OnePlus ได้เปิดตัวสมาร์ทโฟนเรือธงรุ่นใหม่ของแบรนด์ในชื่อรุ่น OnePlus 8 และ 8 Pro ซึ่งเป็นสมาร์ทโฟนที่ถูกเปิดตัวต่อจาก OnePlus 7T และ 7T Pro เมื่อปีที่แล้ว ตามที่เคยได้สัญญาเอาไว้และแน่นอนว่ามีการเปิดตัวในประเทศไทยเร็วๆนี้วันที่ 14 ครับ ทางเราเลยขอลองซักหน่อยก่อนขายและก่อนบอกราคาครับ เราได้เจ้าตัว 8 Pro ในสีใหม่สวยงามสีเขียว Glacial Green และแน่นอนว่าในครั้งนี้การพัฒนาเยอะพอสมควร ทั้งกันน้ำ ชาร์จไร้สาย กล้อง รวมถึงงานออกแบบ ที่จับถนัดมือมากขึ้นตัวเครื่องแคบๆยาวๆ ดีกว่าเยอะเลยรวมถึงทางด้านสเปคจัดเต็มครับ แน่นอนว่ามันเป็น เรือธงเทพ และไม่มีอีกแล้วคำว่านักฆ่าเรือธงครับ ใน รุ่น Pro จะมาพร้อมหน้าจอ Fluid AMOLED แบบขอบโค้งที่มีขนาด 6.78 นิ้ว และมีรีเฟรชเรท 120Hz ที่มาพร้อมชิป MEMC ที่ช่วยเพิ่มวิดีโอทั่วไปจาก 24fps ให้เป็น 120fps ซึ่งทางบริษัทเคลมว่าฟีเจอร์นี้เหมาะกับการรับชมกีฬาและสื่อ action ต่าง ๆ โดยฟีเจอร์ดังกล่าวยังช่วยลดภาพเบลอด้วย ถือว่าน่าสนใจ เรามาดูสเปค และ พรีวิวสั้นๆกันก่อนครับสำหรับเจ้า Oneplus 8 Pro

ภายในตัวเครื่องจะใช้ชิปเซต Snapdragon 865 ที่มาพร้อมโมเดม X55 5G ทำให้สามารถใช้งานเครือข่าย 5G ได้ นอกจากนี้มันยังได้อัพเกรด RAM ไปใช้เป็น LPDDR5X แล้วอีกด้วย และสิ่งสำคัญก็คือตัวเครื่อง OnePlus 8 Pro นั้นสามารถกันน้ำได้แล้ว โดยกันน้ำมาตรฐาน IP68 ซึ่งรุ่นธรรมดาไม่สามารถกันน้ำได้เหมือนเคย ส่วนของกล้องหลังจะมีจำนวน 4 ตัวด้วยกันประกอบด้วยเลนส์ 48MP ที่ใช้เซนเซอร์ Sony IMX689 และรองรับ OIS + เลนส์กว้าง ultra-wide 120 องศา 48MP ที่มาพร้อมโหมดมาโคร 3cm + เลนส์เทเลโฟโต้ 3X 8MP ที่สามารถซูมแบบ digital ได้ 30x และรองรับ OIS + เลนส์โมโน (เลนส์ Color Filter) 5MP ในส่วนของแบตเตอรี่มีความจุอยู่ที่ 4,510 mAh ที่รองรับชาร์จเร็ว Warp Charge 30T ซึ่งสามารถชาร์จแบตเตอรี่ 50% ได้ภายในเวลา 23 นาที นอกจากนี้มันยังรองรับชาร์จไร้สาย Warp Charge 30W ที่สามารถชาร์จแบต 50% ได้ในเวลา 30 นาที อีกทั้งยังสามารถ reverse ชาร์จแบตเตอรี่ให้สมาร์ทโฟนเครื่องอื่นได้ด้วย

UNBOX

ตัวกล่องนั้นใหญ่มาในแนวยาวๆครับแบบเดียวกับรุ่นของ 7T แต่มีความเรียบมากขึ้นและเขียนเลข 8 สีแดงเด่นเล่นกับตัวอักษรสวยงามเลยครับ และบอกชือรุ่นชัดเจน ทั้งด้านหน้าและด้านข้าง ส่วนอุปกรณ์ในกล่องนั้นมีมาให้คล้ายกับรุ่นเดิมทั้งหมดครับไม่ได้แตกต่างอะไรกับ 7T Pro ก่อนหน้านี้เลยครับยกเว้นเคส กับ สติกเกอร์แบบใหม่

