AUDI ประเทศไทยเดินหน้าเปิดตัวกันอย่างต่อเนื่องในเดือนนี้บอกเลยว่าเป็นค่ายที่ลุยแบบจัดเต็มในหลายๆเรื่องทั้ง รถยนต์ไฟฟ้า และ ตระกูลแรง RS และในครั้งนี้ได้ทำการเปิดตัว AUDI RS E TRON GT และ E TRON GT รุ่นปกติครับ เป็นรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นล่าสุดของทางค่าย และ เป็นรุ่นที่ 3 ที่นำเข้ามาขายในไทย รวมถึงในครั้งนี้เป็นประเทศแรกในอาเซียน ทั้งหมดที่ได้สัมผัสคันจริงแบบ  EXCLUSIVE ในประเทศไทย และมีเพียง 8 ที่ทั่วโลกเท่านั้นที่ได้สัมผัสกันแบบนี้ครับ แน่นอนว่าสมการรอคอย และพึ่งเปิดตัวในตลาดโลกไปไม่นานเลย และเป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่สวยและลงตัวที่สุดในตอนนี้เลยก็ว่าได้ครับ ทางด้าน E-TRON GT เปิดราคา เริ่ม 6.39 ล้านบาทนำเข้าทั้งคัน  ผลิตจากโรงงาน Böllinger Höfe ประเทศเยอรมัน ซึ่งเป็นโรงงาน Carbon-Neutral ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และ สุดที่ 9.49 ล้านบาทในตัวแรงที่สุด RS นั้นเองเรียกได้ว่าเป็น Supercar ในบรรดา EV เลยก็ว่าได้สำหรับรุ่นนี้ของAUDI

EXTERIOR

แน่นอนว่างานออกแบบภายนอกนั้นถือว่ามีความสวยงามและดุดันมากขึ้นกระจังหน้าสีดำล้วน ลายล้อขนาดใหญ่ การตกแต่งรอบคัน คาร์บอนต่างๆทำให้ RS นั้นโดดเด่น และในรุ่น RS นั้นจะมาพร้อมกับ ควบคุมการขับเคลื่อนมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตำแหน่ง ให้พละกำลังสูงถึง 646 แรงม้า ใน Boost Mode แรงบิดสูงสุด 830 นิวตันเมตร อัตราเร่ง 0100 กม./ชม. เพียง 3.3 วินาที ใน Boost Mode ความเร็วสูงสุด 250 กม./ชม. สามารถขับได้ไกลถึง 504 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง (ทดสอบตามมาตรฐาน NEDC) นอกจากนี้ Audi RS e-tron GT quattro ยังติดตั้งพวงมาลัยไฟฟ้าแบบ All-wheel steering ถือว่าพละกำลังทำได้โหดมากๆ และ Boost Mode เร่ง 0-100 แค่ 3.3 วินาทีเท่านั้น ถือว่าแรงมากๆเทียบระดับ Supercar ได้สบาย ส่วนช่วงล่าง RS ก็แตกต่างกว่ารุ่นทั่วไปด้วยครับ

งานออกแบบรูปทรงนั้นอาจจะคุ้นเคยหรือว่าคล้ายกันเพราะว่าค่ายนี้จะเป็นเครือเดียวกับ PORSCHE นั้นเองในรุ่น TAYCAN มีการร่วมพัฒนาอะไรกันด้วยเช่นกันครับทำให้รูปทรงถือว่าสวยและดูดี รวมถึงเรื่องของการออกแบบช่องลม การคิดเรื่องแรงเสียดทานต่างๆค่าทำได้ 0.24 เท่านั้นถือว่าลู่ลมมากๆครับ และช่องดักลม ช่องระบายลมทุกอย่างเป็นช่องจริงๆทั้งหมดเลยนั้นเองถือว่าสวยและใช้งานได้จริง รวมถึงตัว RS จะได้ล้อขนาดใหญ่ที่สุดที่ 21 นิ้วด้วยนะ ส่วนเรื่องของฟีเจอร์ระบบนั้นให้มาครบๆ มาพร้อมเทคโนโลยีระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ ทั้งระบบแจ้งเตือนเมื่อรถออกนอกเลน ระบบแจ้งเตือนจุดอับสายตาเมื่อเปลี่ยนเลน ระบบแจ้งเตือนสภาพแวดล้อมด้านหน้ารถเมื่ออยู่ทางแยก ระบบแจ้งเตือนสภาพแวดล้อมด้านข้างและด้านท้ายรถเมื่อจะเปิดประตูลงจากรถ ระบบแจ้งเตือนสภาพแวดล้อมด้านข้างและด้านท้ายรถเมื่อเข้าเกียร์ถอยหลัง เรียกได้ว่าระบบความปลอดภัยจัดเต็มที่สุดที่เอาเข้ามาขายในไทยเลยครับ

