FERRARI ROMA เปิดตัวเป็นรุ่นล่าสุดในประเทศไทยและถือว่าเป็นรถคูเป้ตัวล่าสุดสานต่อจาก 250GT ในยุคก่อนหน้าเลยครับ และใน Ferrari Roma ถือเป็นรถคูเป้เครื่องยนต์ V8 วางหน้าต่อเนื่องจาก Portofino ครับในปีนี้ถือว่าเปิดตัวกันเยอะมากสำหรับค่ายม้าลำพอง ทางด้าน Ferrari ROMA เองนั้นถือว่าตอนเปิดตัวเป็นอะไรที่แปลกใหม่มากๆสำหรับค่ายนี้เพราะด้วยดีไซน์ที่เราเห็นนั้นมีความแตกต่างกับม้าลำพองทุกรุ่น และยังมีการออกแบบที่ทำมาเพื่อแข่งกับ Aston Martin แบบชัดเจนในคู่แข่งรถแนวนี้ แน่นอนว่ามันเป็นการกล้าเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่เราเคยบอกว่าม้าลำพอง FERRARI นั้นมีการเปลี่ยนแปลงงานออกแบบทั้งหมด กล้าออกแบบมากขึ้นนั้นเองครับ สำหรับเจ้า ROMA คันนี้จะเป็นการดึงเอาดีไซน์งานออกแบบ โรม ยุคคลาสสิกมาผสมผสานกับงานออกแบบสมัยใหม่ให้มันมีความเรียบง่ายและหรู รวมถึงเราไม่เคยเห็น FERRARI ทำรถออกแบบแนวนี้มาก่อนเลยก็ว่าได้ครับ ทางด้านในรุ่นนี้มีการยกงานออกแบบจาก SF90 STADALE มาบางส่วนและใช้งานหน้าจอสัมผัส หน้าจอดิจิทัลทั้งหมด แต่มีความหรูหราและใช้งานได้แบบในชีวิตประจำวันมากขึ้นเยอะครับ ส่วนทางด้านราคานั้นจะอยู่ที่ ราคา 21.23 ล้านบาท เริ่มต้นครับไม่นับพวก คาร์บอน รอบๆคันครับ คันนี้จะเป็นสีพิเศษ เพิ่มเงินอีก 1.4 ล้านบาท และ จบที่ 29 ล้านบาท ถือว่าราคาทำได้กำลังดีเมื่อเทียบกับงานออกแบบและรูปทรงแบบนี้รวมถึงเทคโนโลยีแน่นๆด้วยเช่นกัน
EXTERIOR
ภายนอกนั้นเราจะเห็นถึงรูปทรงที่ค่อนข้างแปลกตากว่ารุ่นก่อนๆครับทั้งหมดเลยจริงๆ ถ้ามองผ่านๆหลายๆคนอาจจะมองว่าเป็นพวก Aston Martin ก็ไม่ผิดจริงๆเพราะด้วยสีรูปทรงของมันครับ แต่ก็ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เพราะในยุคก่อนๆเราแทบจะไม่ค่อยได้เห็นดีไซน์ทรงและการออกแบบอะไรแนวนี้มาจากทาง FERRARI เท่าไรเลยครับแน่นอนว่าทั้งเรื่องของโทนสี รูปทรงดีไซน์ทั้งด้านหน้าด้านท้ายนั้นมีความโดดเด่นกว่าพี่น้องร่วมค่ายทุกคัน และด้วยเป็นรถเครื่องวางหน้ารูปทรง Sportback แบบนี้เรายิ่งไม่ค่อยเห็นจากค่ายนี้เท่าไรครับ ดีไซน์ในภาพรวมนั้นมันจะมีความย้อนยุคไปสมัย 250GT พวกนั้นจริงๆและมีหลายๆส่วนในการออกแบบที่จะใช้แนวทางคลาสสิกทั้งเรื่องของไฟเลี้ยวด้านข้าง และกระจังหน้าแบบเก่าที่เป็นช่องๆรวมถึง ภายในก็มีด้วยเช่นกันครับในการออกแบบทั้งหมด