  • ตัวเครื่อง Oneplus 8 Pro
  • ตัวเคสใส TPU
  • ที่ชาร์จ WarpCharge 30T
  • สายชาร์จ Type-C
  • สติกเกอร์ คู่มือ และ ที่จิ้มซิม
  • ฟิล์มกันรอยติดมาให้เลยจากโรงงาน
  • ไม่มีหูฟัง และ ตัวแปลง3.5มม.

สายชาร์จนั้นเป็นแบบ Type-C ที่รองรับ WarpCharge และยังคงเป็นสายสีแดงแบบเดียวกับรุ่นอื่นๆรวมถึงมีที่หุ้มมาให้ตรงปลายสายต่างๆ และ ที่เด่นๆคือที่ชาร์จนั้นใหญ่ และ มีเขียนบอกว่ากำลังไฟเท่าไรครับ 5v6A สำหรับ Warpcharge 30 ซึ่งตัวที่รองรับ 30T หัวชาร์จไม่ได้มีอะไรแตกต่างกับรุ่นก่อนครับทั้งกำลัง และ การชาร์จ

ตัวเคสที่แถมมานั้นถือว่ามีความสวยอันดับต้นๆของบรรดามือถือเลยแน่นอนว่าครั้งนี้มีความแตกต่างคือใส่ สโลแกนของค่ายมาเน้นๆดูดีและทำให้ดูมีระดับขึ้นมาเยอะครับจากเดิมที่เรียบๆ และขอบเครื่องนั้นจะเป็นสีแบบขุ่นๆทั้ง 4 ด้านทำให้ดูดีและสวยอีกทั้งมีความพรีเมี่ยมกว่าเดิมเยอะอันนี้ขอชมเลยครับ ส่วนตัวเคสนั้นสามารถคลุมทั้งหน้าและหลังได้ดีระดับนึง แต่ไม่ปลอดภัยมากนักเพราะด้านหน้านั้นจากที่รุ่นก่อนนั้นจะมีขอบป้องกันมุมทั้ง 4 ด้านมาให้ แต่ในรุ่นนี้ด้วยการที่เป็นขอบจอโค้ง อาจจะทำให้การปกป้องนั้นไม่ได้ดีมากเท่ารุ่นก่อนๆ ทำให้มันต้องระวังเรื่องเวลาวางหรือตกครับ

ส่วนด้านหลังก็ปกป้องตัวเครื่องได้ดีและในชิ้นเลนส์ก็ปกป้องได้ระดับนึง เมื่อดูเทียบแนวระนาบจะเห็นว่าตัวเคสนั้นสูงขึ้นจากหน้าจอไม่ได้เยอะมากแต่ก็กินเข้าไปในหน้าจอในระดับนึงก็ยังใช้งานได้ป้องกันได้ดีครับ และตรงมุมเครื่องก็มีความหนาขึ้นมานิดหน่อย แตส่วนจอโค้งนั้นป้องกันได้ยากมากๆครับ ส่วนด้านหลังเลนส์กล้องก็นูนนิดหน่อยเมื่อเทียบจากระยะเลนส์ ถือว่ายังอันตรายอยู่ครับ ไม่ได้นูนขึ้นมาเยอะในส่วนนี้ต้องระวังกันนิดหน่อยในเรื่องการวางใช้งานครับ

DESIGN 

งานออกแบบในรุ่นนี้ถือว่าในภาพรวมหรือว่าตอนเห็นภาพหลุดมันไม่ค่อยแตกต่างกับรุ่นเดิมรวมถึงไม่สวยเท่าไรครับเพราะมีนน่าจะออกแบบให้มีความแตกต่างกันมากกว่านี้ แต่เมื่อเห็นตัวเครื่องจริง ด้วยความบาง และความแคบสูงมากกว่าเดิมก็ถือว่าลงตัวขึ้นเยอะครับทั้งการใช้งาน และความสวยเพราะหลายๆรุ่นก็ใช้อัตราส่วนนี้กันแล้ว ส่วนทางด้านวัสดุนั้นมีความเนียนสวยและดูดีเช่นเดิมครับการเล่นฝาหลังแบบด้านคล้ายเดิม แต่โทนสีใหม่ ส่วนหน้าจอนั้นมีความโค้งด้านข้างแบบเดิมแต่เปลี่ยนงานออกแบบหน้าจอเป็นแบบเจาะรูแล้วน่าเสียดายเมื่อมองเทียบกับรุ่นเดิมครับ