นวัตกรรมไฟหน้า Matrix LED with Laser light ลำแสงคมชัด ทัศนวิสัยกว้างไกล ซึ่งให้ระยะการส่องสว่างของไฟสูงได้ไกลกว่าไฟ LED ถึงสองเท่า สามารถลดการกระจายแสงรบกวนแก่เพื่อนร่วมทาง ทั้งรถที่สวนทางและรถคันที่อยู่ด้านหน้า ส่งผลทำให้ผู้ขับขี่ได้รับความสะดวกสบายมากขึ้น ขณะที่ไฟท้ายแบบ LED เช่นกัน พร้อมเอฟเฟกต์ Light staging เมื่อปลดล็อครถ และ รวมถึงไฟท้ายที่เป็นการออกแบบแนวเส้นยาว ตามตระกูล E-TRON สวยงามพร้อมกับ ไฟเลี้ยวแบบวิ่ง และไฟตอนปลดล็อค หรือ ล็อคก็ยังคงใส่เข้ามาให้ในตัวนี้ครับดีเทลรายละเอียดไฟสวยงามมากๆ และเป็นค่ายที่เทคโนโลยีไฟหน้า ไฟท้าย งานออกแบบเรียกได้ว่าล้ำอันดับต้นๆของบรรดาค่ายรถยนต์เลย

จะเห็นว่ารูปทรง ดีเทลในหลายๆส่วนของตัวรถทำออกมาดูแล้วค่อนข้างใส่ใจอย่างมากครับ ทั้งเรื่องของกระจังหน้าที่แม้จะเป็นสีดำแบบ RS รวมถึงโลโก้ดำอาจจะดูกลืนๆไปนิดหน่อย แต่ก็ยังใส่ Detail ลวดลายบนกระจังหน้าเสริมเข้ามาให้ดูมีมิติขึ้นครับ แต่เอาจริงๆน่าจะทำเป็นสีหรือมีกรอบให้เด่นขึ้นน่าจะสวยกว่านี้นะ มันแอบดูกลืนไปนิดๆ และทางด้านช่องดักลมด้านข้างนั้นเป็นช่องจริงๆทั้งหมดพร้อมกับการตกแต่งแบบ Carbon ทั้งหมดเลยดูดีเทลชิ้นงานทำได้ดี

รวมถึงกระจกมองข้างแบบก็เป็นวัสดุแบบ Carbon ทั้งหมดพร้อมไฟเลี้ยว และ กล้องรอบคันในตัวครับ พร้อมระบบแจ้งเตือนมุมบอดอะไรใส่เข้ามาครบ ทางด้านล้อนั้นจะแตกต่างกันในลวดลายแต่ละรุ่นย่อยนะครับ เริ่มต้น 20 นิ้ว และมาจบที่ 21 นิ้ และ rs 21 นิ้วจะเป็นลวดลายพิเศษแบบในภาพพร้อมกับ คาลิปเปอร์เบรคสีแดงที่เด่นขึ้นกว่าเดิม รวมถึงช่องระบายอากาศในด้านหลังล้อช่วยได้ในเรื่องของการจัดการลมวนหลังตัวล้อหน้าได้ดีมากขึ้นไปอีกด้วยครับ

