iPhone ได้ทำการเปิดตัว สมาร์ทโฟนรุ่นล่าสุดของทางค่ายที่มาพร้อมกับหลากหลายรุ่นใน ชื่อ iPhone 12 ที่มาพร้อมกับหลากหลายรุ่นย่อยพอสมควรในปีนี้ แน่นอนว่าในรุ่น 12 เดิมๆนั้นยังคงต่อยอดและสานต่อจาก iPhone 11 ก่อนหน้ามาได้อย่างดี และยังคงทำราคาเจาะกลุ่มเริ่มต้นได้ดีเช่นเดิมครับ เรียกได้ว่ามีการพัฒนางานออกแบบจากเดิมและมีการอิงงานออกแบบคล้ายๆกับยุคก่อนของทาง iPhone ได้ดีเลยทีเดียว ในครั้งนี้ก่อนที่จะมีการวางขายจริงก็เลยขอเอามาเทียบสเปกกันในหลายๆส่วนกันนิดหน่อย และคู่ชกในครั้งนี้ขอยกแบรนด์ที่ต้องบอกว่าเป็นคู่แข่งที่มีมายาวนานของฝั่ง Android ซึ่งก็คือทาง Samsung ที่เรามักจะเห็นการตลาดที่ทั้ง 2 แบรนด์นี้ออกมาแข่งขัน ต่อสู้กันอย่างยาวนานไม่ว่าจะเป็น Ads หรือว่าสินค้าทั้งหลายครับ และในครั้งนี้เลยขอยก Samsung Galaxy S20 FE 5G รุ่นล่าสุดที่เปิดตัวกันไป เจาะกลุ่มลูกค้าเดียวกันใกล้เคียงกันในระดับเริ่มต้น แต่ได้สเปกแรงเอาเรื่องเหมือนกันกับทาง iPhone 12 เลย เลยทำให้ทางเราขอเอาสเปกในหลายๆส่วนและฟีเจอร์มาเทียบกัน
Apple และ Samsung นั้นถือว่าเป็นคู่แข่งที่น่าสนใจ เพราะทั้ง 2 แบรนด์นี้เองมีอะไรหลากหลายอย่างที่สู้่กันได้สูสี ทั้งระดับของแบรนด์เอง การที่มี Ecosystem ของตัวเองที่เยอะแยะมากเหมือนกัน หรือจะเป็น อุปกรณ์เสริมในแต่ละตลาด การเข้าถึงอะไรทั้งหลายนั้นเป็นแบรนด์ที่สู้ได้สูสีแบรนด์นึงของทาง Android เลยทีเดียวครับ และในครั้งนี้ ทางด้าน iPhone เองก็ยังคงเด่นๆด้วยการออกแบบที่มีความสวยงาม เข้าถึงง่าย รวมถึงการใช้งาน CPU A14 ตัวแรงของทางค่าย และแน่นอนว่าระบบ iOS ที่หลายๆคนคุ้นกัน ส่วนทางด้านหน้าจอกล้องนั้นยังไม่ได้หนีไปจากเดิมมากนักในแง่ของการออกแบบ แต่ปรับมาใช้งาน OLED แล้ว และ กล้องก็ปรับรูรับแสงใหม่ครับ ส่วนการรองรับ 5G มาให้ใช้งานเหมือนกันเลย แต่ในไทยรอยืนยันเครือข่ายอีกที แต่ที่หลักๆเลยคือ ตัวกล่อง iPhone ไม่มีการแถม หัวชาร์จ และ หูฟังมาให้แล้วนะครับ. เมื่อมองมาที่ Samsung ในรอบนี้ถือว่าเปิดตัวมาได้ดีเพราะเป็นการใช้งาน Snapdragon 865 ในไทย และเป็นสเปกแรงสุดในตอนนี้ของฝั่ง Android พร้อมกับหน้าจอ 120Hz และการรองรับ 5G รวมถึงการใช้งาน รองรับการชาร์จไร้สายย้อนกลับ หรือจะเป็นกล้องหลัง 3 ตัวที่จัดเต็ม Hybrid Optical Zoom 3 เท่า เอาเรื่องเช่นเดียวกันครับ และ แบตจัดเต็ม 4500 mAh แน่นอนว่าการใช้งาน USB-C ก็ถือว่าเป็นพอร์ตที่แพร่หลายใช้งานได้อิสระมากๆตัวนึงในตอนนี้เลยก็ว่าได้ แต่ทางด้านสเปกแต่ละส่วนนั้นจะเป็นยังไงเรามาดูกันเลยครับสำหรับ iPhone 12 vs Samsung Galaxy S20 FE 5G
