ล่าสุด OnePlus เพิ่งจะเปิดตัวสมาร์ทโฟนเรือธงตัวใหม่ของแบรนด์ ทั้ง OnePlus 7 และ OnePlus 7 Pro แต่วันนี้เราจะมาพูดถึงแค่ตัว Pro เพราะมันเป็นสมาร์ทโฟนที่จะมาปราบเรือธงของแบรนด์อื่นๆด้วยเทคโนโลยีหลายๆอย่าง ที่จะเป็นการปฏิวัติวงการสมาร์ทโฟนไปเลย
หน้าจอที่มาพร้อมเทคโนโลยีใหม่
ไร้ขอบ,ไร้ติ่ง, refresh rate 90Hz, ความละเอียด Quad HD, HDR10+ และหน้าจอแบบ edge-to-edge
ซึ่งทำให้จากข้อมูลที่เคยหลุดออกมานั้นเป็นความจริงว่ามันจะมี refresh 90Hz ทำให้ภาพที่เกิดขึ้นมีความสมูท ต่อเนื่องกันมากขึ้น และยังมีหน้าจอ Fluid AMOLED และความละเอียดที่ Quad HD หรือ 3120 x 1440 พิกเซล ทำให้ภาพที่เกิดขึ้นมีความคมชัดมากขึ้นไปอีก
หน้าจอดังกล่าวยังรองรับ HDR10+ อีกด้วยทำให้มีสีที่สดใสชัดเจนยิ่งขึ้น ทำให้เรามีความสุขในการดูหนังมากขึ้น เป็นต้น รวมทั้งยังมี Night mode 2.0 ที่จะช่วยตัดแสงสีฟ้าที่ทำลายสายตาของเรา และมันยังปรับโทนสีของหน้าจอให้แบบอัตโนมัติอีกด้วย ทำให้เป็นการถนอมสายตาของเราอย่างดีเลยล่ะ
กล้องหลัง 3 ตัว และกล้องหน้า pop-up ที่ทนทานมากขึ้น
สมาร์ทโฟน OnePlus นั้นรวดเร็วและลื่นไหลมานานแล้ว แต่สิ่งที่ยังแพ้แบรนด์อื่นก็คือคุณภาพของกล้องนั่นเอง ซึ่ง OnePlus 7 pro จะเป็นสิ่งที่มาแก้ไขความจริงดังกล่าว ซึ่งจะมาพร้อมกล้องหลัง 3 ตัวและกล้องหน้า pop-up
สเปคกล้องหลัง
- ตัวหลัก 48 ล้านพิกเซล
- 8 ล้านพิกเซล, 3x เลนส์ telephoto, f/2.4, OIS
- 16 ล้านพิกเซล เลนส์ ultra-wide
การอัพเกรดที่สำคัญที่สุดก็คือมันจะมีเซ็นเซอร์ที่มีขนาดใหญ่มากขึ้น โดยมันจะมีขนาด 1/2 นิ้วบนกล้องตัวหลัก และการถ่ายภาพจะใช้เทคโนโลยีการรวมพิกเซล คือรวมจาก 4 พิกเซลให้เป็นหนึ่ง ทำให้ได้ภาพที่มีความคมชัดมากขึ้น ประกอบกับรูรับแสงขนาด f/1.6 ทำให้ได้ภาพที่ชัดและสว่างขึ้นในตอนที่มีแสงน้อย
ฟีเจอร์ที่สำคัญอีกสองอย่างคือ UltraShot ที่ช่วยควบคุมปริมาณแสงในภาพให้สมดุลกันมากขึ้น และ NightScape 2.0 ที่ช่วยในการถ่ายภาพในที่ที่มีแสงน้อย
ส่วนกล้องหน้าก็มีการอัพเกรดเช่นกัน โดยตัวกล้องหน้าสามารถเปิดใช้ขึ้น-ลงได้ถึง 300,000 ครั้ง ทำให้ถึงแม้ว่าคุณจะเป็นคนติด selfies คุณก็สามารถใช้งานกล้องได้เป็นปีๆ แต่อีกสิ่งหนึ่งที่เจ๋งไม่แพ้กันก็คือเมื่อกล้องหน้าถูกเปิดใช้อยู่ แล้วตัวสมาร์ทโฟนเกิดตกพื้นขึ้นมา มันจะมีปิดกล้องหน้าเองโดยอัตโนมัติ ทำให้กล้องหน้าไม่พังตอนตกถึงพื้นนั่นเอง
เซ็นเซอร์สแกนนิ้วใต้หน้าจอที่ทำงานเร็วขึ้น