แม้ว่าจะเป็นดีไซน์ที่ค่อนข้างใช้งานทั่วไปขับทั่วไปแนว Coupe Sportback ก็ตามแต่ในเรื่องของการออกแบบเน้นในเรื่องของ Aerodynamic นั้นยังคงมีและเน้นเช่นกันครับในด้านหน้าและด้านข้างจะเห็นเส้นสายที่ต่อเนื่องและลื่นไหลมากจริงๆ และในช่วงชายล่างจะเป็นคาร์บอนทั้งหมด และยังมีครีบรีดอากาศในหลายๆส่วนแม้จะไม่ได้เยอะเท่าพวก Supercar สายแรงซิ่งอะไรพวกนั้นแต่ก็ถือว่ามีส่วนเยอะพอสมควร แต่ก็ยังคงเอกลัษณ์ความหรูหราเข้ามาได้ครับ จริงๆถือว่าด้านหน้านั้นแอบมีกลิ่นอายของ Monza SP1 -2 พอสมควรโดยเฉพาะไฟหน้าและทรงรวมๆ และทางด้านตัวรถนั้นมีส่วนโค้งเว้า และตรงซุ้มล้อนั้นมีความนูนขึ้นมาเยอะมากและเส้นสายบ่ามีความต่อเนื่องดูดีมากจะเห็นว่าด้านท้ายนั้นรูปทรงไฟท้ายก็แปลกตาครับพร้อมกับชุดชายล่างแบบใหม่และ 4 ท่อมุมสวยงามพร้อมที่รีดอากาศ
เมื่อมาดูรายละเอียดเป็นส่วนๆของตัวรถจะเห็นว่าดีเทลแต่ละส่วนนั้นมีการผสมผสานในเรื่องของการออกแบบทั้งยุคคลาสสิกและยุคใหม่เข้าด้วยกันครับ ในส่วนของตัว กระจกมองข้างนั้นจะเป็นทรงใหม่เล่น 2 สีและทรงรีดอากาศได้ค่อนข้างดีพร้อมกับทรงก้านที่สวยงามและแบนมากๆและสามารถพับได้ด้วยระบบไฟฟ้าครับ แต่ไฟเลี้ยวข้างนั้นจะเป็นตรงข้างตัวรถแบบรถยุคเก่าแทนครับ ส่วนด้านหลังนั้นจะเป็นว่ามันไม่มี สปอยเลอร์อะไรแบบขึ้นมาแต่จะเป็นครีบสีดำที่เขียนว่า Ferrari นั้นเองครับเพราะว่าตัวนี้จะเป็นที่รัดอากาศเวลาขับเร็ว และช่วยในการควบคุมอากาศกดตัวรถได้ในการเข้าโค้งหรือขับเร็ว รวมถึงเมื่อจะเบรกแรงๆนั้นตัวสปอยเลอร์จะทำหน้าที่ตั้งชันที่สุดเพื่อต้านอากาศ ซึ่งจะช่วยในการเบรกครับ ส่วนล้อตัวนี้ให้มาลาย 5 ก้านขนาด 20 นิ้ว พร้อมกับเบรกสีเงินขนาดใหญ่พอสมควร ส่วนตัวกระจังหน้านั้นจะเป็นการออกแบบที่แปลกตามากๆ เพราะว่าเป็นกระจังหน้าแบบที่คุ้นกันในรถคลาสสิกครับ แต่รุ่นนี้ปรับมาใช้งานได้อย่างดีเลยดูลงตัว และเข้ากับตัวรถได้ดีมากๆ จะเห็นว่าชิ้นล่างเป็นคาร์บอน แยกส่วนกันชัดเจนเลยครับ
ไฟหน้านั้นยกทรงดีไซน์มาจากรุ่นพิเศษ Monza SP1- SP2 ครับและใช้งานไฟ LED ล้วนทั้งไฟเลี้ยว ไฟหน้าต่างๆและใช้งาน MATRIX LED แบบเดียวกับ SF90 STRADALE ด้วยรวมถึงในส่วนของไฟท้ายเปลี่ยนแปลงชัดเจนมากเราจะไม่เคยเห็นทรงไฟท้ายแบบนี้ใน Ferrari มาก่อนเลยครับ รวมถึงในตัวนี้เป็นไฟ LED ทั้งหมดเป็นเส้นสวยงามทั้งไฟเบรกและไฟเลี้ยว ส่วนไฟถอยอยู่ตรงกันชนล่างครับในด้านหลัง ส่วนตัวไฟเลี้ยวข้างตัวรถนั้นมีความคลาสสิกมาก เพราะว่าตัวนี้จะเป็นทรงกลมๆแบบที่เราเห็นในรถยุคเก่าๆของค่ายนี้ถือว่าเป็นจุดเล็กๆที่ใส่ใจเลย
