Apple ได้เปิดตัว iPhone 13 Pro และ 13 Pro Max ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยในรุ่น Pro ทั้งสองได้มีการอัปเกรดจากรุ่นธรรมดาทั้งด้านของฮาร์ดแวร์ ประสิทธิภาพ กล้อง และหน้าจอ ในครั้งนี้ Apple ได้นำฟีเจอร์ “ProMotion” ที่มาพร้อมรีเฟรชเรท 120Hz ทำให้ใช้งานหน้าจอได้ลื่นไหลขึ้น รวมทั้งมีการปรับรีเฟรชเรทอัตโนมัติตั้งแต่ 10Hz-120Hz เพื่อประหยัดพลังงานมาใส่ใน iPhone 13 Pro ทั้งสองรุ่น และแน่นอนว่าครั้งนี้ใส่ สเปกฟีเจอร์ทั้งหมดเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นกล้องหลังต่างๆ แต่รุ่น Pro / Pro Max แตกต่างกันในเรื่องหน้าจอ แบตเท่านั้น ก่อนที่จะขายในไทยวันที่ 1 ตุลาคมนี้ ทางเราขอมาพรีวิวแกะกล่องกันก่อนเปิดตัวในไทยกันเลยว่าดีไซน์เป็นยังไงกัน
Apple iPhone 13 Pro มาพร้อมกับ ขนาดหน้าจอนั้นอยู่ที่ 6.1 นิ้ว OLED Super Retina XDR รีเฟรชเรทปรับอัตโนมัติสูงสุด 120Hz, HDR, เคลือบ Ceramic Shield มีรอยบากกล้องหน้าเล็กลง 20% และมีความสว่างขึ้น 25% ในสภาพแสงกลางแจ้ง ใช้งานชิป Apple A15 Bionic ขนาด 5 นาโนเมตร โดยสิ่งที่อัปเกรดจากชิปตัวเดียวกันใน iPhone 13 รุ่นธรรมดาและ mini คือ มาพร้อม GPU จำนวน 5-core จากปกติมีจำนวน 4-core นอกจากนี้ Neural Engine ยังมีความเร็ว 15.8 TOPS (ในขณะที่ Snapdragon 888+ โฆษณาว่ามี 32 TOPS) ทั้งนี้ Apple ได้เพิ่มรุ่นความจุ 1TB มาใน iPhone 13 Pro ทั้งสามรุ่นด้วย กล้องหลังจำนวน 3 ตัวประกอบด้วยกล้องตัวหลัก 12MP (f/1.5) ที่รับแสงได้มากขึ้น + กล้อง telephoto 12MP (f/1.8) ขนาด 77มม. ที่สามารถซูมแบบ optical ได้ 3x + กล้อง ultra-wide 12MP (f/1.8) และมาพร้อม autofocus ที่ช่วยให้สามารถถ่ายภาพมาโครได้ ทั้งนี้กล้องทั้งสามตัวมาพร้อมโหมดถ่ายกลางคืน นอกจากนี้ฮาร์ดแวร์ของ iPhone 13 Pro และ Pro Max ยังรองรับการถ่ายวิดีโอแบบ ProRes ทำให้ได้ผลลัพธ์ออกมาแบบมืออาชีพ และตัดต่อได้ในตัว iPhone รวมทั้งรองรับ Dolby Atmos HDR ที่รองรับการถ่ายวิดีโอ 4K ที่ 60fps และมาพร้อมฟีเจอร์ Photographic Styles ที่ช่วยในการปรับแต่งรูปภาพ พร้อม แบตเตอรี่ที่รองรับการชาร์จด้วย MagSafe, ชาร์จเร็ว, สามารถใช้งานติดต่อกันได้ 22 ชั่วโมง 3,095 mAh รองรับชาร์จไว 20W ผ่าน Lighting ! เหมือนเดิมครับ
UNBOX
