OnePlus ได้เปิดตัวสมาร์ทโฟนเรือธงรุ่นใหม่ของแบรนด์ในชื่อรุ่น OnePlus 8 และ 8 Pro ซึ่งเป็นสมาร์ทโฟนที่ถูกเปิดตัวต่อจาก OnePlus 7T และ 7T Pro เมื่อปีที่แล้ว ตามที่เคยได้สัญญาเอาไว้และแน่นอนว่ามีการเปิดตัวในประเทศไทยเร็วๆนี้วันที่ 14 ครับ ทางเราเลยขอลองซักหน่อยก่อนขายและก่อนบอกราคาครับ เราได้เจ้าตัว 8 Pro ในสีใหม่สวยงามสีเขียว Glacial Green และแน่นอนว่าในครั้งนี้การพัฒนาเยอะพอสมควร ทั้งกันน้ำ ชาร์จไร้สาย กล้อง รวมถึงงานออกแบบ ที่จับถนัดมือมากขึ้นตัวเครื่องแคบๆยาวๆ ดีกว่าเยอะเลยรวมถึงทางด้านสเปคจัดเต็มครับ แน่นอนว่ามันเป็น เรือธงเทพ และไม่มีอีกแล้วคำว่านักฆ่าเรือธงครับ ใน รุ่น Pro จะมาพร้อมหน้าจอ Fluid AMOLED แบบขอบโค้งที่มีขนาด 6.78 นิ้ว และมีรีเฟรชเรท 120Hz ที่มาพร้อมชิป MEMC ที่ช่วยเพิ่มวิดีโอทั่วไปจาก 24fps ให้เป็น 120fps ซึ่งทางบริษัทเคลมว่าฟีเจอร์นี้เหมาะกับการรับชมกีฬาและสื่อ action ต่าง ๆ โดยฟีเจอร์ดังกล่าวยังช่วยลดภาพเบลอด้วย ถือว่าน่าสนใจ รวมถึงในด้านการใช้งานก็พัฒนามาลงตัวมากขึ้นด้วยครับในรุ่นนี้ของทาง 1+
Oneplus 8 Pro นั้นภายในตัวเครื่องจะใช้ชิปเซต Snapdragon 865 ที่มาพร้อมโมเดม X55 5G ทำให้สามารถใช้งานเครือข่าย 5G ได้ นอกจากนี้มันยังได้อัพเกรด RAM 12GB ไปใช้เป็น LPDDR5X แล้วอีกด้วย และสิ่งสำคัญก็คือตัวเครื่อง OnePlus 8 Pro นั้นสามารถกันน้ำได้แล้ว โดยกันน้ำมาตรฐาน IP68 ซึ่งรุ่นธรรมดาไม่สามารถกันน้ำได้เหมือนเคย ส่วนของกล้องหลังจะมีจำนวน 4 ตัวด้วยกันประกอบด้วยเลนส์ 48MP ที่ใช้เซนเซอร์ Sony IMX689 และรองรับ OIS + เลนส์กว้าง ultra-wide 120 องศา 48MP Sony IMX586 มาพร้อมโหมดมาโคร 3cm + เลนส์เทเลโฟโต้ 3X 8MP ที่สามารถซูมแบบ digital ได้ 30x และรองรับ OIS + เลนส์โมโน (เลนส์ Color Filter) 5MP ในส่วนของแบตเตอรี่มีความจุอยู่ที่ 4,510 mAh ที่รองรับชาร์จเร็ว Warp Charge 30T ซึ่งสามารถชาร์จแบตเตอรี่ 50% ได้ภายในเวลา 23 นาที นอกจากนี้มันยังรองรับชาร์จไร้สาย Warp Charge 30W ที่สามารถชาร์จแบต 50% ได้ในเวลา 30 นาที อีกทั้งยังสามารถ reverse ชาร์จแบตเตอรี่ให้สมาร์ทโฟนเครื่องอื่นได้ด้วย ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่มาพร้อมกับตัว 8 Pro เท่านั้นเลยครับถือว่าน่าสนใจในการใช้งานครั้งนี้
ทางด้านราคานั้น Oneplus 8 Pro เปิดราคา 34,990 บาท ในไทยมาแค่ความจุรุ่นย่อยเดียวคือ RAM 12 GB / STORAGE 256 GB พร้อมกับสี น้ำเงิน และ สีเขียวในรีวิวนะครับ ส่วนสีดำไม่มาในไทยนะครับ
— LINK สำหรับการสั่งซื้อใน AIS
UNBOX
ตัวกล่องนั้นใหญ่มาในแนวยาวๆครับแบบเดียวกับรุ่นของ 7T แต่มีความเรียบมากขึ้นและเขียนเลข 8 สีแดงเด่นเล่นกับตัวอักษรสวยงามเลยครับ และบอกชื่อรุ่นชัดเจน ทั้งด้านหน้าและด้านข้าง ส่วนอุปกรณ์ในกล่องนั้นมีมาให้คล้ายกับรุ่นเดิมทั้งหมดครับไม่ได้แตกต่างอะไรกับ 7T Pro ก่อนหน้านี้เลยครับยกเว้นเคส กับ สติกเกอร์แบบใหม่
- ตัวเครื่อง Oneplus 8 Pro
- ตัวเคสใส TPU
- ที่ชาร์จ WarpCharge 30T
- สายชาร์จ Type-C
- สติกเกอร์ คู่มือ และ ที่จิ้มซิม
- ฟิล์มกันรอยติดมาให้เลยจากโรงงาน
- ไม่มีหูฟัง และ ตัวแปลง3.5มม.