ตัวฝาท้ายรุ่นนี้แน่นอนว่าแม้จะเป็น Sportback ก็ตามแต่ตัวฝาท้ายตัวนี้จะเปิดขึ้นมาแบบสั้นๆไม่ได้เปิดทั้งกระจกหลังแบบตัวอื่นๆนะครับ ก็ถือว่าแปลกตาเหมือนกันเมื่อเทียบกับทรงรถแนวนี้ส่วนห้องเก็บของเยอะพอสมควรเลย ในส่วนนี้สำหรับใส่ของใช้งานทั่วไปได้ดีมาก แม้จะดูพื้นที่ข้างหลังไม่ค่อยเยอะเพราะท้ายสั้นแต่จริงๆแล้วใส่ได้เยอะมาก แต่ไฟท้ายจะไม่ได้ใช้ระบบไฟฟ้าอะไรนะครับ เมื่อดูภาพด้านบนจะเห็นว่าไฟท้ายมีมิติอะไรสวยเลยแหละครับตรงนี้
สำหรับห้องเครื่องนั้นรุ่นนี้การออกแบบตัวรถนั้นหน้ายาวมากๆ และเป็นเครื่องยนต์แบบวางหน้าทำให้ทรงรถนั้นดูสวยและเด่นมาก แน่นอนว่าการเปิดฝาก็ดึงจากตรงใต้พวงมาลัยได้ครับ เมื่อเปิดมานั้นจะเป็นเครื่องยนต์ วางหน้า เบนซิน 3.9 ลิตร V8 ทวินเทอร์โบ 620 แรงม้า แรงบิด 760 Nm.มาพร้อมเกียร์ 8 สปีด Dual clutch ที่เป็นตัวเกียร์ที่ยกมาจากSF90 Stradale และในรุ่นนี้นั้นจะใช้งานขับเคลื่อนล้อหลัง RWD อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม.ภายใน 3.4 วินาที และ 0-200 กม./ชม.ภายใน 9.3 วินาที กับความเร็วสูงสุดที่ 320 กม./ชม. ถือว่าเรื่องเครื่องยนต์นั้นเอาเรื่องและได้ใช้เทคโนโลยีใหม่ๆจากทาง SF90 STRADALE ด้วยครับถือว่าน่าสนใจและแรงเกินหน้าตาของมันเยอะ
INTERIOR
งานออกแบบในรุ่นนี้ยังคงเน้นความหรูหราใช้งานได้จริงเป็นหลักเราจะเป็นว่ามันมีหลายๆส่วนที่เอามาจาก SF90 STRADALE ทั้งเรื่องของกุญแจ หน้าปัดเรือนไมล์แบบดิจิทัลล้วน รวมถึงทรงพวงมาลัยและการควบคุมแบบสัมผัส แต่ในรุ่น FERRARI ROMA นั้นจะเป็นรุ่นที่เน้นเรื่องของความหรูหรามากขึ้น ทำให้มีการแตกแต่งภายในใหม่ทั้งหมด ทั้งการเล่นโทนสี มีไฟภายในสวยงาม คอนโซลกลางที่มีการควบคุมอะไรต่างๆ และพื้นที่นั่งลุกเข้าง่ายขึ้น
ภายในเราจะเห็นเป็นการใส่สีขาวเข้ามาผสมกับคาร์บอนและหนังสีดำตัดกันสวยงาม และดูหรูมากๆในส่วนภายในให้ความรู้สึกแตกต่างกับ SF90 ชัดเจนเลยแหละ และตรงคอนโซลกลางนั้นจะแบ่งแยกทั้ง 2 ฝั่งชัดเจนและมีความสูงมากๆครับ และในตัวคนนั่งข้างคนขับนั้นจะเป็นหน้าจอด้วยเช่นกันสำหรับดูข้อมูลต่างๆถือว่าใส่มาในหลายๆรุ่น เมื่อดูดีไซน์ภายในนั้นมีความหรูอันดับต้นๆของค่ายนี้ไปแล้วครับ และตัวเกียร์ก็ยกมาจาก SF90 STADALE ที่เป็นดีไซน์แบบเก่าคลาสสิกครับ แต่เป็นแบบกดเลื่อนเอาล้ำมากๆ และมีที่วางแขนพร้อมช่องเก็บของ และ Apple Carplay อะไรพวกนี้ก็เสียบตรงที่วางแขนได้เลยครับ ส่วนข้างหลังมีที่นั่งด้วยแต่เล็กมากๆตามสไตล์รถพวกนี้ครับ