กล่องที่บางขึ้น ขอบน้อยลงยังคงเหมือนกับรุ่นก่อนที่ไม่มีอะไรแถมมาให้แล้ว ยกเว้นสาย USB-C ไป Lighting เท่านั้น โดยเป็นเหตุผลการรักษ์โลกจริงๆแอบฟังไม่ขึ้นถ้ามุมมองของแอดอยากให้ใช้งานได้หลากหลาย กล้าที่จะเปลี่ยนมาใช้งาน USB-C ให้เหมือนทุกคนน่าจะช่วยได้อีกเยอะกว่าหลายเท่าตัวครับ แอบขอบ่นนิดหน่อย และสาย USB-C ไป Lighting ก็ใช้กับหัวแถมเก่าๆไม่ได้ด้วยนะ ต้องใช้หัวที่รองรับ USB-C แบบใหม่ ซึ่งแบบเดียวกับรุ่นก่อนทั้งหมด ไม่มีการเปลี่ยนแปลงพัฒนาอะไรในส่วนนี้ และตัวกล่องไม่มีพลาสติกใสหุ้มแล้วนะครับ ไม่มีซีลรอบกล่องทำให้เวลาเช็คว่าเครื่องใหม่ จะเป็นแค่แถบกระดาษด้านบนกล่องเท่านั้นเมื่อเปิดแล้วแถบข้างบนนั้นจะหายไป
- ตัวเครื่อง iPhone 13 Pro
- สติกเกอร์ Apple
- สายชาร์จ USB-C ไป ยัง Lighting
- คู่มือ และ ที่จิ้มซิม
DESIGN
งานออกแบบนั้นยังคงไม่ได้เปลี่ยนแปลงจากรุ่นก่อนแม้แต่น้อยไม่ว่าจะเป็นการจัดวางตัวกล้อง หรือว่าจะเป็นการออกแบบทั้งขอบเครื่อง ดีไซน์ฝาหลัง ดีไซน์หน้าจอต่างๆนั้นเปลี่ยนน้อยมากยกเว้นแค่ติ่งหน้าจอที่เล็กลงกว่าเดิมซึ่งถ้าไม่เอามาเทียบนั้นเราจะไม่เห็นความแตกต่างเลยจริงๆ แอบรู้สึกว่าดีไซน์นั้นไม่ได้พัฒนาเลยแม้แต่น้อยถ้ามองย้อนไป iPhone 11-iPhone 13 นั้นดีไซน์ฝาหลัง การวางกล้องไม่เปลี่ยนเลยจริงๆแต่ขนาดกล้องหลังนั้นเป็นจุดเดียวที่แตกต่างเพราะว่าใหญ่ขึ้นเท่าตัว พร้อมกับการใส่สีใหม่เข้ามาสีฟ้าอ่อนๆ และโทนสีหลายๆสีนั้นจะไปทางพาสเทลมากขึ้น
ทางด้านหน้าจอ OLED Super Retina XDR ขนาด 6.1 นิ้ว (2532×1170พิกเซล) ProMotion ที่มีรีเฟรชเรทปรับอัตโนมัติสูงสุด 120Hz, HDR, เคลือบ Ceramic Shield เป็นกระจกที่แข็งแรงที่สุดของค่าย และขอบอะไรบางขึ้นเยอะมากไม่มีขอบโค้งอะไรทั้งนั้นเป็นหน้าจอแบบเรียบๆทั้งหมดก็ถือว่าสวยงามไปอีกแบบ และติ่งหน้าจอเล็กลงขึ้นกว่ารุ่นก่อน แน่นอนว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดที่สุดแล้วถ้าเทียบกันเพราะว่าดีไซน์อื่นๆนั้นไม่ได้เปลี่ยนมากนัก
ขอบด้านบนนั้นจริงๆตำแหน่งติ่งหน้าจอเล็กลง ซ้ายขวามีพื้นที่เยอะขึ้น พร้อมกับกล้องหน้า 12MP และลำโพง รวมถึงเซนเซอร์ทั้งหมดในการใช้งาน สแกนใบหน้า 3 มิติ FACE ID รวมถึงเซนเซอร์ในการใช้งานด้านอื่นๆทั้งหมด
ขอบด้านล่างค่ายนี้ยังคงทำได้บางเท่ากับส่วนอื่นๆและยังคงสวยงามอีกทั้งยิ่งได้หน้าจอแบบนี้ทำให้มันเรียบเนียนไปทั้งหมดสวยงาม และปุ่มการควบคุมเป็น Gesture ตามสไตล์ของค่ายนี้เช่นเดิมครับ ถือว่าเต็มหน้าจอใช้งานได้ดี
ขอบเครื่องด้านซ้ายนั้นเราจะเห็นตัว Slider ที่เปิดกับปิดเสียงทื่เป็นเอกลักษณ์มานานมากๆของค่ายนี้ พร้อมกับ ปุ่มที่เป็นเพิ่ม ลด เสียง และ ถาดซิม 1 ซิมใส่เข้ามา และ รองรับ eSIM ในตัวเครื่องมาให้เรียบร้อย
ขอบเครื่องอย่างที่บอกไปนั้นจะเป็นขอบเงาสะท้อนแสงสวยงามทั้งหมด ในด้านล่างนั้นจะเป็น รูไมค์ และ ลำโพงในด้านขวาครับ พร้อมกับยังคงใช้งาน Lighting และไม่ได้ปรับไปใช้งาน USB-C แบบ iPad ซะที แอบน่าเสียดาย
