สิ่งหนึ่งที่เหล่าสตรีมเมอร์ เกมแคสเตอร์ และนักสร้างคอนเทนต์ต่างให้สำคัญในการทำงาน ไม่น้อยไปกว่าเรื่องของพีซี จอมอนิเตอร์ รวมถึงเกมมิ่งเกียร์อื่น ๆ ก็คือ ไมโครโฟน ที่รับเสียงได้คมชัด มีความแม่นยำ ใช้งานง่าย รองรับแอปพลิเคชัน ในการสื่อสารที่หลากหลาย ซึ่งจะช่วยให้การทำงานสะดวกยิ่งขึ้น

เช่นเดียวกับไมโครโฟนรุ่นใหม่ล่าสุดจาก HyperX DuoCast ไมโครโฟนในรุ่นที่ 3 ของซีรีส์ ที่เพิ่งได้รับการเปิดตัวเข้ามาเสริมไลน์ผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่แล้วอย่าง HyperX QuadCast S และ SoloCast ซึ่งจะมาเติมเต็มความต้องการของผู้ใช้ในกลุ่มนี้ได้มากขึ้น โดยผลิตภัณฑ์แต่ละรุ่นก็จะมีจุดเด่นคร่าว ๆ ดังนี้

เริ่มที่ HyperX QuadCast S ไมโครโฟนแยกที่มาพร้อมฟังก์ชันครบครัน เหมาะทั้งกับสตรีมเมอร์และคนทำ Podcast มีตัวกรองเสียง และตัวยึดลดการสั่นสะเทือน อีกทั้งยังมีช่องต่อหูฟังมาให้ มาในโทนสีดำ-แดงดูดุดัน พร้อมไฟสถานะแจ้งการเปิด-ปิดไมค์ จุดเด่นอยู่ที่สามารถรับเสียงได้ถึง 4 รูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นแบบสเตอริโอ (Stereo) แบบรอบทิศทาง (Omnidirectional) แบบเน้นรับเสียงด้านหน้า (Cardioid) และแบบสองทิศทาง (Bidirectional) อีกทั้งยังสามารถใช้ได้กับหลากหลายแพลตฟอร์ม เช่น PC PS4PS5 และ Mac เป็นต้น รองรับการทำงานร่วมกับ Discord และ TeamSpeak สนนราคาอยู่ที่ 5,990 บาท

รุ่นถัดมาคือ HyperX SoloCast ไมโครโฟนรุ่นน้องเล็กจาก HyperX ในราคาน่ารักแค่ 1,990 บาท มีขนาดเล็กกระทัดรัด เหมาะกับการพกพา และการใช้งานในพื้นที่จำกัด ไม่ว่าจะใช้ในการแชท สตรีมเกม จนถึงการบันทึกเสียง ตอบโจทย์การรับเสียงแบบเน้นจากด้านหน้าของไมโครโฟนเพียงทิศทางเดียว (Cardioid) มีฟังก์ชันแตะเพื่อเปิด-ปิดการรับเสียง ให้ความละเอียดของเสียงที่ระดับ 24bit/96kHz สามารถใช้งานร่วมกับซอฟต์แวร์ HyperX NGENUITY ได้ มี 2 สีให้เลือก คือสีขาวและดำ รองรับการทำงานร่วมกับแอปพลิเคชันสตรีมอย่าง OBS, XSplit, Streamlabs รวมถึงยังสนับสนุน TeamSpeak และ Discord อีกด้วย

และไมโครโฟนรุ่นใหม่ล่าสุด HyperX DuoCast ที่ออกแบบมาสำหรับนักสร้างคอนเทนต์ อินฟลูเอนเซอร์และเกมเมอร์ ไมโครโฟนรองรับการเชื่อมต่อกับพอร์ต USB ให้ความละเอียดของเสียงสูงสุดที่ระดับ 24bit/96kHz ทำให้สามารถบันทึกเสียงได้อย่างคมชัด และมีคุณภาพสูง มีชุดกรองเสียงลมในตัวที่ช่วยลดเสียงปะทุและเสียงรบกวน และยังมี Shock mount ตัวยึด ลดการสั่นสะเทือนมาในตัวอีกด้วย รูปแบบการรับเสียงจะคล้ายกับ HyperX QuadCast โดยปรับรูปแบบได้ทั้งเน้นรับเสียงจากด้านหน้า (Cardioid) และรับเสียงแบบรอบทิศทาง (Omnidirectional) ทำให้สามารถใช้งานได้ทั้งแบบคนเดียว และแบบอัดเสียงพร้อมกันหลายคน

ที่ตัวไมโครโฟนมาพร้อมแสงไฟ LED แบบวงแหวนรอบตัว ที่ช่วยบอกสถานะการทำงาน และสามารถปรับแต่งการใช้งาน ผ่านทางซอฟต์แวร์ HyperX NGENUITY ได้ ผู้ใช้งานสามารถเปิด-ปิดการรับเสียงของไมโครโฟนได้ด้วยฟังก์ชัน Tap-to-Mute ที่เพียงแค่แตะเบา ๆ ตรงปุ่มด้านบน นอกจากนี้ยังพร้อมช่องต่อหูฟังในตัว สนนราคาอยู่ตรงกลางระหว่าง QuadCast และ SoloCast ที่ 3,290 บาท ซึ่งเหมาะอย่างยิ่งทั้งการบันทึกเสียงแบบคนเดียว และการสนทนาหลายคนพร้อมกัน ในราคาที่จับต้องได้ง่ายขึ้น ทำให้ HyperX DuoCast เป็นไมโครโฟนที่ตอบโจทย์ได้ลงตัว สำหรับผู้ต้องการอุปกรณ์ ที่ใช้งานได้แบบอเนกประสงค์กว่ารุ่นเริ่มต้นอย่าง SoloCast ที่เน้นสำหรับการรับเสียงทิศทางเดียวมากกว่า รวมถึงยังมีคุณสมบัติหลาย ๆ ด้านที่ใกล้เคียงกับรุ่นใหญ่สุดอย่าง QuadCast ด้วย อาทิ การมีชุดกรองเสียงรบกวนในตัว และการมีช่องต่อหูฟังเพื่อมอนิเตอร์ระหว่างการใช้งาน เป็นต้น เพื่อการสร้างสรรค์คอนเทนต์ที่หลากหลาย และมีคุณภาพสูงไปพร้อมกัน

สามารถเข้าชมข้อมูล และเลือกซื้อ HyperX DuoCast ได้ที่หน้าร้านจำหน่ายออนไลน์อย่างเป็นทางการที่นี่