คอนโซลกลางนั้นเราจะเห็นว่าเมื่อดูดีเทลดีๆจะเห็นตัววัสดุที่เป็นหนังกลับ และหนังสีขาวผสมกับโครเมียมและคาร์บอนไฟเบอร์ด้วยครับถือว่าดีไซน์เข้ากันได้ดีเลยทีเดียว ดูหรูหราและพรีเมียมขั้นสุดเลย ส่วนจอกลางนั้นจะเป็นการควบคุมส่วนต่างๆ และใช้งานทั่วไปเป็นทรงแนวตั้งแทนแล้วครับ จากที่รุ่นก่อนๆจะเป็นแนวนอน และยังมีเขียน FERRARI ตรงกลางด้วยส่วนตัวปุ่มทุกอย่างในคันนี้จะเป็นระบบสัมผัสทั้งหมด ทั้งไฟหน้า ตรงพวงมาลัย สตาร์ทเครื่องยนต์พวกนี้ครับ และที่เปิดประตูก็เป็นกลอนไฟฟ้าเช่นเดียวกัน แค่กดปุ่มมันจะเปิดเด้งออกมาให้เราเลย และทางด้านลำโพงรุ่นนี้ใช้งานของ JBL ด้วยถือว่าเป็นรุ่นระดับสูงของ JBL เลยทีเดียวครับและตัวเบาะมี Memory
เท่าที่ลองนั่งถือว่าเป็นรุ่นที่นั่งสบายครับ ในแง่ของตัวเบาะนุ่มโอบกระชับกำลังดี ความหนาของเบาะกำลังดีพร้อมกับปรับไฟฟ้า และปรับเอน รวมถึงนั่งด้านหลังได้ด้วยแต่พื้นที่ด้านหลังนั้นน้อยมากๆ ส่วนคอนโซลเห็นสูงตรงกลาง เวลานั่งก็ไม่ได้ติดเข่าอะไรครับ รวมถึงไม่ได้อึดอัดด้วย เพราะการใช้โทนสีก็ช่วยได้เยอะและกระจกโปร่งพอสมควรเลย รวมถึงในรุ่นนี้มีที่วางแขนระยะกำลังดี ใช้งานได้จริงและตัวพวงมาลัยก็ปรับให้เข้าตำแหน่งได้ครับ
PRICE
ทางด้านราคาของรุ่นนี้เป็นเริ่มต้นที่ เริ่มต้นที่ 21,230,000 บาท พร้อมวารันตีนาน 3 ปี ไม่จำกัดระยะทาง และในรุ่นที่เรารีวิวนั้นใส่สีออฟชันเสริมประมาณ 29 ล้านบาทไทยครับแน่นอนว่า ด้วยเรทราคาของมันเทียบกับประสิทธิภาพก็ถือว่าไม่แปลกใจ เป็นรุ่นล่าสุดที่เปิดตัวในตลาดโลกและในไทยด้วยเช่นกันครับ ถือว่าเป็นรุ่นที่แปลกตาและน่าสนใจมากๆสำหรับม้าลำพองตัวนี้ครับ สำหรับในครั้งนี้ก็ต้องขอขอบคุณทาง CAVALLINO MOTOR ที่ได้ให้โอกาสมาร่วมสัมผัสเจ้าตัว FERRARI ROMA ในครั้งนี้ด้วยนะครับ
สำหรับพรีวิวนี้เป็นการทำบทความเกี่ยวกับรถยนต์ หรือ สายยานยนต์ของเรา และถ้าหาก มีข้อผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ มีข้อเสนอแนะ หรือข้อนำแนะอะไร ยังไงสามารถแจ้งเราได้เสมอเพื่อการปรับปรุงที่ดีขึ้นครับ เพื่อนๆสนใจอยากให้พวกผมรีวิวรถรุ่นไหนสามารถ Inbox มาบอกเราได้เลยนะ จะพยายามจัดหามาให้อ่านกันเยอะๆ ขึ้นเรื่อยๆ ครับ … สำหรับ Techhangout Auto !
ฝากไลค์เพจ FACEBOOK เราด้วยนะครับ >>>>>>>>> TECHHANGOUT
เข้าร่วมกลุ่ม TECHHANGOUT พูดคุยแลกเปลี่ยน ข้อมูล คุยกันเองชิลๆได้เลยที่ — Facebook Techhangout พูดคุย Smartphone gadget