ด้านขวานั้นจะเห็นว่าตัวเครื่องหน้าจอนั้นมีความเรียบแบนทั้งหมด ไม่มีส่วนโค้งนูนอะไรทั้งนั้นและมีปุ่ม Power เปิดปิดมาให้ในด้านขวาตัวเครื่อง พร้อมใช้งานและจะเห็นขีดเสาสัญญาณปกติครับ วัสดุขอบเป็นสแตนเลสปัดเงาทั้งหมด
ขอบด้านบนเรียบๆไม่มีพอร์ตเชื่อมต่ออะไรมาให้จะเห็นความเหลี่ยมจัดของเครื่องและสีเงินอมฟ้าสะท้อนแสงสวยงาม
ฝาหลังที่โดดเด่นคงไม่พ้นกล้องขนาดใหญ่เท่าตัวที่ใหญ่กว่ารุ่นเดิมเยอะมากๆ กินพื้นที่ไปข้างๆเยอะเช่นกันเป็นรุ่นที่กล้องใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยทำมาด้วยเช่นกัน แต่การวางตำแหน่งกล้องอะไรเหมือนเดิมทั้งหมดไม่มีเปลี่ยนแปลงรวมถึงความนูนต่างๆแอบดูนูนง่ายกว่าเดิม อีกทั้งสีฟ้าใหม่ Sierra Blue อ่อนขึ้นเยอะมากโทนพาสเทลขึ้นชัดเจน แต่ยังคงใช้งานฝาหลังกระจกแบบด้าน ตัดกับกระจกแบบเงาเช่นเดิมตรงส่วนกล้อง ดีไซน์ไม่มีการพัฒนาอะไรขึ้นเท่าไร
กล้องหลัง ทั้ง 2 รุ่น ใช้งานเหมือนกันไม่มีการแบ่งแยกชนชั้นแล้วครับใน Pro / Pro Max มาพร้อมกับ กล้องมุมกว้าง 12MP (f/1.5), เลนส์ 7P, Sensor‑shift OIS, HDR video recording with Dolby Vision at 4K 60 fps, Slo‑mo 1080p at 240fps, + กล้อง Ultra Wide กว้าง 120 องศา 12MP (f/1.8), เลนส์ 5P+ กล้อง Telephoto 12MP (f/2.8), ซุมแบบ optical ได้ 3x ในระยะสูงสุด 6x, Night mode portraits ที่ใช้งาน LiDAR Scanner + รองรับการถ่ายวิดีโอแบบ ProRes และโหมด Cinematic วีดีโอละลายหลังใส่มาใหม่
SPEC
- iPhone 13 Pro- หน้าจอ OLED Super Retina XDR ขนาด 6.1 นิ้ว (2532×1170พิกเซล) ProMotion ที่มีรีเฟรชเรทปรับอัตโนมัติสูงสุด 120Hz, HDR, เคลือบ Ceramic Shield
- ชิปประมวลผล A15 Bionic 5nm, GPU 5‑core, Neural Engine 16‑core
- iOS 15
- ตัวเครื่องกันน้ำและกันฝุ่นมาตรฐาน IP68
- ซิมคู่ (nano + eSIM)
- กล้องหลัง
- กล้องมุมกว้าง 12MP (f/1.5), เลนส์ 7P, Sensor‑shift OIS, HDR video recording with Dolby Vision at 4K 60 fps, Slo‑mo 1080p at 240fps,
- กล้อง Ultra Wide กว้าง 120 องศา 12MP (f/1.8), เลนส์ 5P
- กล้อง Telephoto 12MP (f/2.8), ซุมแบบ optical ได้ 3x ในระยะสูงสุด 6x, Night mode portraits ที่ใช้งาน LiDAR Scanner
- แฟลช True Tone
- กล้องหน้า TrueDepth 12MP (f/2.2) + แฟลช Retina
- iPhone 13 Pro ขนาดตัวเครื่อง: 146.7 ×71.5×7.65มม.; น้ำหนัก: 203 กรัม
- FaceID , ลำโพง Stereo