หลังคามาตรฐานนั้นจะเป็นหลังคากระจก Panoramic นะครับแต่ถ้าใครอยากเทพอยากเบาใช้งาน หลังคา Carbon ทำให้ดูสวยและดุดันมากขึ้นและลดน้ำหนักตัวรถไปได้มากถึง 8 กิโลกรัมเลยทีเดียวครับส่วนล้อหลังตัวนี้ก็มาพร้อมกับระบบ เลี้ยวตามพวงมาลัยได้ทำให้การเข้าโค้งและการกลับรถนั้นง่ายและสั้นมากขึ้น จะมีแค่ใน RS เท่านั้นครับ รวมถึงการออกแบบฝากระโปรงหลังการเติมสีดำต่อจากกระจกหลังทำให้าท้ายดูคล้ายกับ Sportback มากขึ้น ดูกระจกยาวกว่าเดิมเยอะมากถือว่าออกแบบมาได้ดีครับ และ สปอยเลอร์หลังสามารถปรับยกได้ อัตโนมัติหรือตั้งได้

ในเรื่องของการจัดการอากาศด้านหลังรถสามารถจัดการได้ดี นอกเหนือจาก สปอยเลอร์หลังที่ทำงานเองแล้วนั้นยังมี Diffuser ด้านหลังส่วนล่างที่ใช้งานได้จริงเพราะว่าใต้ท้องนั้นเรียบๆ และสานต่อมาถึงขีดด้านหลังทำให้การจัดการอากาศนั้นทำออกมาได้ดี และดูสวยงามพร้อมกับการเสริมชิ้นส่วน Carbon ทำให้ดูสวยและดูดุดันขึ้นแบบชัดเจน

INTERIOR

งานออกแบบต้องบอกว่าเป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่ออกแบบได้มีความหวือหวาและมีความสวยงาม มากกว่าการใช้งานหน้าตาแบบ จอแปะในสมัยนี้จริงๆยังคงชอบงานออกแบบแบบนี้ของทาง AUDI อยู่เช่นกันครับ มาพร้อมกับ ภายในตกแต่งแบบสปอร์ต ด้วยพวงมาลัยไฟฟ้าแบบ Optimized Progressive แบบมัลติฟังก์ชั่น สปอร์ตท้ายตัด หุ้มหนัง หน้าจอ Virtual cockpit plus ขนาด 12.3 นิ้ว แสดงผลมาตรวัดความเร็วและรอบเครื่อง พร้อมติดตั้งระบบ Cruise control และ ระบบ MMI Navigation plus พร้อมหน้าจอแบบสัมผัสขนาด 10.1 นิ้ว ติดตั้งพร้อม ระบบ Audi smartphone interface และรองรับการเชื่อมต่อ Bluetooth ทางอาวดี้ติดตั้งช่อง USB-C สำหรับห้องโดยสารด้านหน้า      2ตำแหน่ง และ USB สำหรับห้องโดยสารด้านหลัง 2 ตำแหน่ง เพื่อรับรองความต้องการของผู้ใช้งานอย่างเต็มที่ จัดเต็มด้วยระบบเครื่องเสียงระดับพรีเมียม Bang & Olufsen แบบ 3 มิติ พร้อมไฟเรืองแสงในห้องโดยสาร 30 สี เบาะนั่งคู่หน้าแบบ Sports ระบบควบคุมอุณหภูมิอัตโนมัติ ควบคุมอุณหภูมิแยกอิสระ 3 โซน

ห้องโดยสารตกแต่งด้วยลาย Matte Carbon Twill ด้านข้างของคอนโซลตรงกลางหุ้มหนัง Alcantara สีดำตกแต่งด้วยด้ายสีแดง ทำให้ดูสวยดุดัน และสปอร์ตเพิ่มขึ้น ที่วางแขนข้างประตูหุ้มหนัง Fine Nappa ตกแต่งด้วยด้ายสีแดง เอกลักษณ์โดดเด่นแสดงให้เห็นความสปอร์ตด้วยสายเข็มขัดนิรภัยสีแดงล้วน พรมในห้องโดยสารด้านหน้าสีดำตกแต่งด้วยด้ายสีแดง เบาะนั่งคู่หน้าแบบ Sports Pro ตกแต่งแบบ Honeycomb พร้อมฟังก์ชั่นระบายอากาศ และนวดเพื่อการผ่อนคลาย สำหรับเบาะนั่งคู่หน้า  ภายในที่กว้างขวางตามแบบฉบับของ Audi Sport เท่าที่ลองนั่งนั้นเรียกได้ว่าในด้านหน้ากว้างขวางกว่าที่คิด และในด้านหลังนั้นก็สบายหัวไม่ติดเวลานั่งสำหรับคนสูง 180ครับ และพื้นที่วางขาอะไรนั้นกำลังดีเลยทีเดียวถือว่าสบายและโปร่งกว่าที่คิดแต่ก็ไม่ได้เหลือมากเท่าไรนัก

