รายงานจากเลอโนโวซึ่งถูกเผยแพร่เมื่อไม่นานมานี้เผยให้เห็นว่า เทคโนโลยีที่ทันสมัยในปัจจุบันเป็นตัวผลักดันที่สำคัญให้ การทำงานจากที่บ้าน หรือ work from home (WFH) แพร่หลายมากขึ้นในองค์กร รวมถึงมาตรการและนโยบายจากภาครัฐเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่า ที่ส่งผลให้ไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่สนับสนุนแนวทางการทำงานจากที่บ้านเพื่อเพิ่มระยะห่างทางสังคม ร่วมกับนานาประเทศทั่วโลกรายงานจากเลอโนโวซึ่งถูกเผยแพร่เมื่อไม่นานมานี้เผยให้เห็นว่า เทคโนโลยีที่ทันสมัยในปัจจุบันเป็นตัวผลักดันที่สำคัญให้ การทำงานจากที่บ้าน หรือ work from home (WFH) แพร่หลายมากขึ้นในองค์กร รวมถึงมาตรการและนโยบายจากภาครัฐเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่า ที่ส่งผลให้ไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่สนับสนุนแนวทางการทำงานจากที่บ้านเพื่อเพิ่มระยะห่างทางสังคม ร่วมกับนานาประเทศทั่วโลก

ผลสำรวจด้านทัศนคติต่อการทำงานในแบบ WFH ที่เลอโนโวจัดทำขึ้นโดยสำรวจพนักงานในประเทศจีน ญี่ปุ่น เยอรมัน อิตาลี และสหรัฐอเมริกา พบว่า 87% ของพนักงานที่ถูกสำรวจพร้อมเปลี่ยนการทำงานให้เป็นแบบ WFH  โดยกว่า 46% ได้รับการส่งเสริมจากบริษัท และกว่า 26% ถูกมอบหมายให้ทำงานจากที่บ้านเป็นที่เรียบร้อยเนื่องจากการแพร่ระบาดของ COVID-19  นอกจากนี้ยังพบว่า กว่า 77% ของพนักงานที่ถูกสำรวจคาดหวังให้บริษัทมีนโยบายสนับสนุนการทำงานจากที่บ้านต่อไปในอนาคตหลังการแพร่ระบาดยุติลง
การปรับแผนการทำงานขององค์กรให้เอื้อต่อการทำงานแบบ WFH เป็นไปได้อย่างรวดเร็วเนื่องจากประสิทธิภาพ และราคาที่เข้าถึงได้ของโมบาย เทคโนโลยี นอกจากนี้อายุของกลุ่มคนทำงานก็เป็นตัวแปรที่สำคัญ โดยปัจจุบัน 60% ของคนทำงานคือ คนในกลุ่ม Millennials และ  Generation Z ซึ่งเติบโตมากับการใช้เทคโนโลยีอย่าง video ทั้งเพื่อการเล่นเกม ซื้อสินค้า และการสื่อสาร ซึ่งคนกลุ่มนี้เองมีผลในการผลักดันการใช้เทคโนโลยีเพื่อการทำงานนอกสถานที่ให้เพิ่มขึ้น

“ในสถานการณ์ที่ไม่มีใครสามารถคาดเดาได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เทคโนโลยีคือตัวผลักดันที่จะทำให้ธุรกิจเดินหน้า องค์กรจำเป็นต้องจัดหาเทคโนโลยี เพื่ออำนวยความสะดวกในการสื่อสารผ่าน Video หรือเครื่องมือสำหรับการเทรนพนักงานแม้จะไม่เจอหน้าแบบตัวต่อตัว เพื่อความสำเร็จของธุรกิจทั้งในปัจจุบันและอนาคต” คุณธเนศกล่าวเสริม
คำแนะนำจากเลอโนโวสำหรับพนักงานที่ทำงานจากนอกสถานที่เพื่อการทำงานที่มีประสิทธิภาพ

⦁ เตรียมเทคโนโลยีให้พร้อม การใช้งานเทคโนโลยีที่เหมาะสมจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับการทำงาน เช่น คอมพิวเตอร์ที่ใช้พกพาควรมีน้ำหนักเบา สามารถเชื่อมต่อกับระบบภายในขององค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีโปรแกรมหรือแอพที่ติดตั้งพร้อมใช้งานสำหรับการประชุม หรือการทำงานร่วมกัน โดยอาจเสริมอุปกรณ์เพื่อการใช้งานที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เช่น ใช้หูฟังที่มีระบบตัดเสียงรบกวน  ใช้จอขนาดใหญ่เชื่อมต่อกับโน๊ตบุ๊คสำหรับงานที่ต้องใช้ความละเอียดในการมอง

⦁ จัดประชุมทีมให้เป็นเวลา เมื่อพนักงานทำงานกันจากต่างสถานที่ สิ่งที่จำเป็นมากที่สุดคือการสื่อสารภายในทีม โดยนอกเหนือจากการสื่อสารผ่านอีเมล์ บริษัทควรจัดให้มีการประชุมทีมเป็นประจำในเวลาเดียวกันของทุก ๆ วันเพื่ออัพเดทเรื่องงาน และสอบถามสารทุกข์สุกดิบระหว่างพนักงาน

⦁ ใช้ Video call ให้เคยชิน  การประชุมผ่าน video และการใช้เครื่องมือสำหรับแชร์ไฟล์เป็นประจำจะช่วยให้พนักงานรู้สึกเหมือนทำงานอยู่ในที่เดียวกัน การเชื่อมต่อสื่อสารกันผ่าน video นั้นเป็นสิ่งที่พนักงานสามารถเข้าถึงได้หากมีอุปกรณ์ เทคโนโลยีที่เหมาะสม และไม่เขินอายที่จะใช้มัน

⦁ เปิดห้อง Chatroom สำหรับทีมให้ออนไลน์ตลอดเวลา สร้างกลุ่ม chat ให้ทุกคนในทีมได้เข้าร่วมเพื่อการสื่อสารที่นอกเหนือจาก Video    การสื่อสารผ่านข้อความ chat จะช่วยให้พนักงานพูดคุย สื่อสารกันได้อย่างเป็นกันเองมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่พนักงานรุ่นใหม่ที่ชื่นชอบการส่งข้อความเป็นชีวิตจิตใจ

⦁ เปิดชั่วโมงการทำงานให้ยืดหยุ่น การแพร่ระบาดของ COVID-19 ส่งผลให้โรงเรียน สถานดูแลเด็ก และบริการอื่น ๆ ต้องปิดให้บริการชั่วคราว การให้เวลาการทำงานที่ยืดหยุ่นเป็นเหมือนการสื่อสารให้พนักงานรู้ว่าบริษัทเข้าใจถึงปัญหาที่พนักงานกำลังเผชิญในการจัดสรรเวลาสำหรับการทำงาน และเรื่องส่วนตัว