- รองรับเครือข่าย 5G (sub‑6 GHz), Gigabit-class LTE, 802.11ax Wi‑Fi 6 with 2×2 MIMO, Bluetooth 5.0, Ultra Wideband chip for spatial awareness, NFC with reader mode, GPS with GLONASS
- แบตเตอรี่ที่รองรับการชาร์จด้วย MagSafe, ชาร์จเร็ว, สามารถใช้งานติดต่อกันได้ 22 ชั่วโมง (iPhone 13 Pro) ในการเล่นวิดีโอ
SCREEN
หน้าจอยังคงใช้งาน OLED แบบ OLED Super Retina XDR ขนาด 6.1 นิ้ว (2532×1170พิกเซล) ProMotion ที่มีรีเฟรชเรทปรับอัตโนมัติสูงสุด 120Hz, HDR, เคลือบ Ceramic Shield ความสว่างของหน้าของจอได้สูงสุด 1,000nits ซึ่งมากกว่าเดิม และหากใช้ HDR จะพุ่งขึ้นไปได้สูงสุดถึง 1,200 nits คุณภาพในจอของ iPhone นั้นยังคงเด่นในเรื่องของขอบหน้าจอส่วนด้านล่างที่ขนาดเท่ากับข้างๆและด้านบน แม้อาจจะไม่ได้บางสุดๆ แต่ความสม่ำเสมอเลยทำให้มันดูลงตัวเหมือนกันครับ รวมถึงความแม่นยำของหน้าจอที่สัมผัสได้ติดนิ้วและใช้งานได้ดีร่วมกับ UI ของมันเลยให้ประสบการณ์ที่ดี และการใช้งาน Promotion 120Hz บอกเลยว่าถ้าเทียบกับ Android ความสมูท ความลื่นไหล iOS พัฒนามาเข้ากันได้ดีกว่าเยอะมากอาจจะด้วยการทำรุ่นน้อย และพัฒนาร่วมกันทั้งเครื่องไม่ใช่ระบบเปิดมากนักทำให้ความ ลื่นเนียนตา iPhone ทำได้ดีมากๆ แต่ถ้าใช้งานทั่วไป 120Hz ไม่ต่างกับ Android ในแง่แอปอื่นๆทั่วไปครับ และแน่นอนว่าบางแอปอาจจะไม่รองรับในตอนนี้เลยมีอาการหน่วงๆนิดๆบ้าง ส่วนทางด้านสีสันอะไรยังคงแม่นยำมากๆครับ รองรับการแสดงผล True Tone และ DCI P3 ทำให้สีสันนั้นมีความสมจริง
PERFORMANCE
ประสิทธิภาพแน่นอนว่ามาพร้อมกับ Apple A15 Bionic 5nm ชิปสมาร์ตโฟนที่เร็วที่สุดในโลก รองรับการทำงานระดับแรงๆได้สบาย สามารถทำคะแนนไปได้ 732305 คะแนน GPU แบบ 5‑core ใหม่หมด มีประสิทธิภาพด้านกราฟิกเร็วกว่าชิปสมาร์ตโฟนอื่นๆ สูงสุดถึง 50% และ CPU มาพร้อมคอร์ด้านประสิทธิภาพและด้านประหยัดพลังงานใหม่สำหรับรับมือกับงานที่ซับซ้อนและช่วยประหยัดแบตเตอรี่ นอกจากนี้ Neural Engine ยังมีความเร็ว 15.8 TOPS (ในขณะที่ Snapdragon 888+ โฆษณาว่ามี 32 TOPS) และอัปเกรดสเปกล้ำขึ้นกว่าเดิม คือมีเพิ่มความจุสูงสุดถึง 1TB พื้นที่จัดเก็บข้อมูลเหลือเฟือสำหรับทั้งรูปถ่ายและวิดีโอ
BATTERY
แบตเตอรี่ที่รองรับการชาร์จด้วย MagSafe, ชาร์จเร็ว, สามารถใช้งานติดต่อกันได้ 22 ชั่วโมง นานขึ้นสูงสุด 1.5 ชั่วโมง สามารถในการชาร์จเร็วได้สูงสุด 50% ในเวลาประมาณ 30 นาที ด้วยอะแดปเตอร์ขนาด 20W พร้อมพอร์ตชารจ์ สาย USB เป็น Lightning เหมือนเดิม ชาร์จแบบไร้สายในแบบ MagSafe สูงสุด 15W และชาร์จแบบไร้สายในแบบ Qi สูงสุด 7.5W อีกทั้งทาง Apple ไม่ได้แถมหัวชาร์จมาให้ในกล่องของ iPhone 13 Pro และ 13 Pro Max