ตัวเคสที่แถมมานั้นถือว่ามีความสวยอันดับต้นๆของบรรดามือถือเลยแน่นอนว่าครั้งนี้มีความแตกต่างคือใส่ สโลแกนของค่ายมาเน้นๆดูดีและทำให้ดูมีระดับขึ้นมาเยอะครับจากเดิมที่เรียบๆ และขอบเครื่องนั้นจะเป็นสีแบบขุ่นๆทั้ง 4 ด้านทำให้ดูดีและสวยอีกทั้งมีความพรีเมี่ยมกว่าเดิมเยอะอันนี้ขอชมเลยครับ ส่วนตัวเคสนั้นสามารถคลุมทั้งหน้าและหลังได้ดีระดับนึง แต่ไม่ปลอดภัยมากนักเพราะด้านหน้านั้นจากที่รุ่นก่อนนั้นจะมีขอบป้องกันมุมทั้ง 4 ด้านมาให้ แต่ในรุ่นนี้ด้วยการที่เป็นขอบจอโค้ง อาจจะทำให้การปกป้องนั้นไม่ได้ดีมากเท่ารุ่นก่อนๆ ทำให้มันต้องระวังเรื่องเวลาวางหรือตกครับ
ส่วนด้านหลังก็ปกป้องตัวเครื่องได้ดีและในชิ้นเลนส์ก็ปกป้องได้ระดับนึง เมื่อดูเทียบแนวระนาบจะเห็นว่าตัวเคสนั้นสูงขึ้นจากหน้าจอไม่ได้เยอะมากแต่ก็กินเข้าไปในหน้าจอในระดับนึงก็ยังใช้งานได้ป้องกันได้ดีครับ และตรงมุมเครื่องก็มีความหนาขึ้นมานิดหน่อย แตส่วนจอโค้งนั้นป้องกันได้ยากมากๆครับ ส่วนด้านหลังเลนส์กล้องก็นูนนิดหน่อยเมื่อเทียบจากระยะเลนส์ ถือว่ายังอันตรายอยู่ครับ ไม่ได้นูนขึ้นมาเยอะในส่วนนี้ต้องระวังกันนิดหน่อยในเรื่องการวางใช้งานครับ
DESIGN
งานออกแบบในรุ่นนี้ถือว่าในภาพรวม หรือว่าตอนเห็นภาพหลุดมันไม่ค่อยแตกต่างกับรุ่นเดิมรวมถึงไม่สวยเท่าไรครับเพราะมันน่าจะออกแบบให้มีความแตกต่างกันมากกว่านี้ แต่เมื่อเห็นตัวเครื่องจริง ด้วยความบาง และความแคบสูงมากกว่าเดิมก็ถือว่าลงตัวขึ้นเยอะครับทั้งการใช้งาน ความสวยเพราะหลายๆรุ่นก็ใช้อัตราส่วนนี้กันแล้ว ส่วนทางด้านวัสดุนั้นมีความเนียนสวยและดูดีเช่นเดิมครับการเล่นฝาหลังแบบด้านคล้ายเดิม แต่โทนสีใหม่ ส่วนหน้าจอนั้นมีความโค้งด้านข้างแบบเดิมแต่เปลี่ยนงานออกแบบหน้าจอเป็นแบบเจาะรูแล้วน่าเสียดายเมื่อมองเทียบกับรุ่นเดิมครับ
ทางด้านหน้าจอนั้นเป็นหน้าจอแบบเจาะรูแล้วยังคงใช้ชื่อ Fluid AMOLED ขอบโค้ง ซึ่งมีขนาด 6.78 นิ้ว ความละเอียด QHD+ รองรับ HDR10+ รีเฟรชเรท 120Hz ตราส่วน 19.8:9, ความสว่างสูงสุด1,300 nits,กระจก Gorilla Glass แบบ 3D ถือว่ารูปทรงนั้นแคบสูงขึ้น จับถนัดขึ้นเยอะครับ แต่ไม่เต็มจอเท่ารุ่นก่อนแล้วน่าเสียดาย
ขอบหน้าจอด้านบนนั้นทำได้ค่อนข้างบางเป็นที่อยู่ของ ลำโพงสนทนา และ ลำโพงตัวที่ 2 และ เซนเซอร์ต่างๆแฝงไว้ตรงขอบหน้าจอ และมีความบางขึ้นเยอะอยู่ครับ ส่วนเรื่องไฟแจ้งเตือนนั้นไม่มีแล้วนะครับ จะใช้เป็นไฟแจ้งเตือนตรงขอบข้างหน้าจอแทนที่เป็นส่วนโค้ง และ กล้องหน้าจากเดิมที่ Pop-Up นั้นในรุ่นนี้เป็นแบบเจาะรูแทนแล้ว แต่ใช้กล้อง เซนเซอร์ตัวเดิมเลยนั้นเองครับไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอะไรในรุ่นนี้จากเดิม
ขอบด้านล่างหน้าจอตัวนี้ต้องบอกว่าทำได้บางมากๆเรียกได้ว่าบางเกือบจะเท่าขอบด้านอื่นๆแล้ว และในการคุมนั้นสามารถใช้งานแบบเต็มหน้าจอ หรือ เป็นปุ่มปกติได้ครับ ในส่วนของสแกนนิ้วนั้นอยู่ตรงกลางด้านล่างหน้าจอ