มันจะมาพร้อมกับเซ็นเซอร์สแกนนิ้วใต้หน้าจอ ที่มีความเร็วมากกว่า OnePlus 6T ถึง 38% โดยใช้เวลาสแกนเพียง 0.21 วินาทีเท่านั้น ทำให้มันเป็นเซ็นเซอร์ที่มีความรวดเร็วที่สุดในโลกในขณะนี้
อายุการใช้งานแบตเตอรี่
มันจะมีแบตเตอรี่ที่มีความจุมากที่สุดในอุปกรณ์ของ OnePlus โดยมีความจุ 4,000 mAh ที่ทำให้สามารถใช้งานได้เป็นวัน ซึ่งมันไม่รองรับการชาร์จแบบ wireless แต่จะมาพร้อมกับเทคโนโลยีชาร์จเร็วที่เร็วขึ้นโดยใช้เวลาแค่ 20 นาทีในการชาร์จจาก 0% ไป 50% ซึ่งมันได้แถมตัวชาร์จเจอดังกล่าวมาในกล่องด้วย
ฟีเจอร์ซอฟแวร์ใหม่
โดยมันจะใช้ Android 9 Pie ที่ครอบด้วย Oxygen OS 9.5 และ OnePlus ยังเปิดเผยอีกว่ามันจะได้รับการอัพเกรดซอฟแวร์เร็วเป็นอันดับ 2 เป็นรองแค่ Google เท่านั้นเป็นเวลา 2 ปี ซึ่งตลอด 2 ปีนี้จะได้รับการอัพเกรดใหญ่ๆทั้งหมด (จะอัพเกรดไปถึง Android 10 Q และ Android 11 R) และได้รับการอัพเกรดด้านความปลอดภัยไปอีก 3 ปี รับรองว่าไม่ถูกปล่อยลอยแพง่ายๆแน่นอน
และยังมีฟีเจอร์เฉพาะอีก เช่น Fnatic game mode ที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเล่นเกม และบล็อกการแจ้งเตือนที่จะมารบกวนระหว่างเล่นเกมอีกด้วย และช่วยปรับให้ traffic flow ของเกมดียิ่งขึ้น โดยลดการทำงานของแอพใน background ลง
อีกทั้งยังมี Zen mode ที่ช่วยให้ผู้ใช้งานวางมือจากสมาร์ทโฟนในช่วงเวลาหนึ่ง โดยจะปิดการแจ้งเตือนทุกอย่าง เหลือไว้แค่การแจ้งเตือนการโทรฉุกเฉิน และการใช้กล้อง ซึ่งเป็นการตัดสิ่งรบกวนไป ทำให้เรามีสมาธิในการทำงานหรือการเรียนมากขึ้นนั่นเอง
- fluid AMOLED edge-to-edge screen, no notch, 90Hz refresh rate, Quad HD resolution
- pop-up selfie camera
- flagship Snapdragon 855 chip, up 12GB RAM, liquid cooling
- stereo speakers
- new vibration motor
- 4,000mAh battery
- 5G option
- ราคาสูงที่สุดในบรรดาสมาร์ทโฟนของ OnePlus
ซึ่งการปฏิวัติเทคโนโลยีดังกล่าวก็ต้องแลกมาด้วยราคาที่สูงขึ้น ทำให้มันกลายเป็นสมาร์ทโฟนที่แพงที่สุดของ OnePlus เลย ซึ่งราคาเครื่องใน USและUK จะมีราคาดังนี้
- 6/128GB : 670 USD (ประมาณ21,100บาท)ในสหรัฐฯ, 649 ปอนด์ (ประมาณ26,500บาท)ในสหราชอาณาจักร
- 8/256GB : 700 USD (ประมาณ22,100บาท)ในสหรัฐฯ, 699 ปอนด์ (ประมาณ28,500บาท)ในสหราชอาณาจักร
- 12/256GB : 750 USD (ประมาณ23,700บาท)ในสหรัฐฯ, 799 ปอนด์ (ประมาณ32,600บาท)ในสหราชอาณาจักร
โดยตัวเครื่องจะมีให้เลือกในสี Mirror Gray, Nebula Blue ที่วางขายแล้ว และสี gold Almond shade ที่จะวางขายในเดือนหน้า