ทางด้านหน้าจอนั้นเป็นหน้าจอแบบเจาะรูแล้วยังคงใช้ชื่อ Fluid AMOLED ขอบโค้ง ซึ่งมีขนาด 6.78 นิ้ว ความละเอียด QHD+ รองรับ HDR10+ รีเฟรชเรท 120Hz ตราส่วน 19.8:9, ความสว่างสูงสุด1,300 nits,กระจก Gorilla Glass แบบ 3D  ถือว่ารูปทรงนั้นแคบสูงขึ้น จับถนัดขึ้นเยอะครับ แต่ไม่เต็มจอเท่ารุ่นก่อนแล้วน่าเสียดาย

ขอบหน้าจอด้านบนนั้นทำได้ค่อนข้างบางเป็นที่อยู่ของ ลำโพงสนทนา และ ลำโพงตัวที่ 2 และ เซนเซอร์ต่างๆแฝงไว้ตรงขอบหน้าจอ และมีความบางขึ้นเยอะอยู่ครับ ส่วนเรื่องไฟแจ้งเตือนนั้นไม่มีแล้วนะครับ จะใช้เป็นไฟแจ้งเตือนตรงขอบข้างหน้าจอแทนที่เป็นส่วนโค้ง และ กล้องหน้าจากเดิมที่ Pop-Up นั้นในรุ่นนี้เป็นแบบเจาะรูแทนแล้ว แต่ใช้กล้อง เซนเซอร์ตัวเดิมเลยนั้นเองครับไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอะไรในรุ่นนี้จากเดิม

ขอบด้านล่างหน้าจอตัวนี้ต้องบอกว่าทำได้บางมากๆเรียกได้ว่าบางเกือบจะเท่าขอบด้านอื่นๆแล้ว และในการคุมนั้นสามารถใช้งานแบบเต็มหน้าจอ หรือ เป็นปุ่มปกติได้ครับ ในส่วนของสแกนนิ้วนั้นอยู่ตรงกลางด้านล่างหน้าจอ

ขอบเครื่องส่วนล่างนั้นเป็นที่อยู่ ของถาดซิมแบบ Dual sim  รูไมค์ และ ช่องชาร์จแบบ USB-C รวมถึง ลำโพงหลักของตัวเครื่องและในรุ่นนี้มีลำโพงคู่ ทำงานร่วมกันกับด้านบนนั้นเอง ถาดซิมแบบ  Dual Nanosim นะครับ ตัวถาดซิมด้านล่างนั้นเป็นแบบใส่ซิมได้ 2 ซิมซ้อนทับกันคนละฝั่งมีซีลยางอยู่ด้วย IP Rating 68 แล้วครับรุ่นนี้

ในด้านบนนั้นจะเป็นรูไมค์ตัดเสียงครับ และเห็นว่าในขอบเครื่องจะมีการเว้าลูกเล่นออกแบบแตกต่างกับเดิมพอสมควรอีกทั้งเรื่องของการใช้โทนสี เป็นสีแบบด้านและเหมือนพื้นผิวพ่นทรายนิดหน่อยดูดีสวยพอสมควรเลยครับตัวนี้

ฝั่งขอบด้านซ้ายตัวเครื่องตัวนี้จะเป็นปุ่มเพิ่ม-ลดเสียงเท่านั้นและขอบเครื่องบางขึ้นและเป็นสีพ่นแบบด้านแทนแล้ว

ขอบด้านขวาของตัวเครื่องนั้นจะเห็นถึงความโค้งทั้งหน้าและหลังของตัวเครื่องและกระจกหน้าจอและฝาหลังที่โค้งรับมือได้ดี และขอบเครี่องเป็นแบบด้านแล้วครับสีเดียวกับฝาหลังเลย ส่วนปุ่ม Power และ สวิทช์ เลื่อนเสียง นั้นยังมีมาให้อยู่ฝั่งนี้ทั้งหมดครับ แต่ดูดีๆกล้องหลังจะนูนกว่าเดิมแบบรู้สึกได้เลยครับรุ่นนี้

ด้านหลังนั้นยังคงมีการออกแบบที่เหมือนเดิมแต่เลนส์กล้องนั้นใหญ่ขึ้น และ รูปทรงของเครื่องมันแคบขึ้นและทำให้จับเครื่องได้ถนัดขึ้น ส่วนโลโก้ และ ฟอนต์นั้นมีความแตกต่างกว่าเดิมเปลี่ยนใหม่ ทั้งโลโก้ และ คำเขียนครับ ตัวเครื่องนั้นใช้วัสดุกระจกแต่มีการทำให้เป็นวัสดุแบบด้านเล่นกับแสงสีได้ค่อนข้างดี และโทนเขียวใหม่สดใสขึ้น ฝาหลังนั้นโค้งลงมุมทั้ง 2 ข้างทำให้จับได้ค่อนข้างถนัดและถือได้ง่ายแม้จะมีเครื่องที่ค่อนข้างใหญ่ครับทำให้ จับได้ดีขึ้น

กล้องหลัง 48MP (f/1.78) ใช้เซนเซอร์ Sony IMX689, ขนาดพิกเซล 0.8μm, ฟีเจอร์ OIS + EIS, Native ISO คู่, + เลนส์กว้าง 119.7° 48MP (f/2.2) ใช้เซนเซอร์ Sony IMX586 + เลนส์เทเล 8MP (f/2.44), ที่ซูมแบบ hybrid ได้ 3x และซูมแบบ digital ได้ 30x, ฟีเจอร์ OIS, เลนส์ฟิลเตอร์สี 5MP (f/2.4) การออกแบบนั้นคล้ายเดิม แต่วางกลาง เลนส์กล้องนูน ใหญ่ขึ้น และ เลนส์เสริมนั้นอยู่ข้างๆฝังใต้กระจกหลัก และ เซนเซอร์ต่างๆ พร้อม ไมค์ตัดเสียง รวมถึงไฟแฟลชนั้นวางในข้างนอกเลนส์กล้องนั้นหมดนั้นเอง พร้อมโลโก้ใหม่ของ 1+

SPEC

  • หน้าจอ Fluid AMOLED ขนาด 6.78 นิ้ว (3168 x 1440 พิกเซล) Quad HD+ ที่มีรีเฟรชเรท 120Hz, อัตราส่วน 19.8:9, ความสว่างสูงสุด1,300 nits,กระจก Gorilla Glass แบบ 3D
  • ชิปเซต Snapdragon 865 7nm พร้อมการ์ดจอ Adreno 650
  • RAM  LPDDR5 12GB + storage (UFS 3.0) 256GB
  • Android 10 ที่ครอบด้วย OxygenOS 10.0
  • ซิมคู่ (nano + nano)
  • กล้องหลัง 48MP (f/1.78) ใช้เซนเซอร์ Sony IMX689, ขนาดพิกเซล 0.8μm, ฟีเจอร์ OIS + EIS, Native ISO คู่, + เลนส์กว้าง 119.7° 48MP (f/2.2) ใช้เซนเซอร์ Sony IMX586 + เลนส์เทเล 8MP (f/2.44), ที่ซูมแบบ hybrid ได้ 3x และซูมแบบ digital ได้ 30x, ฟีเจอร์ OIS, เลนส์ฟิลเตอร์สี 5MP (f/2.4), สามารถถ่ายวิดีโอ 4K ได้ที่ 60 fps, ถ่าย slow motion 720p ได้ที่ 480fps, ถ่าย slow motion 1080p ได้ที่ 240fps
  • กล้องหน้า 16MP (f/2.45) ใช้เซนเซอร์ Sony IMX471 aperture, ฟีเจอร์ EIS
  • เซนเซอร์สแกนนิ้วใต้หน้าจอ
  • ลำโพงสเตอริโอคู่, Dolby Atmos, ระบบเสียง 3D, ซููมเสียง, ระบบเสียง OZO
  • ขนาดตัวเครื่อง: 165.3×74.35×8.5 mm; น้ำหนัก: 199g
  • 5G SA/NSA, Dual 4G VoLTE, Wi-Fi 6  Bluetooth 5.1, NFC, USB Type-C
  • แบตเตอรี่ 4,510 mAh ที่รองรับ Warp Charge 30T, ชาร์จไร้สาย 30W, reverse charging