DESIGN
งานออกแบบนั้นทางด้าน iPhone กับ Samsung ถือว่ามีความแตกต่างกันแบบชัดเจนดีไซน์นั้นเป็นเอกลักษณ์ของค่ายตัวเองด้วยกันทั้งคู่ ทั้งหน้าจอที่งานออกแบบแตกต่างกันชัดเจน รวมถึง ดีไซน์การวางกล้องหลังด้วยเช่นกันครับ และความเหลี่ยมสัน และความโค้งมนก็แตกต่างกันเรียกได้ว่างานออกแบบนั้นแล้วแต่ชอบกันเลยก็ว่าได้ เพราะว่าไม่มีถูกไม่มีผิด แล้วแต่ดีไซน์ที่ชอบและลงตัวกับตัวเองทั้งหมด หน้าตาของทาง iPhone นั้นมีความคลาสสิกผสมกับยุคใหม่ได้ดีครับ แต่ทางด้านหน้าจอเองนั้นยังคงมีติ่งหน้าจอขนาดใหญ่ไปนิดหน่อยเมื่อเทียบกับยุคสมัยใหม่นี้ครับ และทางด้าน กล้องหลังนั้นยังคงให้มาแค่ 2 ตัวเท่านั้นเมื่อเทียบกับทาง Samsung ที่มีกล้องหลากหลายมากกว่า และหน้าจอถ้ามองกันตรงๆนั้น Samsung แอบดีไซน์การวางหน้าจอ กล้องหน้าได้ล้ำ กินพื้นที่น้อยกว่า ทำให้เต็มตากว่าด้วยเช่นกัน แต่ก็แลกกับไม่มีพวกเซนเซอร์สแกนใบหน้าอะไรแบบ 3 มิติ แต่ก็ได้ดีไซน์หน้าจอแบบใหม่มาแทน
ทางด้านวัสดุนั้นก็มีความแตกต่างกันนิดหน่อย ฝาหลังของ Samsung S20 FE นั้นยังคงเป็นแบบ Poly อยู่เช่นเดิมแบบเดียวกับ Note 20 ก่อนหน้า โดยจะเด่นเรื่องน้ำหนักเบาและบาง แต่ทางด้าน iPhone 12 นั้นจะเป็นวัสดุแบบกระจกทั้งหมดเลยทำให้ความพรีเมี่ยมอาจจะแตกต่างกันอยู่บ้าง แต่ถ้าหากมองเทียบกับนั้นความสวยงามการไล่เฉดสีต่างๆนั้นไมไ่ด้แตกต่างกันเท่าไร แต่จะต่างกันที่น้ำหนักและการจับหรือทัชในด้านหลังนั้นอาจจะแตกต่างกันอยู่บ้างครับ ทั้งนี้ก็ยังคงมีหลายๆคนชอบแบบฝาหลัง Poly ในการปกป้องเวลาตก ตัวเครื่องจะแข็งแรงกว่ากระจก และเบากว่าก็ต้องบอกว่าแล้วแต่ชอบในส่วนนี้เช่นกันครับ ส่วนฝาหลังนั้นทาง iPhone จะเหลี่ยมสันมากกว่า ส่วน Samsung จะโค้งรับมือได้มากกว่านิดหน่อย และทางด้านขนาดนั้นไม่ได้หนีกันมากเท่าไรนักในการจับถือ ความหนาของทั้ง 2 รุ่น
กล้องหลังนั้นเป็นอะไรที่ยุคสมัยนี้แข่งขันกันอย่างมากเลยทีเดียวและแน่นอนว่ากล้องหลังของทั้ง 2 รุ่นนี้ถือว่าน่าสนใจ มาดูกันที่ iPhone 12 นั้นยังคงให้กล้องหลังมาแค่ 2 ตัวเท่านั้นมาพร้อมกับ กล้องเลนส์หลัก 12 ล้านพิกเซลเท่าเดิม 26mm f/1.6 พร้อมกับ Dual Pixel PDAF และกันสั่น OIS ส่วนกล้องอีกตัวนั้นมาพร้อมกับ เลนส์มุมกว้างพิเศษ 12 ล้านพิกเซลพร้อมกับ f/2.4 และ แน่นอนว่า มุมกว้าง 120 องศาครับ เป็นกล้องหลัง 2 ตัวเท่าเดิมแต่มีการเปลี่ยนรูรับแสงและฟีเจอร์การถ่ายนิดหน่อย ส่วนทางด้าน Samsung นั้นจะมาพร้อมกัน 3 เลนส์เลยทีเดียว ตัวหลักมาพร้อมกับ ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล f/1.8 + 12 ล้านพิกเซล f/2.2 Ultra Wide Angle 123 องศา+ 8 ล้านพิกเซล f/2.4 TelePhoto และแน่นอนว่ารองรับ Dual Pixel AF , OIS , และ Hybrid Optical Zoom 3 เท่า , Space Zoom สูงสุด 30 เท่า ถือว่าแตกต่างกับ iPhone ชัดเจนทั้งเรื่องของ จำนวนกล้องที่เด่นกว่าในการรองรับการซูม เทเล รองรับการถ่ายระยะไกลได้ดีกว่า และมาพร้อมกับเลนส์มุมกว้างที่กว้างมากกว่า และ รูรับแสงนั้นกว้างกว่าทำให้ถ่ายที่แสงน้อยได้ดีกว่าทาง iPhone ด้วยเช่นกัน และที่ค่อนข้างชอบคือ Samsung มาพร้อมกับ OIS ทั้งเลนส์หลัก และ เลนส์ระยะเทเล ทำให้กันสั่นทำได้ดีมากๆ แต่เลนส์หลัก iPhone ถือว่ามีรูรับแสง 1.6 ที่พัฒนาขึ้นก็สูสีกันพอสมควร สำหรับเลนส์หลัก แต่ถ้ามองเลนส์อื่นๆรวมแล้วนั้นทาง Samsung ได้เปรียบ
กล้องหน้าเองนั้นถือว่าเป็นจุดหลักๆที่แตกต่างกันด้วยเช่นกัน แม้ว่าจะเป็นจำนวนเลนส์ 1 ตัวเท่ากันทั้งคู่ แต่กล้องของทาง Samsung นั้นจัดมาให้ที่ 32 ล้านพิกเซล มาพร้อมกับ f/2.6 และที่เด่นๆคือกล้องหน้ามี Autofocus ด้วยเช่นกันครับ ส่วนของทาง iPhone นั้นให้มาที่ 12 ล้านพิกเซลเท่าเดิมกับรุ่นก่อนหน้า มาพร้อมกับ f/2.2 และ มีเซนเซอร์การสแกนใบหน้าช่วยในการถ่ายต่างๆเหมือนเดิม จริงๆนั้นสเปกทาง iPhone 12 หลายๆส่วนแอบเหมือนกับทาง iPhone 11 ก่อนหน้านี้มากทำให้เรื่องกล้องนั้นไม่ได้เด่นเท่าไรนักเมื่อเทียบกับทาง Samsung
SCREEN
หน้าจอของทั้ง 2 รุ่นนอกเหนือการออกแบบแล้วนั้นยังคงมีเรื่องของขนาดหน้าจอที่แตกต่างกันด้วย มองในแง่การออกแบบนั้นทางด้าน iPhone 12 ไม่ได้มีความแตกต่างกับรุ่น 11 มากนักยังคงใช้งานติ่งหน้าจอตรงกลางขนาดใหญ่อยู่นั้นเอง ส่วนทางด้าน Samsung S20 FE นั้นปรับมาใช้งานหน้าจอแบบเจาะรูแล้วในมุมซ้าย ในจุดนี้ก็แล้วแต่ชอบเลยว่าจะเน้นใช้งานแบบไหน แต่ติ่งหน้าจอนั้นแอบดูใหญ่ไปนิดหน่อยสำหรับ iPhone 12 รุ่นนี้ ส่วนทางด้านสเปกนั้นในรุ่น S20 FE นั้นมาพร้อมกับหน้าจอขนาด 6.5 นิ้ว Infinity-O sAMOLED พร้อมกับความละเอียด FHD+ (1080×2400) ความหนาแน่น 407ppi, และใช้งานหน้าจอที่มี Refresh Rate 120Hz เลยทีเดียว ส่วนทางด้าน iPhone นั้นยังคงเป็นหน้าจอ 6.1 นิ้วเท่าเดิม แต่มีการอัพเกรดมาเป็น FHD Super Retina XDR OLED แล้ว และใช้งาน OLED เช่นกันเรียกได้ว่าพัฒนาแตกต่างกับรุ่นก่อนหน้าชัดเจนครับ และใช้กระจก Ceramic Shield แต่น่าเสียดายว่ายังไม่ได้รองรับ 120Hz ตามข่าวลือก่อนหน้านี้ หน้าจอถ้ามองในแง่สเปกแล้วนั้นทาง Samsung แอบทำได้ดีกว่า