พวงมาลัยตัว RS นั้นจะเป็นหนังกลับทั้งหมด วัสดุพรีเมี่ยมมากๆพร้อมกับรูปทรงที่เราคุ้นเคยกันในรุ่นอื่นๆของRS พร้อมกับโลโก้ RS ในมุมล่างของพวงมาลัยแบบขอบตัดครับ พร้อมกับ Paddle Shift สำหรับการหน่วงตัวรถเวลาลงเขาหรือ เจนพลังงานเข้าแบตนั้นเอง ด้านคอนโซลกลางนั้นยังคงมีความเป็นรถยนต์อยู่มากครับ ไม่ได้ใช้งานหน้าจอแปะเรียบๆ ทำให้มันดูมีความสวยและมีความอลังการอยู่ หน้าจอการปรับแอร์ ช่องแอร์ต่างๆนั้นจัดวางตำแหน่งที่ใช้งานได้ง่ายไม่ติดอะไรเลยครับปรับแอร์ได้ด้วยมือ ไม่ต้องผ่านหน้าจอรวมถึง ตัวเกียร์นั้นล้ำมากๆ เป็นแค่ตัวเลื่อน เท่านั้นพร้อมกับ ปุ่ม Start ในด้านบนและช่องเก็บของ กุญแจด้านข้าง และที่วางแก้ว 2 ตำแหน่งด้านหน้าครับ

มาตรวัด Virtual cockpit plus ขนาด 12.3 นิ้ว รองรับการใช้งานเต็มๆหน้าจอพร้อมกับสามารถปรับแต่งอะไรได้ทั้งหมดเหมือนกับรุ่นอื่นๆครับจะเห็นว่าในเมืองนอกมีการใส่กล้องมองกลางคืนมาด้วยนะล้ำสุดๆเลยแหละ ส่วนคุณภาพรายละเอียดของตัวหน้าจอยังคงมีความคมชัดและสวยงามเช่นเดิม งานออกแบบภายในจะเน้นเดินด้ายสีแดง เข็มขัดสีแดง พร้อมกับไฟ Ambient Light หลากหลายตำแหน่งเสริมเข้ามาพร้อมกับเขียน e-tron ชัดๆเข้ามา

ความจุของพื้นที่เก็บสัมภาระด้านหน้า 85 ลิตร ด้านหลัง 405 ลิตร ถือว่าเหลือๆในการใช้งานจริงครับและฝาท้ายรองรับระบบไฟฟ้า พร้อมกับ เตะเปิดได้ ส่วนในด้านหน้านั้นจะแปลกนิดนึง ตัวเปิดฝากระโปรงหน้าจะอยู่ตรงประตูในภาพครบ ขอบประตูเลยนั้นเองบอกเลยว่าอาจจะหายากกันนิดหน่อย พร้อมกับไฟส่องโลโก้ e-tron gt สวยงามครับ

ตัวกุญแจนั้นเป็นรูปทรงที่คุ้นเคยกันในรุ่นอื่นๆของตระกูล RS จะมีเขียน RS สวยงามในด้านหลังครับและเมื่อปลดล็อคจะมี อนิเมชั่นไฟวิ่งในด้านหน้า และ ด้านหลัง บอกเลยว่าเป็นฟีเจอร์ที่ค่ายนี้ล้ำเกินหน้าค่ายอื่นๆแบบชัดเจนครับ