ขอบเครื่องส่วนล่างนั้นเป็นที่อยู่ ของถาดซิมแบบ Dual sim รูไมค์ และ ช่องชาร์จแบบ USB-C รวมถึง ลำโพงหลักของตัวเครื่องและในรุ่นนี้มีลำโพงคู่ ทำงานร่วมกันกับด้านบนนั้นเอง ถาดซิมแบบ Dual Nanosim นะครับ ตัวถาดซิมด้านล่างนั้นเป็นแบบใส่ซิมได้ 2 ซิมซ้อนทับกันคนละฝั่งมีซีลยางอยู่ด้วย IP Rating 68 แล้วครับรุ่นนี้
ในด้านบนนั้นจะเป็นรูไมค์ตัดเสียงครับ และเห็นว่าในขอบเครื่องจะมีการเว้าลูกเล่นออกแบบแตกต่างกับเดิมพอสมควรอีกทั้งเรื่องของการใช้โทนสี เป็นสีแบบด้านและเหมือนพื้นผิวพ่นทรายนิดหน่อยดูดีสวยพอสมควรเลยครับตัวนี้
ฝั่งขอบด้านซ้ายตัวเครื่องตัวนี้จะเป็นปุ่มเพิ่ม-ลดเสียงเท่านั้นและขอบเครื่องบางขึ้นและเป็นสีพ่นแบบด้านแทนแล้ว
ขอบด้านขวาของตัวเครื่องนั้นจะเห็นถึงความโค้งทั้งหน้าและหลังของตัวเครื่องและกระจกหน้าจอและฝาหลังที่โค้งรับมือได้ดี และขอบเครี่องเป็นแบบด้านแล้วครับสีเดียวกับฝาหลังเลย ส่วนปุ่ม Power และ สวิทช์ เลื่อนเสียง นั้นยังมีมาให้อยู่ฝั่งนี้ทั้งหมดครับ แต่ดูดีๆกล้องหลังจะนูนกว่าเดิมแบบรู้สึกได้เลยครับรุ่นนี้
ด้านหลังนั้นยังคงมีการออกแบบที่เหมือนเดิมแต่เลนส์กล้องนั้นใหญ่ขึ้น และ รูปทรงของเครื่องมันแคบขึ้นและทำให้จับเครื่องได้ถนัดขึ้น ส่วนโลโก้ และ ฟอนต์นั้นมีความแตกต่างกว่าเดิมเปลี่ยนใหม่ ทั้งโลโก้ และ คำเขียนครับ ตัวเครื่องนั้นใช้วัสดุกระจกแต่มีการทำให้เป็นวัสดุแบบด้านเล่นกับแสงสีได้ค่อนข้างดี และโทนเขียวใหม่สดใสขึ้น ฝาหลังนั้นโค้งลงมุมทั้ง 2 ข้างทำให้จับได้ค่อนข้างถนัดและถือได้ง่ายแม้จะมีเครื่องที่ค่อนข้างใหญ่ครับทำให้ จับได้ดีขึ้น
กล้องหลัง 48MP (f/1.78) ใช้เซนเซอร์ Sony IMX689, ขนาดพิกเซล 0.8μm, ฟีเจอร์ OIS + EIS, Native ISO คู่, + เลนส์กว้าง 119.7° 48MP (f/2.2) ใช้เซนเซอร์ Sony IMX586 + เลนส์เทเล 8MP (f/2.44), ที่ซูมแบบ hybrid ได้ 3x และซูมแบบ digital ได้ 30x, ฟีเจอร์ OIS, เลนส์ฟิลเตอร์สี 5MP (f/2.4) การออกแบบนั้นคล้ายเดิม แต่วางกลาง เลนส์กล้องนูน ใหญ่ขึ้น และ เลนส์เสริมนั้นอยู่ข้างๆฝังใต้กระจกหลัก และ เซนเซอร์ต่างๆ พร้อม ไมค์ตัดเสียง รวมถึงไฟแฟลชนั้นวางในข้างนอกเลนส์กล้องนั้นหมดนั้นเอง พร้อมโลโก้ใหม่ของ 1+
SPEC
- หน้าจอ Fluid AMOLED ขนาด 6.78 นิ้ว (3168 x 1440 พิกเซล) Quad HD+ ที่มีรีเฟรชเรท 120Hz, อัตราส่วน 19.8:9, ความสว่างสูงสุด1,300 nits,กระจก Gorilla Glass แบบ 3D
- ชิปเซต Snapdragon 865 7nm พร้อมการ์ดจอ Adreno 650
- RAM LPDDR5 12GB + storage (UFS 3.0) 256GB
- Android 10 ที่ครอบด้วย OxygenOS 10.0
- ซิมคู่ (nano + nano)
- กล้องหลัง 48MP (f/1.78) ใช้เซนเซอร์ Sony IMX689, ขนาดพิกเซล 0.8μm, ฟีเจอร์ OIS + EIS, Native ISO คู่, + เลนส์กว้าง 119.7° 48MP (f/2.2) ใช้เซนเซอร์ Sony IMX586 + เลนส์เทเล 8MP (f/2.44), ที่ซูมแบบ hybrid ได้ 3x และซูมแบบ digital ได้ 30x, ฟีเจอร์ OIS, เลนส์ฟิลเตอร์สี 5MP (f/2.4), สามารถถ่ายวิดีโอ 4K ได้ที่ 60 fps, ถ่าย slow motion 720p ได้ที่ 480fps, ถ่าย slow motion 1080p ได้ที่ 240fps
- กล้องหน้า 16MP (f/2.45) ใช้เซนเซอร์ Sony IMX471 aperture, ฟีเจอร์ EIS
- เซนเซอร์สแกนนิ้วใต้หน้าจอ
- ลำโพงสเตอริโอคู่, Dolby Atmos, ระบบเสียง 3D, ซููมเสียง, ระบบเสียง OZO