BATTERY
แบตในการใช้งานนั้นต้องบอกว่าทั้ง 2 รุ่นถือว่ามีความโดดเด่น แต่ในแง่ของสเปกความจุนั้นมีความแตกต่างกันชัดเจนเลยทีเดียว รวมถึงการรองรับการชาร์จไวด้วยเช่นกัน มาดูกันที่ Samsung นั้นให้แบตมามากถึง 4,500 mAh เลยทีเดียวครับ และที่สำคัญนั้นรองรับการชาร์จไวสูงสุด 25W ให้มาในกล่อง รวมถึงรองรับชาร์จไร้สายไว 15W และรองรับการชาร์จย้อนกลับให้เครื่องอื่นได้ด้วยถือว่าเรื่องนี้ต้องยอมค่ายนี้เลยทีเดียว ส่วนทาง iPhone เองนั้นมาพร้อมกับแบต 2,227 mAh รองรับการชาร์จไว 20W และ ต้องซื้อเพิ่ม ในตัวกล่องไม่มีการแถมที่ชาร์จมาแล้วครับ ถือว่าเป็นจุดที่ต้องเสียเงินเพิ่มเติมอีกในเรื่องนี้ เพราะตัวกล่องไม่มีแถมหูฟัง ไม่มีแถมที่ชาร์จมาให้แล้วใน iPhone ถือว่าต้องเตรียมเงินเพิ่มเติมการหาซื้อ ในขณะที่ทาง Samsung ให้มาครบเลยครับ
SOFTWARE UPDATE
การอัปเดตหรือว่าระยะการอัปเดตในเรื่องของระบบความปลอดภัยจริงๆเป็นจุดแข็งที่สุดของ iOS iPhone เลยก็ว่าได้และจุดนี้ก็ไม่เถียงจริงๆเพราะเป็นค่ายเดียวที่อัปเดตได้ยาวนานมากจนนำหน้า Android ไปหลายๆตัว และเป็นจุดที่หลายๆคนชื่นชอบแม้จะอัปเดตยาวแต่บางทีก็แอบช้าหน่วงขึ้นอยู่บ้างก็ตามครับตามอายุของมือถือนั้นเอง แต่ทาง Android ก็ต้องบอกว่าพยายามพัฒนาจุดนี้ขึ้นมาเรื่อยๆโดยเฉพาะ Samsung ที่รุ่นใหม่ๆในเรื่องของการอัปเดตความปลอดภัยนั้นมีมาต่อเนื่องและไวมากขึ้นกว่ายุคก่อนๆเยอะมากอันนี้ขอชื่นชมครับ และในรุ่นหลังๆนั้นเองทาง Samsung ประกาศชัดเจนเลยว่ารับประกันการอัปเดตมากถึง 3 เวอร์ชันในตัวระบบ และความปลอดภัย ทำให้เราสามารถใช้งานอัปเดตตั้งแต่ Android 10-12 ได้เลย หรือประมาณ 2-3 ปีเป็นต้นแล้วแต่รุ่นที่ออกมาประมาณนั้นถือว่าเป็นจุดที่พัฒนาขึ้นชัดเจนในการอัปเดตและใช้ยาวๆจนกว่า Galaxy S20FE 5G จะออกก็เป็นไปได้ครับ แต่ถ้ามองกันตรงๆตามอายุจริงๆนั้นทาง iPhone ก็ยังแอบนานกว่าอยู่เหมือนกันในจุดนี้ แต่ทาง Android ก็พัฒนาขึ้นเยอะ
ECOSYSTEM