CHARGING PORT

ในเรื่องของระบบขับเคลื่อนนั้นทั้ง 3 รุ่นย่อยจะใช้ความจุแบตเดียวกันทั้งหมดแต่จะแตกต่างกันที่ พละกำลังครับ และ การชาร์จไฟเข้า ซึ่งตัวเริ่มต้นจะชาร์จไฟเข้าได้ 11Kw สูงสุดใน AC ครับ แต่ถ้ารุ่น Performance และ RS จะได้ 22Kw ส่วน DC นั้นจะเท่ากันทั้งหมดครับ และแตกต่างกันเรื่องของพละกำลังและระยะทางซึ่งรุ่นเริ่มต้นจะวิ่งได้ไกลที่สดนั้นเอง    Audi e-tron GT quattro และ e-tron GT quattro Performance ติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ e-motors ให้กำลังรวมสูงสุด 530 แรงม้า ใน Boost Mode แรงบิดสูงสุด 630 นิวตัน-เมตร ทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลา 4.1 วินาที ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 245 กม./ชม. พร้อมแบตเตอรี่ขนาด 93.4 kWh ที่สามารถขับขี่ได้เป็นระยะทางราว 540 กิโลเมตรตามมาตรฐาน NEDC. Audi RS e-tron GT quattro ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว ให้กำลังรวมสูงสุด 646 แรงม้า (ใน Boost Mode) แรงบิดสูงสุด 830 นิวตัน-เมตร สามารถเร่งความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ได้ในเวลา 3.3 วินาที (ใน Boost Mode) ทำความเร็วสูงสุดได้ 250 กม./ชม. พร้อมแบตเตอรี่ที่สามารถขับขี่ได้เป็นระยะทางราว 504 กิโลเมตรต่อการชาร์จแต่ละครั้ง ถือว่าถ้าเน้นในเรื่องของพละกำลัง การขับขี่ตัวนี้ทำออกมาได้น่าสนใจที่สุดครับ และยังมีเลี้ยว 4 ล้อเสริมเข้ามาให้ด้วยนั้นเอง

และที่ชอบมากๆคือพอร์ตชาร์จให้มาทั้ง 2 ข้างตัวรถ รองรับการจอดได้อิสระไม่ต้องดูทิศทางอะไรให้ยุ่งยากครับ และ แต่ละฝั่งนั้นจะแตกต่างกัน ในด้านฝั่งเดียวกับพวงมาลัยจะเป็นการชาร์จ AC ส่วนฝั่งตรงข้ามนั้นจะเป็น AC+DC นั้นเองครับทำให้การรองรับการชาร์จนั้นสบายๆและ รองรับการชาร์จได้ไวตามกระแสไฟฟ้าสูงสุดที่จ่ายได้ของ DC เลย

AUDI RS  E TRON GT 

The New Audi e-tron GT เป็นยนตรกรรมพลังงานไฟฟ้า 100% รุ่นที่ 3 ที่ทาง อาวดี้ ประเทศไทย นำเข้ามาจำหน่าย พร้อมข้อเสนอราคาพิเศษเริ่มต้นเพียง 6,390,000 บาท สำหรับรุ่น   e-tron GT quattro ส่วน e-tron GT quattro Performance ราคาเพียง 6,790,000 บาท และตัวท็อปที่สุดคือ RS e-tron GT quattro เปิดตัวในราคาเพียง 9,490,000 บาท Audi เป็นรถยนต์นำเข้าทุกรุ่น ลูกค้าที่ออกรถใหม่จะได้รับการดูแลจาก Audi Protection การรับประกันรถใหม่ 5 ปี หรือระยะทาง 150,000 กิโลเมตร แล้วแต่ระยะใดถึงก่อน รถไฟฟ้า Audi e-tron ใหม่ทุกรุ่นรับประกันแบตเตอรี่อยู่ที่ 8 ปีหรือ 160,000 กิโลเมตร แล้วแต่ระยะใดถึงก่อน และบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน Roadside Assistance ทั่วประเทศ 24ชั่วโมง นาน 5 ปี ถือว่าเป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่น่าเล่นที่สุดคันนึง