Kingdom นั้นต้องบอกว่าเป็นเรื่องที่ทางเราได้ไปดูรอบแรก ที่ฉากก่อนจะเข้า NETFLIX ที่ประเทศสิงคโปร์ ในงาน See Whats Next นั้นเองครับ ต้องบอกว่าตอนไปดูครั้งแรกรอบแรกก่อนใครนั้นถือว่าเป็นเรื่องราวที่น่าสนใจและน่าติดตามอย่างมากและคิดในใจว่าคนเราจะเบื่อหนัง ซอมบี้หรือยังนะ เพราะแนวนี้ก็มีมาค่อนข้างเยอะและกลัวกระแสจะไม่แรง แต่พอมันฉายจริงมันกลับทำกระแสได้ดีกว่าที่ทางผมคิดไว้เยอะมากเลยแหละ ถือว่าเป็นการประสบความสำเร็จแบบสุดๆ และทางผกกเองจากที่ได้ฟังพูดคุยเค้า เน้นในเรื่องนี้อย่างมากตั้งใจทำให้มีหลายๆซีซั่นและทุ่มทุนไปเยอะพอสมควรครับ และผลตอบรับก็ทำได้น่าพอใจเลยแหละ ในซีซั่นแรกนั้นเรียกได้ว่าทุกอย่างลงตัว ทั้งการตัดต่อ โทนภาพ บทต่างๆมีความเป็นเอกลักษณ์และน่าติดตามอย่างมาก แต่พอมาซีซั่น 2 หลายๆอย่างมันเปลี่ยนไปแบบชัดเจนทั้งโทนหนัง การเล่าเรื่อง ไปแนวแอคชั่นแบบแน่นขึ้น การเมืองไปอีกขั้น รวมถึงการตัดต่อ โทนภาพ ที่แอบรู้สึกว่างานมันไม่ได้เนี๊ยบเหมือนซีซั่นแรกเท่าไร แต่เรื่องของความสนุกนั้นยังคงไม่ขาดหายไปไหนครับ

ทางด้านบทและเนื้อเรื่อง นั้นต้องบอกว่าเป็นการเล่าเรื่องราวต่อจาก ซีซั่น 1 แบบทันทีเลยครับในซีซั่นแรกๆนั้นจะเป็นการปูพื้นเรื่องราวพอสมควร และแนวหนังนั้นจะเป็นคล้ายๆธีมลึกลับหน่อยครับ การเมืองนิดหน่อย แต่พอมาครั้งนี้นั้นการเล่าเรื่องมีการเปลี่ยนแปลงไปชัดเจนแน่นอนว่าแม้จะเป็นการเล่าเรื่องต่อจากซีซั่นแรกแต่การเน้นอะไรนั้นไปทางการเมืองล้วนๆและมีการเล่าเรื่องไปอีกแนวทางนึงถือว่าเป็นการพัฒนาสานต่อจากซีซั่นแรกได้ดีครับ การกระจายบท การเล่นแต่ละซีน และเกมการเมืองทำได้สนุกและน่าติดตามอีกทั้งยังมีเลห์เหลี่ยมกันค่อนข้างดี แม้จะมีหลายๆจุดที่ดูแล้วอาจจะเดาได้ง่ายรวมถึงไม่สมเหตุผลอยู่แบบชัดเจนในหลายๆครั้ง แต่ในภาพรวมความแน่นของเนื้อเรื่องแอบดรอปลงจากซีซั่นแรก และยังมีเรื่องของการเล่าเรื่องตัดต่อที่รู้สึกว่าดูไม่เนี๊ยบเท่าไรครับ แต่ถ้ามองในภาพรวมแบบทั่วไปนั้นดูสนุกและน่าติดตามแบบเดิมเลย ปูเรื่องไปซีซั่นต่อไปได้แบบไม่ยืดเยื้อและไม่ตัดจบเร็ว ถือวากำลังดีครับใน 6 ตอนที่ไม่มากหรือน้อยเกินไป และการแทรกการแบ่งชนชั้น สายเลือดและการเมืองได้แบบเจ็บแสบเลยแหละครับ