เรื่องนี้ถือว่าเป็นจุดแข็งของหลายๆบริษัทที่จะพยายามสร้างระบบของตัวเองหรือ Ecosystem ของตัวเองให้ได้แข็งแกร่งและมากที่สุด เป็นจุดที่หลายๆแบรนด์เน้นและพัฒนาให้สู้กับค่ายอื่นๆหรือสู้กับ Apple ได้ แน่นอนว่าทางด้าน iPhone นั้นมี Ecosystem ของตัวเองแบบแน่นๆทั้ง iPad ,Apple Watch ,Mac เป็นต้นหรือแม้แต่หูฟัง Airpods ต่างๆนั้นเป็นส่วนนึงของระบบพวกนี้ แต่ข้อจำกัดของทาง Apple เองคือจะเน้นในเรื่องของค่ายตัวเองเป็นหลักไม่ยอมรับจากค่ายอื่นๆหรือค่ายอื่นก็มาร่วมกันไม่ได้ครับ เป็นจุดที่ทำให้หลายๆคนอาจะมองว่าไม่อิสระเท่าไรนัก แต่ทางด้าน Samsung เองก็พัฒนาของตัวเองมาด้วยเช่นกัน ทั้ง Galaxy Tabs , Galaxy Watch , Buds live หรือแม้แต่การทำ เครื่องใช้ไฟฟ้าซึ่งเป็นข้อได้เปรียบที่มากกว่า พวกเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านที่ Apple นั้นยังไม่มีด้วยเช่นกันครับถือว่ามีความอิสระและมากกว่าชัดเจน และแน่นอนว่า Galaxy Account ที่ช่วยซิงค์ทุกอุปกรณ์เข้าด้วยกันเป็น Ecosystem เดียว รวมไปถึง Samsung Cloud แหล่งจัดเก็บข้อมูลออนไลน์ที่แบ็คอัพทุกอย่างแม้กระทั่งการตั้งค่าในดีไวซ์ หากคุณมีแอปเปิลดีไวซ์อยู่แล้วไม่ว่าจะเป็น iPad, Apple Watch หรือ AirPods ก็สามารถนำมาใช้งานกับ Galaxy S20FE 5G ได้อย่างไร้รอยต่อ ด้วยการเชื่อมต่อทางฮาร์ดแวร์ทั้งแบบ Bluetooth หรือ WiFi หรือการเชื่อมต่อระดับซอฟต์แวร์ด้วย Google Account หรือ Microsoft Account ที่รองรับข้ามระบบปฏิบัติการทั้งไอโอเอสและแอนดรอยด์ และการรองรับ Galaxy Devices เข้ากับแล็ปท็อปที่ใช้ Windows 10 อย่างง่ายดาย และการเชื่อมต่อกับ Google Devices อย่าง Google Nest, Chromecast, Android TV และ Android Auto ที่ทาง Android และ Google ร่วมพัฒนากันมาทำให้เรื่อง Ecosystem นั้นอิสระและใช้งานได้กว้างขึ้นมาก
APP STORE VS PLAY STORE
ในส่วนของแอปพลิเคชัน ระหว่าง แอปสโตร์กับ เพลย์สโตร์นั้น ค่อยข้างชัดเจนว่า เพลย์สโตร์นั้นจะค่อยข้างได้เปรียบให้เรื่องของจำนวนแอปที่มากว่า และ ส่วนให้จะเป็นฟรีแวร์ซะด้วยครับ ซึ่ง ณ ตอนนี้คงต้องยอมรับว่า แอปในฝั่งแอนดรอยด์มีคนใช้มากที่สุดในโลก ก็ไม่แปลกว่าแอปทำไมเยอะกว่า แต่ก็ใช่ว่าในส่วนของแอปเปิล หรือ แอปสโตร์จะไม่ดี หรือ มีน้อยนะครับ ทั้งนี้ ถ้ามองในเรื่องความปลอดภัยแล้ว ฝั่งของแอปสโตร์จะมีระบบความปลอดภัยที่มากกว่า อยู่บ้างในการเลือกหรือทำแอปให้ผ่าน แต่สุดท้ายนั้นก็แล้วแต่ความสะดวกของแต่ละคนครับเพราะการรองรับไม่แตกต่างกันซะเท่าไร และทาง Samsung เองก็มี Galaxy Store ที่พัฒนาขึ้นมาเลือกแอป หรือว่ากรองแอปมาให้แล้วเช่นกัน เป็น Store ของค่ายตัวเองทำให้เมื่อเทียบกับ Apple Store จึงไม่ได้แตกต่างกันเลยแม้แต่น้อยในเรื่องนี้ครับ