SCREEN

หน้าจอยังคงทำได้ดีครับแต่แอบเสียดายว่าเป็นหน้าจอแบบเจาะรูแล้ว แตกต่างกับหน้าจอแบบไร้ขอบไร้ติ่งแบบเดิมเยอะทำให้หลายๆคนชอบจอแบบเก่ามากกว่าด้วย ในเรื่องสเปคนั้นใช้หน้าจอที่เรียกว่า Fluid AMOLED ขนาด 6.78 นิ้ว (3168 x 1440 พิกเซล) Quad HD+ ที่มีรีเฟรชเรท 120Hz, อัตราส่วน 19.8:9, ความสว่างสูงสุด1,300 nits,กระจก Gorilla Glass แบบ 3D  ถือว่าในการใช้งานความสดของสีทำได้ดี ดำก็สนิทเข้มสู้แสงได้สบายด้วย พร้อมกับสแกนนิ้วมือใต้หน้าจอ และ Always On ก็มีมาให้ใช้งานครับ คุณภาพความลื่นไหลมากกว่าเดิมแบบชัดเจน ถ้าเทียบกับ 60Hz 90Hz รุ่นก่อนๆครับและความสดมิติของภาพมันดีขึ้นกว่าเดิมมิติโหดมากๆอันนี้ชอบ รวมถึงความลื่นไหลสามารถเปิดใช้งานกับ QHD+  ได้ด้วยทำให้มันได้เรื่องของความละเอียดความสวยมาเต็ม

ANTUTU

สำหรับการทดสอบคะแนน  Antutu นั้นจากที่ใช้งาน Snapdragon 865 5G แรงเอาเรื่องครับ ถ้านับจากรุ่นเดิมเลยลองกดดูนั้นทำคะแนนได้ค่อนข้างสูงเลยแหละทำได้ถึง 577951 คะแนนซึ่งถือว่าแรงกว่าเดิม 2แสนกว่าคะแนน ยังมาพร้อมระบบระบายความร้อนด้วยของเหลว และ RAM 12 GB และ การใช้ UFS 3.0 ทำให้มันจับหน้าจอ 120Hz ได้สบายๆและทำงานได้เต็มที่ของตัวเครื่องถือว่าเป็นอีกรุ่นที่มีความแรงในการใช้งานทั้งเรื่องของการเล่นเกม และ ในการใช้งานทั่วไป สเปคยังคงทำได้ดีไม่ผิดหวังเลยครับสำหรับเจ้า Oneplus 8 Pro ตัวนี้แน่นๆเลยแหละ

ANDROBENCH 

มาพร้อมกับ USF3.0 256GB แบบเดิมเลยครับสามารถทำความเร็วไปได้ 1,674 MB/s เลยมันมีผลยังไงบ้างก็ต้องบอกว่ามันมีผลในการลงแอปเร็วขึ้น เปิดใช้งานอะไรพวกนี้ไวมากๆ รวมถึงการดูรูปในเครื่องก็จะทำได้ไวและลื่นไหลมากกว่าเดิม เรียกดูข้อมูล วีดีโอ ภาพนิ่งได้ไวเปิดแล้วไม่ต้องรอนานเลยแหละครับ จะเหมือนคอมพิวเตอร์ที่ใช้ SSD นั้นย่อมไวกว่า HDD แบบเดิมๆนั้นเอง จุดนี้ยังคงทำได้ไวและน่าจะเป็นเทคโนโลยีที่เร็วและใช้งานได้ดีที่สุดในตอนนี้ด้วย

