หลังจากที่ตกเป็นข่าวมาเป็นเวลาหนึ่ง สมาร์ตโฟนในตระกูล Huawei P50 ก็ได้ถูกเปิดตัวมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยในครั้งนี้ไม่มีรุ่น Pro+ มีแต่รุ่นธรรมดาและรุ่น Pro เท่านั้น ซึ่งทั้งคู่มาพร้อมกล้องที่อัพเกรดขึ้น และชิบประมวลผลให้เลือกสองแบบ
หน้าจอของ P50 รุ่นธรรมดาเป็นแบบ OLED แบบแบนที่มีขนาด 6.5 นิ้ว 90Hz ที่มีความถี่การตอบสนอง 300Hz รองรับ HDR ในขณะที่รุ่น Pro มาหน้าจอ AMOLED ขอบโค้งขนาด 6.6 นิ้ว (1,225×2,700พิกเซล) ที่มีรีเฟรชเรท 120Hz และความถี่การตอบสนอง 300Hz และรองรับ HDR
ภายในตัวเครื่องของ Huawei P50 ใช้ชิบประมวลผล Snapdragon 888 ที่ไม่มี Kirin ให้เลือก และจำกัดเครือข่ายการใช้งานแค่ 4G เท่านั้น ความจำภายในประกอบด้วย RAM 8GB + storage 128/256GB ที่ใส่ microSC card เพิ่มได้
ส่วนภายในตัวเครื่องของ Huawei P50 Pro มีให้เลือกสองแบบคือรุ่นที่ใช้ Kirin 9000 และรุ่นที่ใช้ Snapdragon 888 ทั้งรองแบบรองรับการใช้งาน 4G เท่านั้นแม้ว่าตัวชิบสามารถใช้งาน 5G ได้สบาย ๆ ความจำภายในตัวเครื่องมาพร้อม RAM 8GB และ storage 128/256/512GB (สามารถใส่ NM card เพิ่มได้อีก 256GB) และรุ่นท็อปที่มาพร้อม RAM 12GB และ storage 512GB
ทั้งนี้ทั้งสองรุ่นใช้ระบบปฏิบัติการ HarmonyOS2.0
ในส่วนของกล้องหลังของ P50 ยังคงใช้เป็นกล้องแบรนด์ Leica อยู่เหมือนเดิม และทั้งสองรุ่นมาพร้อมเซ็นเซอร์สี (channel color sensors) จำนวน 10 ตัวและมีกล้องที่พัฒนาขึ้น ทั้งสองรุ่นมาพร้อมกล้องหน้า 13MP
สำหรับ P50 รุ่นธรรมดามาพร้อมกล้องหลังตัวหลักความละเอียด 50MP (f/1.8) ที่ใช้เลนส์ขนาด 23มม. และมาพร้อม OIS
นอกจากนี้ P50 รุ่นธรรมดามาพร้อมกล้อง periscope ของตัวเองซึ่งเป็นครั้งแรกในรุ่นธรรมดา โดยเลนส์ดังกล่าวมีระยะโฟกัส 125มม. (ซูมได้ 5x) ที่มีความละเอียด 12MP (f/3.4) ที่มาพร้อม OIS โดยในรุ่นธรรมดามาพร้อมเลนส์ Ultra-wide ขนาด 16มม. ที่มีความละเอียด 13MP
สำหรับ P50 Pro มาพร้อมกล้องโมโล 40MP (f/1.6) ที่ใช้เลนส์ขนาด 26มม. + กล้องมุมกว้าง ultra-wide 13MP (f/2.2) ที่ใช้เลนส์ขนาด 13มม. และกล้องทั้งสองตัวมาพร้อม Laser autofocus
นอกจากนี้ P50 Pro ยังมีกล้อง periscope มีเลนส์ขนาด 90มม. เท่านั้น (เท่ากับการซูมประมาณ 3.9 เท่า) แต่ว่ามีความละเอียดถึง 64MP (f/2.2) ที่สามารถซูมแบบ digital ได้ถึง 2,700มม. และมาพร้อม OIS ส่วนกล้องตัวหลักมีความละเอียด 50MP
Huawei P50 Pro มาพร้อม XD Fusion Pro ซึ่งเป็นระบบรวมรูปภาพที่สามารถเก็บแสงได้มากขึ้น 2 เท่าเมื่อเทียบกับ P40 Pro และเพิ่ม dynamic range 28%
ในส่วนของการถ่ายวิดิโอทั้งสองรุ่นสามารถถ่ายวิดิโอความละเอียด 4K และถ่าย slow-mo 1080p ที่ 960fps
แบตเตอรี่ทั้งสองรุ่นมีความจุพอ ๆ กันคือ P50 มีความจุ 4,100mAh และรุ่น Pro มีควาามจุ 4,360mAh ซึ่งทั้งคู่รองรับชาร์จเร็วด้วย USB-C 66W และชาร์จไร้สาย 50W ตัวเครื่องทั้งสองรุ่นสามารถกันน้ำมาตรฐาน IP68 และมาพร้อมลำโพง stereo
ตัวเครื่องของ P50 Pro มีจำนวน 5 สีได้แก่สีทอง, สีขาว, สีดำ, สีชมพู และสี gradient ส่วน P50 รุ่นธรรมดามีจำนวน 3 สีคือ สีทอง, สีดำ และสีทอง
นอกจากนี้ยังมีเคสที่มาพร้อมดีไซน์เข้ากับวอลเปเปอร์ดังรูปภาพด้านล่าง
ส่วนเคสอีกสองแบบที่เหลือมาพร้อมขาตั้งที่ถูกเก็บไว้รอบกล้องสำหรับตั้งตัวเครื่องในแนวนอน และอีกแบบมาพร้อมไฟวงรีที่อยู่รอบกล้องที่พลิกกลับมาใช้ถ่ายเซลฟี่ได้
โดย P50 Pro มีราคาอยู่ที่ 5,988 หยวน (ประมาณ30,500บาท) ในรุ่น 8GB + 128GB ซึ่งจะถูกวางขายที่ประเทศจีนในวันที่ 12 สิงหาคม และจะวางขายในรุ่น Kirin 9000 ก่อน แล้วรุ่นที่ใช้ Snapdragon 888 จึงตามมาทีหลังในช่วงปลายปี ส่วน P50 มีราคาอยู่ที่ 4,488 หยวน (ประมาณ22,900บาท) ในรุ่น 8GB + 128GB ซึ่งจะถูกวางขายที่ประเทศจีนในเดือนกันยายนนี้
อย่างไรก็ดีทั้ง Huawei P50 และ P50 Pro จะถูกวางขายในตลาดสากลในเร็ว ๆ นี้ ซึ่งรายละเอียดราคาและวันที่วางขายจะถูกเผยออกมาในภายหลัง