- ขนาดตัวเครื่อง: 165.3×74.35×8.5 mm; น้ำหนัก: 199g
- 5G SA/NSA, Dual 4G VoLTE, Wi-Fi 6 Bluetooth 5.1, NFC, USB Type-C
- แบตเตอรี่ 4,510 mAh ที่รองรับ Warp Charge 30T, ชาร์จไร้สาย 30W, reverse charging
PERFORMANCE
ประสิทธิภาพของตัวเครื่องตัวนี้พกพาความแรงระดับสูงอยู่แล้วด้วย Snapdragon 865 ที่แรงกว่าเดิม พร้อมกับ RAM 12GB และใช้งานหน่วยความจำแบบ UFS 3.0 256GB ตัวนี้คือเร็วมากๆ และทำคะแนนในส่วนของ Antutu ไปได้ 577951 คะแนน และ Geekbench ได้ไป 895/3270 รวมถึงหน่วยความจำอ่านเขียนไปได้สูงมากๆ ทำความเร็วไปได้ 1,674 MB/s และ DRM L1 สำหรับการดู NETFLIX รองรับสูงสุด HDR HD ครับ
SYSTEM UI
Android 10 ที่ครอบด้วย Oxygen OS 10 และหลายๆคนคงทราบกันดีกว่าแบรนด์ OnePlusมักจะได้รับการอัพเกรดซอฟต์แวร์เร็วเป็นอันดับ 2 เป็นรองแค่ Google เท่านั้น และซัพพอร์ตยาวๆเป็นเวลา 2 ปี ซึ่งตลอด 2 ปีนี้จะได้รับการอัพเกรดใหญ่ๆทั้งหมด และได้รับการอัพเกรดด้านความปลอดภัยไปอีก 3 ปี เป็นรุ่นที่ทำระบบมาค่อนข้างดีมากๆและใช้งานได้ดีอันดับต้นๆของ Android การแจ้งเตือนอะไรทำได้ไวกว่าหลายๆตัวในบรรดา Android ด้วย
แน่นอนว่าลากลงมา 1 ครั้งเจอตั้งค่า ลากลงมาอีกรอบก็ เหมือนรุ่นอื่นๆที่ใช้ Android และยังคงหน้าตาแบบเดียวกับทาง 7TPro ก่อนหน้าที่เรารีวิวไปครับผม สำหรับการแบ่งหน้าจอนั้น ยังคงทำได้เช่นเดิม สามารถกดเข้าหน้าเคลียร์แอปและกด 3 จุดมุมขวาบนได้เลยครับ แต่มันเปลี่ยนโทนสีได้เลยเลือก ดำแดง ก็สวยเข้มดีครับ เปลี่ยนรูปทรงไอคอนได้ด้วยนะ
ตัวระบบใช้งานได้ 228 ครับ และ RAM 12 GB ใช้ไป 5.4 GB โดยเป็นการนับเฉลี่ย 1 วันที่แอดมินใช้งานปกติครับผม สำหรับทางแป้นพิมพ์ ตัวนี้ใช้ของ G board อันนี้แอดมินชอบสุดละตัวนี้ เรียบสวยและสเถียรมากๆ
หน้าจอในรุ่นนี้สามารถปรับได้ทั้งเรื่องของ QHD หรือ FHD และมาพร้อมกับหน้าจอที่สามารถปรับได้ 60Hz และ 120Hz ครับ รวมถึงสามารถปรับแต่งปิด วงกลมเจาะรูกล้องหน้าได้ด้วย และแน่นอนว่าปรับในเรื่องของโทนสีได้ ในส่วนการปรับแต่งหน้าจอนั้นจะสามารถเพิ่มความลื่นไหลเพิ่ม FPS ของตัววีดีโอได้ด้วยทำให้มันเนียนกว่าเดิมครับ และรวมถึงมีการปรับแต่งโทนสีของพวกวีดีโอได้ด้วยทำให้ภาพนั้นมีมิติ สีอิ่มมากขึ้นกว่าเดิมเยอะเลยทีเดียวครับ
หน้าจอในรุ่นนี้ยังมาพร้อมกับฟีเจอร์ที่คุ้นเคยกันทั้งเรื่องของๆไฟแจ้งเตือนตรงขอบหน้าจอ รวมถึง หน้าจอ Ambient Display ในการแสดงเวลาหน้าจอดับหรือแตะเพื่อแสดงครับ รับได้ 3 แบบหลักๆ รวมถึงสามารถปรับการควบคุมได้ด้วยครับว่าจะใช้งานหน้าจอแบบเต็มหน้าจอ หรือจะใช้งานแบบปุ่มแบบดั้งเดิมนั้นสามารถใช้งานได้ทั้งหมดเลยครับ
ในส่วนของการปรับแต่งหน้าตาก็เช่นเดิมว่าสามารถปรับแต่งได้เยอะมากทั้งเรื่องของ ฟอนต์ การออกแบบ โทนสี ไอคอน รูปทรงถือว่ารองรับได้อิสระมากๆ และ ในส่วนของ Gesture นั้นก็มีมาให้เยอะเช่นเดิมทั้ง 3 นิ้วในการแคปหน้าจอ การรับสาย การพลิกเพื่อเงียบ รวมถึง แตะ 2 ครั้งเพื่อปลุกเครื่อง และยังสามารถปรับ ปุ่ม power 2 ครั้ง เข้ากล้อง หรือ กดค้างเพื่อ เรียก Google Assistant ได้ด้วย
