หลายปีที่ผ่านมานี้ HTC ได้ประสบกับความยากลำบากพอสมควร โดยเมื่อไตรมาสที่สองของปีนี้ทางบริษัทได้ประสบกับความขาดทุนมาห้าไตรมาสติดกันแล้ว อีกทั้งเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาบริษัทได้ปลดพนักงานออกถึง 1 ใน 4 ของพนักงานทั้งหมด เรียกได้ว่าถึงจุดที่ตกต่ำมากๆจุดหนึ่งเลยก็ว่าได้ เพราะเมื่อปี 2011 ทาง HTC ได้ขายสมาร์ทโฟนคิดเป็น 11% ของสมาร์ทโฟนทั่วโลก แต่ในตอนนี้เป็นเพียงบริษัทที่อยู่นอกสายตาของคนส่วนใหญ่เท่านั้น
หลังจากที่นาย Yves Maitre ได้รับตำแหน่ง CEO เมื่อไม่ถึงหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ในตอนนี้เขาก็ได้ออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อแล้ว โดยสิ่งที่เขาให้สัมภาษณ์คือ “HTC ได้หยุดการพัฒนานวัตกรรมด้าน hardware บนสมาร์ทโฟนแล้ว ในขณะที่บริษัทอื่นๆอย่าง Apple, Samsung และล่าสุดนี้ Huawei ได้ลงทุนไปกับ hardware เยอะมากๆ แต่เรากลับไม่สามารถทำได้ เพราะที่ผ่านมาเราลงทุนไปกับเทคโนโลยี VR ซะมาก ส่วนตัวผมคิดว่า HTC ทำสิ่งที่ถูกต้องในเวลาที่ผิด และในตอนนี้เราก็กำลังชดใช้ในสิ่งทำผิดพลาดไปอยู่ แต่เราก็ยังมีทรัพย์สินในการพัฒนานวัตกรรม รวมทั้งทีมงานและงบประมาณมากพอที่จะฟื้นตัวจากความผิดพลาดดังกล่าวได้”
ปัญหา “การกะเวลาที่ผิดพลาด” ที่เขาพูดถึงก็คือ การที่ทางบริษัทตัดสินใจย้ายงบประมาณสำหรับการวิจัยและพัฒนาไปยัง XR (ส่วนใหญ่เป็น VR ทางฝั่งของ vive) มากเกินไป และนาย Maitre ยังคาดการณ์อีกว่าทรัพย์สินทางด้าน XR จะเพิ่มขึ้นจนแซงทางด้านสมาร์ทโฟนในอีก 5 ปี
“เราจะทำให้ระยะเวลาดังกล่าวสั้นลง โดยการที่ลูกค้านำเทคโนโลยีของเราไปใช้ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะสิ่งที่เรามีสามารถทำให้มีมนุษย์มายืนอยู่ตรงหน้าเรา ทำสิ่งที่แปลกใหม่และไม่ธรรมดาในโลกเสมือน (virtual) นั่นเอง” นาย Maitre กล่าว
ทางด้านของสมาร์ทโฟนเขาเห็นว่า 5G ถือว่าเป็นปัจจัยคอขวดที่สำคัญที่ขัดขวางการเติบโตของบริษัทอยู่ เพราะตลาดที่เหมาะสมกับทางบริษัทที่สุดก็คือประเทศที่กำลังพัฒนา อย่างไรก็ตามเขาได้เสริมอีกว่า HTC จะมุ่งขายสินค้าที่มีความพรีเมียมมากขึ้นในประเทศที่มี GDP สูงนั่นเอง
“การแข่งขันกำลังจะเปลี่ยนไป” เขากล่าว “เรากำลังประสบปัญหาที่ว่าตลาดสมาร์ทโฟนทั่วโลกกำลังอยู่ในช่วงขาลง และลูกค้าก็ไม่ค่อยพอใจที่จะไม่สามารถใช้สมาร์ทโฟน Huawei รุ่นใหม่ล่าสุดเหมือนที่ผ่านมาได้แล้ว สิ่งที่เราทำได้อาจจะเป็นการพัฒนาคุณภาพ hardware และการถ่ายภาพบนสมาร์ทโฟนให้ดียิ่งขึ้น เพื่อที่จะตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ ซึ่งทางบริษัทจะทำมันในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า”
“ผมเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่ามันจะขึ้นอยู่กับการปล่อยระบบ 5G ของผู้ให้บริการต่างๆ และในปี 2020 จะเป็นปีแห่งการเริ่มต้นของ 5G โดยปกติแล้วจะใช้เวลาประมาณ 2 ปีในการเปลี่ยนถ่ายไปสู่เครือข่ายใหม่ ดังนั้นในปี 2023 สัญญาณ 5G จะครอบคลุมในพื้นที่สำคัญๆอย่างทั่วถึง นั่นเป็นสาเหตุที่ผมเชื่อว่าในปี 2025 จะเป็นจุดเปลี่ยนของบริษัทเรา ในตอนนี้เราต้องรอคอยการเปลี่ยนถ่ายไปสู่ 5G” Maitre กล่าว