DUNE เป็นอีกเรื่องที่แอดมินเองตั้งตารอดูอย่างมาก เมื่อได้ยินเรื่องนี้ และ กำกับโดย Denis Villeneuve ที่ผลงานระดับตำนานทั้งนั้น เช่น Blade Runner 2049 เป็นอีกงานที่จัดว่าระดับเทพ แต่ก็เป็น ผกก ที่อาจจะไม่เหมาะสำหรับคนที่อาจจะ เบื่อ หรือ หลับได้ง่ายเช่นกัน เพราะหลายๆคนกลัวว่าจะเน้นไปทางการปูเนื้อหาต่างๆมากเกินไปด้วยเช่นกันในเรื่องนี้ แต่หลังจากที่ดูกลับทำได้ดีและไม่น่าเอื่อยแบบที่คิด และ ไวกว่า Blade Runner 2049 ด้วยเช่นกันครับ เรื่องนี้ย่อยง่ายพอสมควรเลยแหละ ซึ่ง DUNE เองเป็น นิยาย ไซ-ไฟ ระดับตำนานมากๆ เรียกได้ว่า มหากาพย์เลยแหละทั้ง เรื่องราวความยิ่งใหญ่ จนหลายๆเรื่องเช่น Star War ก็มีกลิ่นอายได้รับแรงบันดาลใจมากเยอะเช่นกัน เป็นเรื่องราวที่เล่าไปอนาคตอีกหมื่นๆปี เทคโนโลยี การย้ายดาว เดินทางทุกอย่างล้ำไปอีกขั้นในระดับจักรวาลแล้วนั้นเองครับ และมีการปกครองแบบจักรวรรดิ ต่างๆมากมาย

สำหรับเนื้อหานี้หลายๆคนอาจจะกังวลว่า นิยายมากกว่า 800 กว่าหน้าจะมายัดในเรื่องนี้แล้วคนดูจะต้อง ปูพื้นฐานเยอะไหม ดูยากไหมต้องบอกว่า ง่ายกว่าที่คิดครับเพราะว่าเรื่องนี้จริงๆเป็นเนื้อหาแค่ครึ่งหนึ่งของ นิยายทั้งหมด 800 หน้าเท่านั้นเองครับบอกเลยว่าทำออกมาได้ดี และเรื่องนี้จึงเน้นไปที่การปูพื้นฐานตัวละคร เชื่อมความสัมพันธ์เป็นหลัก แต่ก็มีการเล่าที่ไม่ได้น่าเบื่อ หรือ เอื่อยแบบที่คิด มีการต่อสู้เข้ามาแทรก การเล่าเรื่องฝั่งอื่นๆเข้ามา ทำให้ทั้งเรื่องสามารถติดตามได้ตั้งแต่ต้นจนจบ และเล่าเรื่องเป็น PART 1 เท่านั้นทำให้ตอนจบเองปลายเปิดไปภาคต่อได้ทันทีแบบไม่ต้องสงสัย เป็นหนังที่ เนื้อหาบท อาจจะเน้นปูเรื่องไม่ได้มีจุดพีค หรือหักมุมอะไรมาก แต่ก็เอาคนดูได้อยู่ไม่น่าเบื่อครับอันนี้ถือว่ายาก และทาง Denis Villeneuve  ทำได้ดีมาก

นักแสดงเองนั้นระดับเกรด A ทั้งหมดที่เข้ามาร่วมแสดงทั้ง  ทิโมธี ชาลาเมต์ , เซนเดยา, เจสัน โมโมอา, เดฟ บอทิสตา, สเตลแลน สการ์สการ์ด  และ อีกมากมายทำให้เรื่องการแสดงเราเองไม่ต้องสงสัยในฝีมือการแสดง จนหลายๆคนอยากให้จัดเต็มมากกว่านี้ด้วยซ้ำ แต่ทั้งเนื้อหา ตัวละครต่างๆนั้นเยอะมาก แต่ก็เข้าใจได้ง่ายไม่งงครับจุดนี้แบ่งได้ดี แต่หลายๆคนอาจจะไปเน้นจัดเต็มกัน ภาค 2 เป็นหลักก็ต้องติดตาม ทำให้การแบ่งช่วงที่ออกมา นำเสนอให้คนทั่วไปเข้าใจได้ง่ายไม่ แน่นเกิน

งานภาพ และ เสียง ส่วนตัวเป็นสาวกเรื่อง งานภาพ และเสียงอยู่แล้วต้องบอกตรงๆว่า คือที่สุดในปีนี้แล้วเท่าที่ดูหนังมา และไว้ใจได้ทั้ง งานเสียงจาก ฮานส์ ซิมเมอร์  และ งานภาพจาก Greig Fraser ทั้งคู่เมื่อรวมกันเรียกได้ว่าระดับเทพมาร่วมงานกันคือที่สุดแล้ว โทนของหนัง ซาวด์ไปด้วยกันแบบไม่มีจุดให้บ่น จนแอบหวังให้ถึง OSCARS เลยนะ งานภาพทำโทนสีได้ดีมาก รวมถึงมุมมอง ดีเทล ความอลังการของฉากที่เน้นใช้งาน CG ให้น้อยที่สุด รวมถึงงานเสียงที่เราคุ้นเคยกันดีในแนวทางแบบนี้จากหนัง BATMAN ตอน NOLAN / INCEPTION / และอีกมากมาย เสียงที่ฟังแล้วขนลุกทุกครั้ง มันมีพลัง ส่งผลต่อหนังและเรื่องนี้ อยากให้ดูใน IMAX เท่านั้นจริงๆครับ

ภาพรวมจึงเป็นหนังที่ระดับเทพมากๆเรื่องนึง ในแง่นิยาย และ มหากาพย์ที่สามารถเล่าเรื่องราวต่อได้อีกหลากหลายภาค แบบเดียวกับ Lord of The Ring แบบนั้นเลยแหละ ความอลังการ คุณภาพจัดว่าโหด และมีอะไรให้เล่า ให้เล่นอีกมากมาย ซึ่งอันนี้จะเน้นไปทางปูเรื่องราว ความสัมพันธ์แต่ละฝ่าย ตัวละครให้เราเข้าใจแน่นๆ และเชื่อเลยว่า ภาค 2 น่าจะลุยเต็มที่มากกว่านี้ ทำให้ภาคแรกอาจจะไม่ได้หวือหวา พีคอะไรมาก เน้นเรียบๆแต่เล่าเรื่องได้ดีก็ถือว่าดีกว่าที่คิด คนดูไม่งง ไม่หลับ ตัวละครแบ่งกันมาได้ดี เล่าเรื่องเข้าใจง่ายแบบนี้ ดีกว่าที่เคยทำในยุคแรกๆมากแล้ว และ ส่วนตัวประทับใจ