SCREEN
หน้าจอยังคงทำได้ดีครับแต่แอบเสียดายว่าเป็นหน้าจอแบบเจาะรูแล้ว แตกต่างกับหน้าจอแบบไร้ขอบไร้ติ่งแบบเดิมเยอะทำให้หลายๆคนชอบจอแบบเก่ามากกว่าด้วย ในเรื่องสเปคนั้นใช้หน้าจอที่เรียกว่า Fluid AMOLED ขนาด 6.78 นิ้ว (3168 x 1440 พิกเซล) Quad HD+ ที่มีรีเฟรชเรท 120Hz, อัตราส่วน 19.8:9, ความสว่างสูงสุด1,300 nits,กระจก Gorilla Glass แบบ 3D ถือว่าในการใช้งานความสดของสีทำได้ดี ดำก็สนิทเข้มสู้แสงได้สบายด้วย พร้อมกับสแกนนิ้วมือใต้หน้าจอ และ Always On ก็มีมาให้ใช้งานครับ คุณภาพความลื่นไหลมากกว่าเดิมแบบชัดเจน ถ้าเทียบกับ 60Hz 90Hz รุ่นก่อนๆครับ และความสดมิติของภาพมันดีขึ้นกว่าเดิม มิติโหดมากๆอันนี้ชอบ รวมถึงความลื่นไหลสามารถเปิดใช้งานกับ QHD+ ได้ด้วยทำให้มันได้เรื่องของความละเอียดความสวยมาเต็ม
แน่นอนว่าเรื่องของมุมมองนั้นในหน้าจอแบบ AMOLED นั้นทำให้มุมมองที่ได้นั้นค่อนข้างคลอบคลุมได้ดีและมองได้ชัดเหมือนมองตรงๆไม่เจออาการเพี้ยนอะไรครับ แต่ถ้าใครการปรับเปลี่ยนจาก 60Hz มาเป็น 120 ที่ได้สัมผัสด้วยตัวเองนั้นต้องบอกว่ามันมีความแตกต่างกันแบบชัดเจนยิ่งใครใช้จอ 60 แล้วปรับมาเป็น 120 จะชอบและติดใจมากๆครับ คือแค่เลื่อนหน้าฟีดก็แตกต่างแล้วไม่ต้องเล่นเกมดูหนังอะไรครับกดเลื่อนดูรูปก็ลื่นแล้ว เป็นอีกจุดที่หลายๆคนไม่ควรมองข้ามเลยครับ 120Hz ด้วยเหตุนี้ Oneplus เลยทำหน้าจอใส่ในรุ่น 8 Pro แล้วนั้นเอง แต่ถ้าตัว 8 ยังคงเป็นแบบ 90Hz นะครับ แน่นอนส่วนการสัมผัสก็ทำได้ติดนิ้วไวไม่มีปัญหาอะไรตัวนี้มีฟิล์มติดกันรอยมาให้เลยจากโรงงานรองรับการใช้งานสแกนนิ้วอะไรได้ปกติเลยครับ แต่รู้สึกว่าฟิล์มอาจจะไม่ได้ทนเท่าไรเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้าครับ ส่วนการลั่นขอบจอนั้นยังมีอยู่บ้างครับเวลาจับถือด้วยความที่ขอบหน้าจอมันโค้งเลยเวลาจับยังมีอยู่นิดหน่อย
ไฟแจ้งเตือนขอบข้างๆซึ่งจะแจ้งเตือนเวลาปิดจอแล้วบอกว่าแอปไหนรวมถึงมีข้อความขึ้นมาครับ แต่ที่น่าเสียดายคือเมื่อเปิดจอมันจะไม่ทำงานและ เมื่อปิดจอนั้นจะแจ้งเตือนแค่ครั้งเดียวครั้งแรกเท่านั้นถ้าส่งมาหลายๆข้อความก็จะไม่มีไฟแจ้งเตือนแบบในภาพแล้วนั้นเอง ต้องเว้นระยะไว้หน่อยหรือถ้าส่งติดกันอาจจะไม่ได้โชว์ต่อเนื่องครับ สามารถเปลี่ยนสีไฟได้หลากหลายนะ แต่แอบเสียดายว่ามันยังไม่ได้พัฒนาลูกเล่นจากรุ่นก่อนหน้าเท่าไรเลยครับในจุดนี้
Ambient Display คือหน้าจอนั้นจะมีการติดแบบขาวดำ และ จะมีสีในตัวเลข 1 สีแดงเป็นเอกลักษณ์ครับ จะแจ้งเตือน เวลา ข้อความ และ ไอคอนการแจ้งเตือนต่างๆ และ วันที่ครับ สามารถเปลี่ยนหน้าตาได้ 3 แบบหลักๆตามที่แจ้งไว้ในส่วนของ Software เลย จะเปลี่ยนหน้าตานาฬิกา การวางเป็นหลักครับ และสามารถตั้งข้อความพิเศษได้ และ ตั้งได้ว่าจะให้ติดตอนแตะหน้าจอ หรือจะติดตอนยกมือถือครับผม แต่ติดตลอดเวลาไม่ได้นะครับในตัวนี้ยังคงเป็นแบบเดียวกับ 7T Pro เลยยังไม่สามารถปรับแต่งอะไรได้เท่าที่ควรรวมถึงไม่สามารถติดตลอดเวลาได้เลยครับรุ่นนี้
SOUND
