Apple ได้เปิดตัว iPhone 13 และ 13 mini ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยทั้งคู่มีดีไซน๋คล้ายกับรุ่นก่อนหน้าคือขอบมนและหน้าจอแบน รวมทั้งบอดี้โลหะที่กันน้ำมาตรฐาน IP68 แต่ขนาดรอยบากหน้าจอลดลง 20%

หน้าจอ OLED Super Retina XDR มีขนาด 5.4 นิ้วในรุ่น mini และ 6.1 นิ้วในรุ่นธรรมดา ซึ่งตัวหน้าจอมีความสว่างขึ้นกว่ารุ่นที่แล้ว 28% รวมทั้งรองรับ Dolby Vision, HDR10 อย่างไรก็ดีรีเฟรชเรทยังอยู่ที่ 60Hz เท่านั้น

ภายในตัวเครื่องใช้ชิบประมวลผล Apple A15 Bionic ขนาด 5 นาโนเมตร ที่ทาง Apple เคลมว่ามีความเร็วสูงที่สุด โดยชิบดังกล่าวประกอบด้วยซีพียู 6 core แบ่งเป็นซีพียูเน้นประสิทธิภาพ 2 core ส่วน core ที่เหลือเป็นแบบประหยัดพลังงาน ส่วนการ์ดจอมีจำนวน 4 core รวมทั้งมาพร้อม Neural Engine จำนวน 16 core สำหรับประมวลผล AI เร็วขึ้น

Apple 13 and 13 mini official - smaller notch, A15 Bionic and new cameras with sensor shift

กล้องหลังของทั้งคู่มีจำนวน 2 ตัวประกอบด้วยกล้องมุมกว้าง 12MP (f/1.6) ขนาด 22มม. ขนาดพิกเซล 1.7µm ซึ่งเป็นกล้องตัวหลักที่ใช้ใน iPhone 12 Pro Max และมาพร้อม OIS + กล้อง ultra-wide 12MP (f/2.4) ที่ไม่มี autofocus เหมือนใน iPhone 13 Pro การถ่ายภาพมาพร้อมโหมดกลางคืน และสามารถถ่ายวิดิโอแบบภาพยนตร์ได้

กล้องหน้าแบบ TrueDepth สำหรับแสกนใบหน้า FaceID มีความละเอียดอยู่ที่ 12MP ที่รองรับ Dolby Vision

Apple 13 and 13 mini official - smaller notch, A15 Bionic and new cameras with sensor shift

สำหรับแบตเตอรี่ใช้งานได้นานขึ้นสูงสุด 2.5 ชั่วโมงบน iPhone 13 และนานขึ้นสูงสุด 1.5 ชั่วโมง บน iPhone 13 mini เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า อย่างไรก็ดีทาง Apple ไม่แถมหัวชาร์จมาให้ในกล่องของทั้ง iPhone 13 และ 13 mini

สเปคของ iPhone 13 และ 13 mini

  • iPhone 13 – หน้าจอ OLED Super Retina XDR ขนาด 6.1 นิ้ว (2532 x 1170 พิกเซล), HDR, True Tone, Haptic Touch, Dolby Vision, เคลือบ ceramic shield
  • iPhone 13 mini – หน้าจอ OLED Super Retina XDR ขนาด 5.4 นิ้ว (2340 x 1080 พิกเซล), HDR, True Tone, Haptic Touch, Dolby Vision, เคลือบ ceramic shield
  • ชิบประมวลผล A15 Bionic
  • iOS 15
  • ซิมคู่ (Nano‑SIM และ eSIM)
  • กล้องหลังคู่ 12MP (ƒ/1.6) + กล้อง Ultra-wide กว้าง 120 องศา 12MP (ƒ/2.4) ซูมแบบ optical 2x, OIS, HDR, โหมด portrait, โหมดกลางคืน + แฟลช two-tone
  • ถ่ายวิดิโอ HDR Dolby vision ได้ 4K ที่ 60fps
  • กล้องหน้า TrueDepth 12MP (ƒ/2.2), HDR
  • Face ID
  • ตัวเครื่องกันน้ำ IP68
  • ลำโพง stereo
  • รองรับเครือข่าย 5G (sub‑6 GHz), Bluetooth 5.0, Gigabit LTE, GPS, GLONASS, Galileo, QZSS และ BeiDou, NFC พร้อมโหมดตัวอ่าน
  • iPhone 13 – ขนาดตัวเครื่อง 146.7×71.5×7.65มม.;น้ำหนัก 173 กรัม
  • iPhone 13 mini – ขนาดตัวเครื่อง 146.7×71.5×7.65มม.;น้ำหนัก 173 กรัม
  • แบตเตอรี่ใช้งานเล่นวิดิโอได้สูงสุด 19 ชั่วโมง, รองรับการชาร์จผ่าน MagSafe 15W

โดย iPhone 13 และ 13 mini มีให้เลือกในตัวเครื่องสีชมพู, สีน้ำเงิน, สีดำ (มิดไนท์), สีขาว (สตาร์ไลท์) และสีแดง (PRODUCT RED) ซึ่งมีราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 25,900 บาท สามารถเข้าไปดูรายละเอียดราคาในแต่ละรุ่นความจุได้ที่เว็บไซต์ของ Apple ในลิงค์นี้ได้เลย

นอกจากนั้นทาง Apple ยังวางขาย MagSafe สำหรับใช้กับ iPhone 13 และ 13 mini อีกด้วย

SOURCE1, SOURCE2