APPLE CARE + VS SAMSUNG CARE +
ทางด้านการรับประกันนั้นจริงๆทาง iPhone เด่นๆคือเรื่องของการรองรับ Apple Care ที่ขยายเวลารับประกันเพิ่มจาก 1 ปี เป็น 2 ปี รวมไปถึงการคุ้มครองความเสียหายจากอุบัติเหตุและการซัพพอร์ตทางเทคนิคอื่นๆ จากทางแอปเปิลโดยตรง แต่แน่นอนว่าในยุคสมัยนี้ Android เริ่มตีคู่และมีกับเค้าบ้างแล้วในฝั่ง Samsung ที่เปิดตัว Samsung Care+ ที่ให้บริการส่งช่างเทคนิคจากศูนย์บริการซ่อมถึงบ้าน รวมถึงครอบคลุมความเสียหายที่เกิดจากอุบัติเหตุ หน้าจอแตก และความเสียหายที่เกิดจากของเหลวเป็นระยะเวลา 1 ปี เรียกได้ว่าการรองรับ การรับประกันนั้นสูสีและไม่ต่างกันแล้วสำหรับการรับประกันที่แต่ก่อนอาจจะมองว่าทำไมปล่อยให้ Apple ทำคนเดียว แต่ตอนนี้ทาง Samsung มีมาเหมือนกันรองรับได้ดีเหมือนกันเป็นจุดที่ขอชมทาง Samsung ว่าเป็นไม่กี่ค่ายที่เริ่มพัฒนาและมีการรับประกันแบบนี้ตรงๆจากทางค่ายเองครับ ** โดยรายละเอียดและเงื่อนไขเพิ่มเติมเกี่ยวกับบริการ Samsung Care+ สามารถดูได้ที่ https://www.samsung.com/th/offer/samsung-care-plus/
NEARBY SHARE VS AIRDROP
ฟีเจอร์ที่หลายๆคนที่ใช้ iPhone ยากที่จะหนีออกมาคือฟีเจอร์ AirDrop ที่ทำให้การโอนถ่ายไฟล์ระหว่างแอปเปิลดีไวซ์เป็นเรื่องง่าย โดยเฉพาะการส่งไฟล์ขนาดใหญ่ที่ไวพอๆ กับการใช้ 4G ทำให้แอปเปิลดีไวซ์เป็นที่ถูกอกถูกใจของเหล่านักศึกษาในการส่งชีทหรือสไลด์หลายสิบหน้าในทีเดียว และทำได้ไว ข้าม Platform ได้ดีอย่างมากครับ ทำให้หลายๆคนยังคงใช้งาน iPhone เพราะเรื่องนี้เลยถ้ามี Mac หรือ iPad ใช้งาน แต่ครั้งนี้นั้นทาง Google ไม่ยอมแล้วเริ่มพัฒนาระบบของตัวเองบ้างและมาในชื่อ Nearby Share ที่รองรับกับแอนดรอยด์ดีไวซ์ย้อนหลังตั้งแต่ Android 6.0 เป็นต้นไป โดย Nearby Share จะส่งข้อมูลได้ทั้งแบบออฟไลน์และออนไลน์ ผ่านหลายโปรโตคอลทั้ง Bluetooth, Bluetooth LE, WebRTC, รวมถึง P2P WiFi เพื่อให้ได้การเชื่อมต่อที่เร็วและเสถียรที่สุดและยังคงให้กับระบบอื่นๆ ทั้ง Chrome OS, Windows, Mac OS รวมไปถึง Linux ซึ่งในอนาคตจะทำให้แอนดรอยด์ดีไวซ์สามารถส่งไฟล์ด่วนกับใครก็ได้แม้กระทั่งแอปเปิลดีไวซ์ด้วยเช่นกันเรียกได้ว่าเปิดกว้างมากๆ แต่ทาง Apple ยังคงเน้นใช้งานกับเครือข่ายของตัวเองเท่านั้น ไม่สามารถโอนข้ามระบบมายัง Android ได้ครับก็ถือว่าแตกต่างกันเยอะ