ส่วนเสียงผ่านหูฟังจากที่ได้ลองนั้นต้องบอกว่าเสียงมันไม่ได้มีความแตกต่างกับรุ่นก่อนหน้านี้เท่าไรนักพอๆกับตัว Oneplus 7T Pro แบบเดียวกันเป๊ะๆเลยแหละถ้าเทียบกับหูฟังและตัวแปลงเดียวกันนะ ขับเสียงทั้งหลายย่านก็ทำออกมาได้ดี แม้รายละเอียดจะไม่มากนัก แต่ตัวเสียงมี Software ปรับ ชนิดหูฟัง ปรับ EQ ได้ครับ และ ตั้งค่าได้นิดหน่อย เหมาะสำหรับ ฟังสนุกได้ ไม่ซีเรียสเรื่องคุณภาพมากนัก ฟังเพลงทั่วไปสบาย ดูหนังได้สบาย ส่วนระบบเสียงแบบไร้สายนั้นก็รองรับการปรับ EQ ได้ด้วยนะครับแบบในภาพเลยและยังมีระบบเสียง Dolby เข้ามาช่วยในการฟังเพลงดูหนังต่างๆทำได้ดีขึ้นแต่ทั้งหมดมนี้ก็เป็นการปรุงแต่งผ่านทาง Software เป็นหลักอยู่ดีครับเลยไม่ได้โหดมาก
SPEAKER
ทางด้านลำโพงในรุ่นนี้มีการพัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่องครับลำโพงในรุ่นนี้มาพร้อมลำโพงคู่และยังรองรับระบบเสียง Dolby Atmos เช่นเดิมเลยแน่นอนว่าในเรื่องของความดังนั้นถือว่าดีขึ้นแต่ถ้าเราเอาไปเทียบกับรุ่นอื่นๆแล้วนั้นที่เป็นเรือธงค่ายอื่นอาจจะยังไม่ได้สู้ได้สูสีเท่าไรครับในเรื่องของความดัง ความกังวานชัดเจน เพราะว่า Oneplus นั้นแอบเบากว่าแบบรู้สึกได้เลยรวมถึง ความเคลียร์ชัดอะไรนั้นไม่ได้เด่นเท่าไรแต่มิติเสียงเบสอะไรมาดีไม่แพ้กันเลยครับ แน่นอนว่าถ้าใครเน้นเรื่องของลำโพงอาจจะไม่ได้ตอบโจทย์เท่าไร แต่ถ้ามองเทียบกับรุ่นก่อนหน้าก็ถือว่าพัฒนาดีขึ้น
GPS
การนำทางค่ายนี้ทำได้ดีมาเสมอครับและในตัวนี้ยังคงไว้ใจได้ครับในเรื่องนี้นำทางได้สบายมากแม่นเอาเรื่องทำได้ดีขึ้นทางด่วนลงอุโมงค์ไม่เด้งไปไหนครับ ทดสอบตอนรถวิ่ง ก็จับได้ 23 ถือว่าอยู่ในระดับที่ใช้งานได้ดีเลย และกลางแจ้งจับได้ 40 เลยทีเดียวครับ และในที่ร่มนั้นได้ 18 ครับ ระยะเวลาในการจับหลังจากเปิด แอปนั้นใช้เวลาไวมากครับ อันนี้ ไม่หน่วงหรือ รอเลยหลังจากเปิดแอป ไม่มีปัญหาใดๆ รวมถึงการเปิดสถานที่ในแอปอื่นๆก็ใช้งานได้ดี
WARPCHARGE 30 + 4510 mAh
แบตจากที่รุ่นก่อนๆนั้นมีหลายๆคนบ่นกันว่าไหลบ้าง ลดไวบ้างครับและในครั้งนี้ได้เพิ่มความจุเข้าไปอีกเป็น 4,510 จากเดิม 4,080 ครับแน่นอนว่าทำให้มันอึดขึ้นแน่นอน ส่วนการชาร์จไวนั้นยังคงทำได้เท่าเดิมไม่ได้แตกต่างเท่าที่ควรครับ รวมถึงในรุ่นนี้มีการใส่ใช้งานชาร์จแบบไร้สายเป็นครั้งแรกด้วยนะ ในแง่ของการทดสอบนั้นอยู่ได้ 10 ชั่วโมง แบตเหลือ 10% ครับ จอเปิด 5 ชั่วโมงกว่า ใช้งาน เฟส กล้อง วีดีโอ ฟังเพลง GPS ครับผม ถือว่าทำได้กลางๆ และ เปิด 4G ไว้ตลอด แอบมีเล่นเกมนิดหน่อย ส่วนถ้าใช้ทั่วๆไปไม่เล่นเกมนั้นจะได้ 13 ชั่วโมง จอเปิด 6 ชั่วโมงครับ ก็ถือว่าดูดีกว่าเดิมเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้อึดมากครับ แต่ถ้าเทียบจำนวนความไวในการลดนั้นถือว่าอึดกว่ารุ่นก่อน
การชาร์จแบบ WarpCharge 30T ส่วนการจ่ายไฟเข้า 5V/6A ที่ต้องใช้หัวชาร์จ และ สายชาร์จของมันที่มาในกล่องเท่านั้น ยังใช้สเปคเดิมครับ ทางเราจึงได้ทำการทดสอบในการใช้งานชาร์จแบตดูกันเลยว่าจะใช้เวลาเท่าไรและเต็มภายในกี่นาที จากที่ทดลองนั้นต้องบอกว่า One plus ชาร์จใช้เวลา 15นาที ได้แบตมา 30% และ 30นาที ได้แบตมา 49% และ 60 นาที ได้แบตมา 85% ชาร์จเต็มภายใน 1ชม 10 นาที ถือว่าเทียบกับความจุแบต 4,085 mAh นั้นถือว่าทำได้ค่อนข้างไวระดับนึงเลยเพราะแบตก็ให้มาเยอะกว่ารุ่นก่อนด้วยครับ ส่วนความไว