ตัวละครทั้งหมดในครั้งนี้แบ่งหน้าที่กันได้กีเล่าเรื่องได้เต็มอิ่มในแต่ละซีนของคนนั้นๆ อย่างที่บอกไปว่าเรื่องราวมันจะเน้นไปทางการเมืองการเฉือนคมนิดหน่อยในแต่ละฝั่งเลยทำให้หลายๆซีนก็มีการเล่นแสดงอารมณ์ได้ดีเช่นกันครับถือว่าในแง่ของการแสดงนั้นไม่มีจุดให้ติเลยก็ว่าได้ นักแสดงหลายๆคนทำได้ดีในแต่ละบทบาทของตัวเอง ทั้งนักแสดงนำ และนักแสดงรองทั้ง 2 ฝั่งเลยจุดนี้ขอชื่นชมครับ และการแต่งหน้าทำผมในเรื่องนี้ก็ทำได้ดีเช่นกันครับ

งานภาพ และ งานเสียง ต้องบอกว่าตอน ซีซั่นแรกนั้นชื่นชม โปรดักชั่นและงานภาพของเรื่องนี้คือการเกรดดิ้งสี ทำโทนภาพในแต่ละซีน มุมกล้องการเล่าเรื่องจัดวางคือสุดมากครับ แต่มาในครั้งนี้งานภาพมีการเปลี่ยนไปแบบชัดเจนหลายๆคนน่าจะรู้สึกการเล่าเรื่องเหมือนจะมีการเล่นมุมกล้องอะไรใหม่ๆมาบ้างและเหมือนมุมกล้องแบบหนังแอคชั่นหลายๆเรื่องจนแอบเสียดายไปหน่อยเพราะ ความเนียนความเนี๊ยบของมันหายไปเยอะ ความกระโดดของโทนแต่ละซีนมันชัดเจนเกินไปครับ รู้สึกเหมือนงานมันเผาไปหน่อย แต่ก็ไม่ได้แย่ครับแต่ถ้าเทียบกับซีซั่นแรกมันเลยแตกต่างกัน ส่วนงานเพลงประกอบดนตรียังคงทำได้ดีครับ มีการใส่ดนตรีมากระตุ้นอารมณ์ในหลายๆช่วง แต่มันจะมีช่วงที่โทนดนตรีมันแอบกระโดดกับแนวหนังไปหน่อย เลยรู้สึกแปลกๆครับ ทั้งหมดนี้ที่กล่าวคือเทียบกับซีซั่นแรกมันเลยมีความแตกต่างให้เทียบ แต่ถ้ามองในภาพรวมแค่ ซีซั่นนี้ก็ไม่ได้แย่ครับก็เปลี่ยนแนวตัวเองไป ตามระดับของเนื้อเรื่องในหนัง

ในภาพรวมซีซั่นนี้ถือว่าทำได้ประทับใจครับแม้ว่าหลายๆเรื่องจะไม่สมเหตุผลหรือมีดรอปลงไปบ้างจากซีซั่นแรกแต่ก็ยังคงความน่าติดตาม การเมือง การแบ่งชนชั้นได้อย่างชัดเจนเหมือนเดิมอีกทั้งยังมีฉากแอคชั่นแบบจัดเต็มกว่าซีซั่นแรกแบบเท่าตัวรวมถึงมุมกล้อง ที่ส่งด้วยเช่นกันทำให้มันมีความแปลกใหม่มากกว่าเดิมไม่น่าเบื่อ และทำให้ดูได้ต่อเนื่อง 6 ตอนแบบไม่ต้องกดข้ามครับทั้งหมดนี้อาจจะเรียกได้ว่ามันพัฒนาขึ้นในอีกทางทั้งตัวบทและตัวการเล่าเรื่องแต่ก็แอบเสียดายบางอย่างจากซีซั่นแรกครับ ส่วนใครที่ยังไม่ได้ดูก็แนะนำเลย 12 ตอนรวดครับ ซีซั่น 1-2 เป็นอีกเรื่องที่น่าสนใจและทำได้ดีจากฝั่ง เอเซีย พร้อมงานโปรดักชั่นที่ไม่น้อยหน้าค่ายอื่น เป็นซีรีย์คุณภาพอีกเรื่องจาก NETFLIX