในเลนส์หลักทำได้ประทับใจนะทั้งเรื่องของโทนภาพ มิติของภาพการจัดการแสงเวลาย้อนแสงหรือแสงน้อย รวมถึงโหมดกลางคืนทำได้น่าสนใจเลยแหละ และ Portrait เองนั้นก็เนียนใช้งานได้ดี สกินโทนตามสไตล์ของ 1+ ได้ดีครับ แต่ถ้าแสงน้อยอาจจะไม่ได้เด่นเท่าไร

PORTRAIT

SELFIES

กล้องหน้าตัวนี้มาพร้อมตัวเดียวในความละเอียด 16MP เซนเซอร์ IMX471 อีกครั้ง พร้อมกับรูรับแสง F2.45 แน่นอนว่าตัวนี้กล้องความละเอียดพอๆกับตัว N10 ครับไม่ได้หนีกันเท่าไร และจะดรอปลงจากตัว NORD ด้วยเช่นกัน ในการใช้งานจริงแน่นอนว่ารองรับใช้งานได้สบายๆ แต่ก็ตามสไตล์ของ 1+ ที่กล้องหน้าอาจจะไม่ได้เน้นอะไรมากนัก แต่ก็ยังดีที่มาพร้อมกับการแต่งใบหน้า BEAUTY MODE มาให้รวมถึง การถ่ายแบบ PORTRAIT ก็ใส่เข้ามาในส่วนกล้องหน้า เท่าที่ลองนั้นคุณภาพกำลังดีเมื่อเจอแสงต่างๆ แต่กลางคืนอาจจะไม่ได้เด่นเท่าไรนักครับถ้าถ่ายปกติ ซึ่งถ้าเทียบในเรทเดียวกันมีตัวอื่นที่กล้องหน้าโหดกว่านี้อยู่มากด้วยนะ แต่ก็จะเน้นแตกต่างกันแล้วแต่ค่ายกันไป ส่วนตัวนี้ใช้งานทั่วไปกล้องหน้าก็พอไหวครับ ธรรมชาติดิบๆเนียนๆไปเลย มุมมองภาพกลางๆไม่ได้กว้างอะไรมากนัก แต่ระยะชัดนั้นเซ็ทออกมาได้ดี

ONEPLUS NORD CE 5G 

” ONEPLUS NORD สเปคดี เล่นเกมลื่นไหล และ โดดเด่นตามสไตล์ ONEPLUS “

ONEPLUS นั้นจากแบรนด์ที่ลุยแต่เรือธง แต่ในปีหลังๆมานี้ลุยตลาดรองหรือรุ่นกลางมากขึ้นครับ เริ่มจาก NORD ในปีที่แล้วที่เปิด สีฟ้าโดดเด่นขึ้นมาจากธีมสีแดง รวมถึงการลุยตลาดในตระกูลนี้อย่างต่อเนื่องจนมาถึง NORD CE 5G ที่ย่อมาจาก Core Edition แน่นอนว่า สเปคภาพรวมนั้นน่าสนใจ เล่นเกมได้ไหลลื่น ประสิทธิภาพดี ในงบราคาหมื่นต้นๆ พร้อมกับดีไซน์ งานออกแบบที่ดึงมาจากรุ่นพี่ต่างๆถือว่าจัดเต็มเลยทีเดียวครับ อีกทั้งหน้าจอความลื่นไหล 90Hz ต่างๆนั้นทำได้ประทับใจเช่นเดิม รวมถึงการรองรับการชาร์จไวด้วยเช่นกัน แต่เรื่องของลำโพงนั้นน่าเสียดายว่าเป็นแค่ลำโพงเดี่ยวเท่านั้น และ เรื่องกล้องหน้าอาจจะไม่ได้โดดเด่นเท่าไร แต่ด้วย ONEPLUS เองนั้นยังคงใช้ OXYGEN OS ที่ลื่นไหล และหน้าตาคลีนๆทำให้หลายๆคนชอบกันรวมถึงการอัพเดทต่างๆก็ทำให้มันน่าสนใจ

ข้อดี

  • วัสดุพลาสติก น้ำหนักเบา บาง และ พกพาได้ง่าย
  • หน้าจอ 90Hz AMOLED ทำงานได้ดี ลื่นไหลอย่างมาก สีสวย สู้แสงดี
  • รองรับการเล่นเกมได้ดี Snapdragon 750G ใช้งานได้สบาย
  • ระบบลื่นไหล และ โดดเด่นตามสไตล์ OXYGEN OS
  • แบตใช้งานได้อึด พร้อมกับรองรับชาร์จไว 30W
  • มาพร้อมกล้องหลัง 64MP พร้อม โหมดการถ่ายที่ดีเช่นเดิม
  • ยังคงมีรูหูฟัง 3.5 มม. ใส่เข้ามาให้ใช้งาน

ข้อสังเกต

  • ลำโพงตัวเดียว
  • บอดี้ งานออกแบบไม่แตกต่างกับตัวอื่นๆมากนัก

สำหรับรีวิวนี้ผมก็ต้องขอตัวลาไปก่อนสำหรับรุ่นอื่นๆก็ติดตามกันได้เลย ถูกใจฝากกดไลค์กดแชร์ด้วยนะครับ  มีข้อผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ  เพื่อนๆสนใจอยากให้พวกผมรีวิวรุ่นไหนสามารถ Inbox มาบอกเราได้เลยนะ
ฝากไลค์เพจ FACEBOOK เราด้วยนะครับ >>>>>>>>>  TECHHANGOUT

เข้าร่วมกลุ่ม TECHHANGOUT พูดคุยแลกเปลี่ยน ข้อมูล คุยกันเองชิลๆได้เลยที่ — Facebook  Techhangout พูดคุย Smartphone gadget 

Review by Nineztr