- ของรุ่น 7 Pro ใน 20 นาทีสามารถชาร์จได้ 31% และ เต็มภายใน 1 ชั่วโมง 20 นาที่
- ของรุ่น 8 Pro ใน 30 นาทีสามารถชาร์จได้ 49% และ เต็มภายใน 1 ชั่วโมง 10 นาที่
WIRELESS CHARGE
การชาร์จไร้สายในรุ่นนี้เป็นครั้งแรกของค่ายและการกันน้ำ iP68 ก็เช่นกันครับถือว่าเป็นฟีเจอร์หลักของตัวนี้เลย ทางด้าน Oneplus 8 Pro นั้นเองมาพร้อมกับการรองรับการชาร์จไร้สาย ตามมาตรฐาน Qi และยังรองรับการชาร์จไร้สายสูงสุด 30W เท่ากันกับการชาร์จแบบสายเลยแหละและถือว่าเป็นที่ชาร์จไร้สายที่รองรับได้เยอะอันดับต้นๆเลย ส่วนการใช้งานแบบชาร์จย้อนกลับก็มีมาให้นะครับตามกระแสนิยมเลยคือ สามารถแชร์แบตไปให้มือถือรุ่นอื่น นาฬิกา หูฟังทุกอย่างที่รองรับการชาร์จไร้สายก็สามารถแบ่งไปได้ครับ เข้าไปเปิดที่ฟีเจอร์ Reverse และวางชาร์จได้
CAMERA
สำหรับกล้องตัวนี้ มาพร้อมกับ กล้องหลัง 48MP (f/1.78) ใช้เซนเซอร์ Sony IMX689, ขนาดพิกเซล 0.8μm, ฟีเจอร์ OIS + EIS, Native ISO คู่, + เลนส์กว้าง 119.7° 48MP (f/2.2) ใช้เซนเซอร์ Sony IMX586 + เลนส์เทเล 8MP (f/2.44), ที่ซูมแบบ hybrid ได้ 3x และซูมแบบ digital ได้ 30x, ฟีเจอร์ OIS, เลนส์ฟิลเตอร์สี 5MP (f/2.4), สามารถถ่ายวิดีโอ 4K ได้ที่ 60 fps, ถ่าย slow motion 720p ได้ที่ 480fps, ถ่าย slow motion 1080p ได้ที่ 240fps ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงเยอะมากครั้บทั้งเรื่องของสเปค เซนเซอร์กล้อง แต่น่าเสียดายว่าเรื่องซูมอะไรพวกนี้ยังทำได้ระยะเท่าเดิมไม่ได้แตกต่างกันมากนักครับ และจากที่ลอง ซอฟต์แวร์กล้องยังเพี้ยนเยอะมากในเรื่องของโทนสีในหลายๆสภาพแสงครับ ติดแดง ส้มแบบชัดเจนเลย ส่วนกล้องหน้านั้น เป็นกล้องหน้า 16MP Sony IMX471 พร้อมกับ รูรับแสง f/2.2 ใช้งานตัวเดียวกับรุ่นก่อนครับ เซนเซอร์ตัวเดิมเลยครับ ที่รองรับการถ่าย Portrait อะไรได้ปกติครับ และมีแต่งแสง หน้าเนียนมาให้ครบครันเช่นเดิม แต่กล้องยังมีความเพี้ยนของสีอยู่แบบชัดเจนมากในกล้องหลัง แม้จะอัปเดตล่าสุดแล้วครับ และ ชัตเตอร์อะไรมีหน่วงบางครั้ง อาจจะต้องรออัปเดตอีกทีครับ ส่วนกล้องหน้ายังไม่ได้แตกต่างกันเดิมมากเท่าที่ควร และเสียดายเรื่องการซูมนิดหน่อยครับ
SELFIES
ส่วนกล้องหน้านั้น เป็นกล้องหน้า 16MP Sony IMX471 พร้อมกับ รูรับแสง f/2.45 Fixed Focus เป็นเซนเซอร์พร้อมกับ ความละเอียดเท่าเดิมแต่รูรับแสงนั้นแคบขึ้นครับ แน่นอนว่า รองรับการถ่าย Portrait อะไรได้ปกติครับ และมีแต่งแสง หน้าเนียนมาให้ครบครันเช่นเดิม ในการถ่ายวีดีโอกล้องหน้านั้นจะรองรับการถ่ายที่ FHD เท่านั้น เหมือนเดิมครับและมุมภาพอาจจะแคบนิดหน่อย ส่วนโทนภาพในกล้องหน้านั้น ทำได้ค่อนข้างดีทั้งในสภาพแสงน้อยและกลางวันสีตรงอยู่เหมือนกันแต่เรื่องของความใส เนียนอาจจะไม่ได้เยอะมากครับ กล้องหน้าเลยไม่ได้เด่นเท่าไร
VIDEO