CONNECTOR
พอร์ตเชื่อมต่อต่างๆของทาง iPhone นั้นจริงๆมีข่าวว่าจะเปลี่ยนไปใช้งาน USB-C กันหลากหลายรอบตามรอย iPad Pro รุ่นพี่ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นยังไม่ได้เปลี่ยนจาก Lighting ไปซักทีก็แอบน่าเสียดายในจุดนี้เพราะว่า USB-C รองรับการทำงานการใช้งานได้อิสระกว่าอย่างมากในทั้งเรื่องของการชาร์จไว การเชื่อมต่อ การต่อเสริมที่อ่านอะไรต่างๆได้อิสระอย่างมากทำให้จุดนี้ส่วนตัวนั้นยังคงให้ USB-C นั้นเป็นอะไรที่ทำได้ดีกว่าในตัว S20 FE ครั้งนี้ครับ และในแง่ของการเชื่อมต่อ การโอนย้ายไฟล์ทางด้าน iPhone ยังคงไม่อิสระเท่าทาง Android เช่นในตัว MTP Transfer via USB ซึ่งทำให้การย้ายไฟล์ ย้ายรูปอะไรนั้นทำได้ง่ายกว่าพอสมควรครับ ส่วนทางด้านการเชื่อมต่อไร้สายถ้ามองค่ายตัวเอง Apple ก็มี Airdrop / Airplay ต่างๆพร้อมใช้งาน ส่วน Samsung นั้นมี Dex แบบไร้สายใช้งานแทนคอมพิวเตอร์ได้ รวมถึงการเชื่อมต่อการแจ้งเตือนกับ Windows ก็ทำได้ดีเช่นเดียวกันถือว่าล้ำมากๆครับ
SAMSUNG GALAXY S20 FE VS IPHONE 12
จริงๆต้องบอกว่าทั้ง iPhone 12 และ Samsung Galaxy S20 FE นั้นสู้กันได้มีดีคนละหมัดเลยแหละ มีจุดดีเด่นแตกต่างกันแบบคนละด้านเลย แต่เอาจริงๆต้องบอกว่ามือถือแต่ละแบรนด์เค้าก็มีจุดดีเด่นของเค้าไม่มีรุ่นไหนที่ตอบโจทย์ความต้องการได้ทุกคนแน่นอนครับ เราทำเทียบเพื่อจุดประสงค์ว่าจะให้คนที่กำลังดูและเน้นเรื่องไหน เค้าจะเหมาะกับรุ่นไหนมากกว่ากันนั้นเอง แอดมินจะไม่ชี้นำว่า อันนี้ดีสุด ต้องซื้อรุ่นนี้อะไรแบบนั้นนะ แต่จะนำข้อเท็จจริงของแต่ละรุ่นว่ารุ่นนี้เด่นอะไร รุ่นนี้ด้อยยังไงและไปตัดสินใจกันเองครับ แอดมินไม่สามารถตัดสินใจแทนทุกคนได้แน่นอน เลยเอามาเทียบกันในแง่ของสเปก และให้ลองตัดสินใจกันดูว่าเราเน้นอะไรชอบแบบไหนซื้อแบบไหนจะตอบโจทย์มากที่สุด เทคโนโลยีไปไวขึ้นเรื่อยๆครับอยู่ที่เราแล้วว่าจะเน้นอะไรยังไงตัดสินใจกันได้เลย
สำหรับรีวิวเปรียบเทียบนี้ผมก็ต้องขอตัวลาไปก่อนสำหรับรีวิวรุ่นต่อไปนั้นจะเป็นรุ่นอะไรอย่าลืมติดตามกันนะครับ ถูกใจฝากกดไลค์กดแชร์ด้วยนะครับ มีข้อผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ
ฝากไลค์เพจ FACEBOOK เราด้วยนะครับ >>>>>>>>> TECHHANGOUT
เข้าร่วมกลุ่ม TECHHANGOUT พูดคุยแลกเปลี่ยน ข้อมูล คุยกันเองชิลๆได้เลยที่ — Facebook Techhangout พูดคุย Smartphone gadget