CAMERA
กล้องหลังยังคงให้มา 3 ตัวเหมือนเดิมแต่มีการเปลี่ยนพัฒนาใหม่ทั้งหมด นอกเหนือจากขนาดที่ใหญ่ขึ่นยังมาพร้อมกับฟีเจอร์ใหม่เยอะมากๆ และที่เด่นๆคือการถ่ายวิดีโอแบบ Cinematic ทำให้เราสามารถเบลอหลังได้ในการถ่ายวีดีโอ และยังเปลียนจุดเบลอหลังจากถ่ายเรียบร้อยได้ด้วยเช่นกันบอกเลยว่าระบบทำได้ฉลาดมากหนีจากค่ายอื่นๆไปไกลมากๆครับ เราจะเห็นได้จากภาพข้างบนเลยว่ามันจะแบ่งช่วง โฟกัสแท็กได้ทั้งหมดว่าเบลออะไรเป็นเส้นจุดๆละเอียดเลยแหละ และเราสามารถมาแตะให้จุดเบลอเปลี่ยนภายหลังการถ่ายได้ง่ายมากๆเป็นโหมดที่ยอมว่าดีมากๆ
ส่วนสเปกกล้องหลังนั้นจะมาพร้อมกับ กล้องหลังจำนวน 3 ตัวประกอบด้วยกล้องตัวหลัก 12MP (f/1.5) ที่รับแสงได้มากขึ้น Sony IMX703, 1.9 μm, 26 mm + กล้อง telephoto 12MP (f/1.8) ขนาด 77มม. ที่สามารถซูมแบบ optical ได้ 3x Sony IMX713, 1μm, 77 mm + กล้อง ultra-wide 12MP (f/1.8) Sony IMX772, 1μm, 13 mm และมาพร้อม autofocus ที่ช่วยให้สามารถถ่ายภาพมาโครได้ ทั้งนี้กล้องทั้งสามตัวมาพร้อมโหมดถ่ายกลางคืน และยังคงมี OIS ใส่เข้ามาให้ในกล้องหลังทั้ง 2 เลนส์ ให้มาทั้ง เลนส์หลัก และ เลนส์ระยะเทเลครับ
IPHONE 13 PRO
ภาพรวมนั้นเป็นการเปลี่ยนแปลงที่อาจจะไม่ได้ดูแตกต่างหรือชัดเจนมากนักคนถือ 12 ก่อนหน้าไม่ค่อยมีส่วนไหนที่ควรขยับขึ้นมาเท่าไร กล้องหน้า งานออกแบบไม่ค่อยรู้สึกต่างมากนัก แต่ถ้าเน้นในเรื่องของหน้าจอความลื่นไหล หรือสายถ่ายภาพเน้นๆอาจจะแนะนำให้เปลี่ยนได้เช่นกัน ซึ่งถ้าเราไปภาพรวมความแรง ดีไซน์ การชาร์จไวต่างๆมันเป็นจุดที่น่าจะพัฒนาได้มากกว่านี้ในแง่ของมือถือระดับเทพของค่าย รวมถึงงานออกแบบที่ใช้งานกันมาหลากหลายรุ่นก่อนหน้าก็ยังไม่เจอการพัฒนาการออกแบบเลยแม้แต่น้อย แต่เรื่องที่ทาง iPhone เด่นก็ยังคงเป็น ระบบ การใช้งาน ความลื่นไหลที่หลายๆส่วนมันทำงานได้ดีและตอบสนองต่อหน้าจอ 120Hz ได้ด้วยมันเลยแอบเนียนติดนิ้วมากเช่นกันครับส่วนในการใช้งานจริง งานวิดีโอ กล้องในหลายๆสภาพแสง หรือว่าแบตจะเป็นยังไงนั้นรอติดตามในรีวิวเต็มๆได้เลย
สำหรับพรีวิวนี้ผมก็ต้องขอตัวลาไปก่อนสำหรับรุ่นอื่นๆก็ติดตามกันได้เลย ถูกใจฝากกดไลค์กดแชร์ด้วยนะครับ มีข้อผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ เพื่อนๆสนใจอยากให้พวกผมรีวิวรุ่นไหนสามารถ Inbox มาบอกเราได้เลยนะ
ฝากไลค์เพจ FACEBOOK เราด้วยนะครับ >>>>>>>>> TECHHANGOUT
เข้าร่วมกลุ่ม TECHHANGOUT พูดคุยแลกเปลี่ยน ข้อมูล คุยกันเองชิลๆได้เลยที่ — Facebook Techhangout พูดคุย Smartphone gadget
Preview by Nineztr