งานวีดีโอนั้นทำได้ดีขึ้นแบบชัดเจนทั้งเรื่องของการกันสั่นและฟีเจอร์ที่แทรกเข้ามาเพิ่มรวมถึงการรองรับนั้นยังคงทำได้สูงสุด 4K 60FPS ในส่วนของกล้องหลัง โหมด Super Stable ด้วยเช่นกันครับ และเรื่องไมค์ที่ใช้เทคโนโลยีจาก OZO เข้ามาทำให้เรื่องเสียงพัฒนาแบบก้าวกระโดดขึ้นมาครับ ทั้งซูมเสียง การอัดเสียงที่ทิศทางล้อมรอบได้ดี รวมถึงตัดเสียงได้ดีครับ แต่กล้องหน้านั้นน่าเสียดายว่ายังรองรับแค่ FHD และไม่มีพวก Beauty อะไรมาให้ครับ โดยรวมนั้นงานวีดีโอทำงานได้ดี กันสั่นทำได้ดีจริงๆ รองรับทั้ง OIS EIS และกันสั่นเทพก็ใส่เข้ามาแล้วในตัว FHD 30FPS /4K30FPS ส่วนตัวคุณภาพสีสันต่างๆนั้นทำได้สมจริงและแม่นพอสมควร แม้จะมีดันสีสดบ้างในโทนสีเขียวบางช่วงครับ ส่วนกล้องหน้านั้นมุมจะแคบไปมากพอสมควรและไม่มีหน้าเนียนหรือ 4K มาให้อันนี้แอบเสียดายมากๆเหมือนเดิมเลยครับในจุดนี้
ONEPLUS 8 PRO
” เรือธงจาก ONEPLUS ที่ทำได้ลงตัวที่สุด ปรับปรุงทุกจุดให้ดีขึ้นจนครบเครื่อง “
ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงในเรื่องของสเปคให้มันลงตัวขึ้น แต่ถ้ามองความโดดเด่นเมื่อเทียบกับงานออกแบบในรุ่นก่อนมันไม่ค่อยจะแตกต่างกันเท่าไรนักอีกทั้งหน้าจอก็มีจุดเพิ่มเข้ามาจากไร้ขอบ รวมถึงถ้ามองเทียบสเปคความว้าวกับเรือธงตัวอื่นมันกลับทำได้ธรรมดามากๆ แต่ในความเป็น 1+ นั้นยังมีหลายๆจุดที่โดดเด่น คงหนีไม่พ้นระบบที่นิ่ง ลื่นไหล และ อัปเดตไว รวมถึงการใช้งานที่สามารถตอบโจทย์การใช้งานได้สบายๆในหลายๆด้านทั้งกล้อง ลำโพง ความเร็วแรง วัสดุงานประกอบที่ดูดีก็ยังคงทำได้เด่นเช่นเดิมครับ ถ้ามองเทียบกับรุ่นเก่ามันพัฒนาจุดด้อยให้มันดีขึ้นทุกด้านและลงตัวขึ้นมาก ใครสาวกค่ายนี้คงจะพอใจมากๆ แต่ถ้าเทียบค่ายอื่นมันก็อาจจะไม่ได้เด่นซักเท่าไรนั้นเอง
ข้อดี
- หน้าจอ 120Hz พร้อมกับความละเอียด QHD+ ทำได้ดี ลื่นไหลสวย และติดนิ้วมาก
- ระบบเสียง การอัดเสียง ไมค์ทำได้ดีรองรับได้ชัดเจน ซูมเสียงได้ รอบทิศทางเด่น
- ประสิทธิภาพในรุ่นนี้ทำได้ดีเช่นเดิมในการใช้ SNAPDRAGON 865
- วัสดุงานประกอบ และ โทนสีสวยงามขึ้น
- รองรับการกันน้ำอย่างเต็มรูปแบบ IP68
- รองรับการใช้งานชาร์จไร้สาย สูงถึง 30W
- รองรับการใช้งานชาร์จย้อนกลับให้เครื่องอื่น
- กล้องหลังพัฒนาทำได้ดีขึ้น ในตัวเลนส์มุมกว้าง และ การโฟกัส
ข้อสังเกต
- ซอฟต์แวร์กล้องยังไม่ได้เด่นเท่าไร และ เพี้ยนอยู่พอสมควร
- กล้องหน้ายังไม่ได้พัฒนาจากเดิมมากนัก ถ่ายได้แค่ FHD 30FPS ในเรือธงราคานี้
- มาในความจุเดียว ราคาเดียว อาจจะตัวเลือกน้อยไปหน่อย
สำหรับรีวิวนี้ผมก็ต้องขอตัวลาไปก่อนสำหรับรุ่นอื่นๆก็ติดตามกันได้เลย ถูกใจฝากกดไลค์กดแชร์ด้วยนะครับ มีข้อผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ เพื่อนๆสนใจอยากให้พวกผมรีวิวรุ่นไหนสามารถ Inbox มาบอกเราได้เลยนะ
ฝากไลค์เพจ FACEBOOK เราด้วยนะครับ >>>>>>>>> TECHHANGOUT
เข้าร่วมกลุ่ม TECHHANGOUT พูดคุยแลกเปลี่ยน ข้อมูล คุยกันเองชิลๆได้เลยที่ — Facebook Techhangout พูดคุย Smartphone gadget
Review by Nineztr
*รูปถ่ายจากกล้องมือถือทุกรูป ไม่มีการปรับแต่ง และ สามารถกดดูไฟล์เต็มแบบต้นฉบับได้นะครับ