iPhone 11

เมื่อ 2 วันก่อน APPLE ได้เปิดตัว iPhone 11 ซึ่งเป็นรุ่นต่อจาก iPhone XR โดยเจ้า iPhone 11 มาพร้อมชิปเซต A13 Bionic ที่ทำงานเร็วกว่ารุ่นก่อน 20% และมาตรฐานกันน้ำ IP68 (กันน้ำ 2 เมตรได้ถึง 30 นาที) อีกทั้งยังตัดระบบสัมผัสหน้าจอด้วยน้ำหนักต่างๆ แล้วแทนที่ด้วยการสัมผัสหน้าจอเป็นระยะเวลาต่างกันแทน และแบตเตอรี่ของมันยังใช้งานได้นานกว่า iPhone XR ถึง 1 ชั่วโมงเต็มๆ

สเปคของ iPhone 11

  • หน้าจอ LCD Liquid Retina 6.1 นิ้ว (1792×828 พิกเซล) 326ppi
  • ชิปเซต 6 core A13 Bionic 64-bit, 8-core Neural Engine
  • ความจำ 64GB, 128GB,256GB
  • iOS 13
  • กันน้ำและกันฝุ่น (IP68)
  • Dual SIM (nano + eSIM)
  • กล้องหลังเลนส์กว้าง 12MP (f/1.8),optical image stabilization, True Tone flash, ถ่ายวิดิโอ 4K ได้แบบ 60 fps, ถ่ายวิดิโอแบบ Slo‑mo ได้ 1080p ที่ 240 fps, เลนส์กว้าง Ultra Wide 120° 12MP (f/2.4) ที่ถ่าย zoom out แบบ optical ได้ 2x และซูมแบบ digital ได้ถึง 5x
  • กล้องหน้า 12MP (f/2.2), ถ่ายวิดิโอได้ 1080p,Retina Flash, ถ่ายวิดิโอ 4K ได้แบบ 60 fps, ถ่ายวิดิโอแบบ Slo‑mo ได้ 1080p ที่ 120 fps
  • กล้องแบบ TrueDepth สำหรับสแกนใบหน้า FaceID, Stereo speakers
  • ขนาดตัวเครื่อง : 150.9×75.7×8.3mm; น้ำหนัก: 194 g
  • Gigabit-class LTE up to 1.6Gbps, 802.11ax Wi‑Fi 6 with 2×2 MIMO, Bluetooth 5.0, NFC with reader mode, GPS with GLONASS
  • แบบเตอรี่แบบ lithium-ion พร้อมชาร์จไร้สาย, ชาร์จไว, เล่นวิดิโอติดต่อกันได้ถึง 17 ชั่วโมง

เจ้า iPhone 11 จะมีให้เลือกในสีม่วง, เขียว, เหลือง, ดำ, ขาว และสีแดง โดยราคาเริ่มต้นสำหรับประเทศไทยของมันอยู่ที่ 24,900 บาท ซึ่งถือว่าราคาเปิดตัวถูกกว่ารุ่นก่อนหน้าคือ iPhone XR

iPhone 11 Pro และ 11 Pro Max

และ APPLE ยังเปิดตัว iPhone 11 Pro และ 11 Pro Max มาพร้อมๆกับ iPhone 11 รุ่นธรรมดาอีกด้วย โดยทั้ง รุ่น Pro และ Pro Max จะใช้ชิปเซต A13 Bionic เช่นเดียวกับรุ่นธรรมดา และทั้งคู่จะใช้หน้าจอ Super Retina XDR OLED ที่ถูกเคลมว่าเป็นหน้าจอที่สว่างที่สุดของ iPhone ที่มาพร้อมความสว่าง 1,200 nits ตัดระบบสัมผัสหน้าจอด้วยน้ำหนักต่างๆ แล้วแทนที่ด้วยการสัมผัสหน้าจอเป็นระยะเวลาต่างกันแทน

มันมาพร้อมกล้องหลัง 3 ตัว 12MP ที่ประกอบด้วยเลนส์กว้าง Ultra-wide, เลนส์กว้าง และเลนส์ Telephoto สำหรับถ่ายภาพในสภาพแสงน้อย ตัวเครื่องของมันยังกันน้ำได้ถึงระดับ IP68 (กันน้ำได้ 4 เมตรเป็นเวลา 30 นาที) ที่สำคัญคือ APPLE ได้เคลมว่า iPhone 11 Pro จะใช้งานแบตเตอรี่ได้นานกว่า iPhone XS ถึง 4 ชั่วโมง และ iPhone 11 Pro Max จะใช้งานแบตเตอรี่ได้นานกว่า iPhone XS Max ถึง 5 ชั่วโมง

สเปคของ iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro Max

 

  • หน้าจอ 5.8 นิ้ว (2436×1125 พิกเซล) / หน้าจอ 6.5 นิ้ว (2688×1242 พิกเซล) OLED 458ppi Super Retina XDR
  • ชิปเซต 6 core A13 Bionic 64-bit, 8-core Neural Engine
  • ความจำ 64GB, 128GB,256GB
  • iOS 13
  • กันน้ำและกันฝุ่น (IP68)
  • Dual SIM (nano + eSIM)
  • กล้องหลังเลนส์กว้าง 12MP (f/1.8),optical image stabilization, True Tone flash, ถ่ายวิดิโอ 4K ได้ที่ 60 fps, ถ่ายวิดิโอ Slo‑mo 1080p ได้ที่ 240 fps, เลนส์ Ultra Wide 120° 12MP (f/2.4), เลนส์ Telephoto (ƒ/2.0) 12MP สำหรับถ่าย zoom in แบบ optical ได้ 2x  , ถ่าย zoom out แบบ optical ได้ 2x; ซูมแบบ digital zoom ได้ถึง 10x, โหมด Portrait พร้อม bokeh และ Depth Control
  • กล้องหน้า 12MP (f/2.2), ถ่ายวิดิโอได้ 1080p,Retina Flash, ถ่ายวิดิโอ 4K ได้แบบ 60 fps, ถ่ายวิดิโอแบบ Slo‑mo ได้ 1080p ที่ 120 fps
  • กล้องแบบ TrueDepth สำหรับสแกนใบหน้า FaceID, Stereo speakers
  • ขนาดตัวเครื่อง: 144×71.4×8.1mm; น้ำหนัก: 188 g / ขนาดตัวเครื่อง: 158×77.8×8.1mm; น้ำหนัก: 226 g
  • Gigabit-class LTE up to 1.6Gbps, 802.11ax Wi‑Fi 6 with 2×2 MIMO, Bluetooth 5.0, NFC with reader mode, GPS with GLONASS
  • แบบเตอรี่แบบ lithium-ion พร้อมชาร์จไร้สาย, ชาร์จไว, เล่นวิดิโอติดต่อกันได้ 18 ชั่วโมง/20 ชั่วโมง

เจ้า iPhone 11 Pro และ 11 Pro Max จะมีให้เลือกในสีเขียว midnight green, สีเทา space grey, สีเงิน และสีทอง ในราคาเริ่มต้นที่ 35,900 บาท และ 39,900 บาทตามลำดับ ซึ่งถือว่าราคาเปิดตัวถูกกว่ารุ่นก่อนหน้าคือ iPhone XS และ iPhone XS Max

FONEARENA