CAMERA 

สำหรับกล้องตัวนี้ มาพร้อมกับ กล้องหลัง 48MP (f/1.78) ใช้เซนเซอร์ Sony IMX689, ขนาดพิกเซล 0.8μm, ฟีเจอร์ OIS + EIS, Native ISO คู่, + เลนส์กว้าง 119.7° 48MP (f/2.2) ใช้เซนเซอร์ Sony IMX586 + เลนส์เทเล 8MP (f/2.44), ที่ซูมแบบ hybrid ได้ 3x และซูมแบบ digital ได้ 30x, ฟีเจอร์ OIS, เลนส์ฟิลเตอร์สี 5MP (f/2.4), สามารถถ่ายวิดีโอ 4K ได้ที่ 60 fps, ถ่าย slow motion 720p ได้ที่ 480fps, ถ่าย slow motion 1080p ได้ที่ 240fps ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงเยอะมากครั้บทั้งเรื่องของสเปค เซนเซอร์กล้อง แต่น่าเสียดายว่าเรื่องซูมอะไรพวกนี้ยังทำได้ระยะเท่าเดิมไม่ได้แตกต่างกันมากนักครับ และจากที่ลอง ซอฟต์แวร์กล้องยังเพี้ยนเยอะมากในเรื่องของโทนสีในหลายๆสภาพแสงครับ ติดแดง ส้มแบบชัดเจนเลย ส่วนกล้องหน้านั้น เป็นกล้องหน้า 16MP  Sony IMX471 พร้อมกับ รูรับแสง f/2.2 ใช้งานตัวเดียวกับรุ่นก่อนครับ เซนเซอร์ตัวเดิมเลยครับ ที่รองรับการถ่าย Portrait อะไรได้ปกติครับ และมีแต่งแสง หน้าเนียนมาให้ครบครันเช่นเดิม แต่กล้องยังมีความเพี้ยนของสีอยู่แบบชัดเจนมากในกล้องหลัง แม้จะอัปเดตล่าสุดแล้วครับ และ ชัตเตอร์อะไรมีหน่วงบางครั้ง อาจจะต้องรออัปเดตอีกทีครับ ส่วนกล้องหน้ายังไม่ได้แตกต่างกันเดิมมากเท่าที่ควร และเสียดายเรื่องการซูมนิดหน่อยครับ

ONEPLUS 8 PRO

ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงในเรื่องของสเปคให้มันลงตัวขึ้น แต่ถ้ามองความโดดเด่นเมื่อเทียบกับงานออกแบบในรุ่นก่อนมันไม่ค่อยจะแตกต่างกันเท่าไรนักอีกทั้งหน้าจอก็มีจุดเพิ่มเข้ามาจากไร้ขอบ รวมถึงถ้ามองเทียบสเปคความว้าวกับเรือธงตัวอื่นมันกลับทำได้ธรรมดามากๆ แต่ในความเป็น 1+ นั้นยังมีหลายๆจุดที่โดดเด่น คงหนีไม่พ้นระบบที่นิ่ง ลื่นไหล และ อัปเดตไว รวมถึงการใช้งานที่สามารถตอบโจทย์การใช้งานได้สบายๆในหลายๆด้านทั้งกล้อง ลำโพง ความเร็วแรง วัสดุงานประกอบที่ดูดีก็ยังคงทำได้เด่นเช่นเดิมครับ ถ้ามองเทียบกับรุ่นเก่ามันพัฒนาจุดด้อยให้มันดีขึ้นทุกด้านและลงตัวขึ้นมาก ใครสาวกค่ายนี้คงจะพอใจมากๆ แต่ถ้าเทียบค่ายอื่นมันก็อาจจะไม่ได้เด่นซักเท่าไรนั้นเอง ส่วนการใช้งานทั้งเรื่อง กล้อง ลำโพง วีดีโอ ใช้งานจริง นำทางอีกมากมายจะเป็นยังไงนั้นรออ่านกันได้เลยครับเร็วๆนี้

สำหรับพรีวิวนี้ผมก็ต้องขอตัวลาไปก่อนสำหรับรุ่นอื่นๆก็ติดตามกันได้เลย ถูกใจฝากกดไลค์กดแชร์ด้วยนะครับ  มีข้อผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ  เพื่อนๆสนใจอยากให้พวกผมรีวิวรุ่นไหนสามารถ Inbox มาบอกเราได้เลยนะ
ฝากไลค์เพจ FACEBOOK เราด้วยนะครับ >>>>>>>>>  TECHHANGOUT

เข้าร่วมกลุ่ม TECHHANGOUT พูดคุยแลกเปลี่ยน ข้อมูล คุยกันเองชิลๆได้เลยที่ — Facebook  Techhangout พูดคุย Smartphone gadget 

Preview by Nineztr