ONEPLUS ได้เปิดตัวเรือธงของตัวเองในปีนี้เรียบร้อยทั้ง ONEPLUS 9 และ ONEPLUS 9 PRO สานต่อเรือธงของค่ายตัวเองอย่างต่อเนื่อง และครั้งนี้เรียกเสียงกระแสได้ดีอย่างมากในความร่วมมือกับแบรนด์ผู้ผลิตกล้องระดับโลกที่มีตำนานมาอย่างยาวนานมากๆ คือ HASSELBLAD นั้นเองบอกเลยว่าหลายๆคนจับตามองแน่นอนครับ เป็นแบรนด์กล้องที่เอาไปถ่ายบนดวงจันทร์รวมถึงราคากล้องปกตินั้นแสนขึ้นแน่นอน เมื่อมาอยู่บนมือถือหลายๆคนคงคาดหวังกันไว้เยอะอย่างมากในเรื่องกล้อง ส่วนสเปคอื่นๆก็จัดเต็มเช่นเดิมไม่ว่าจะเป็นหน้าจอ 120Hz การชาร์จไว 65W การใช้งาน Snapdragon 888  งานออกแบบวัสดุอะไรนั้นยังคงทำได้ดี แต่ครั้งนี้เราจะมาพรีวิวกันในรุ่นน้องเล็ก ONEPLUS 9 นั้นเอง แม้ว่ากล้องจะไม่ได้มี เทเล หรือ ใช้เซนเซอร์ใหม่ แต่การปรับแต่ง Software ก็ถือว่าพัฒนาขึ้นเยอะครับ เมื่อได้รับความร่วมมือกับ HASSELBLAD นั้นเอง เราจะมาดูกันว่าจะเป็นอย่างไรกันบ้างสำหรับตัวนี้

ONEPLUS 9 จะมาพร้อมกับ  หน้าจอ Fluid AMOLED ขนาด 6.55 นิ้วความละเอียด FHD+ ที่มีรีเฟรชเรท 120Hz, รองรับ HDR10+, อัตราส่วน 20:9 ที่มีกล้องหน้าความละเอียด 16MP ที่ใช้เซ็นเซอร์ IMX471 กล้องหลังมีจำนวน 3 ตัวประกอบด้วย กล้องตัวหลัก 48MP ที่ใช้เซ็นเซอร์ IMX689 ตัวเดียวกับใน OnePlus 8 Pro + กล้อง ultra-wide 50MP ที่ใช้เซ็นเซอร์ IMX766 และมีความโค้งแบบพิเศษทำให้ลดความบิดเบี้ยวของภาพถ่ายลงจนเหลือเพียง 1% เมื่อเทียบกับกล้อง ultra-wide ทั่วไปที่มีความบิดเบี้ยว 10-20% และกล้อง Ultra wide บน OnePlus 9 ยังสามารถถ่ายภาพมาโครขนาด4ซม.ได้ + กล้อง monochrome 2MP ภายในตัวเครื่องจะเหมือนกับในรุ่น Pro คือใช้ชิบประมวลผล Snapdragon 888 ที่รองรับเครือข่าย 5G ทั้งแบบ NSA และ SA รวมทั้งมาพร้อมระบบระบายความร้อนแบบ vapor chamber ที่ใหญ่กว่าเดิม และแผ่นแกรไฟต์และทองแดงสำหรับลดอุณหภูมิขณะเล่นเกม นอกจากนั้นยังมาพร้อม RAM 12GB และรันบนระบบปฏิบัติการ Android 11 ที่ครอบด้วย OxygenOS 11 ส่วนแบตเตอรี่มีความจุ 4,500mAh (2,250mAh จำนวน 2 ก้อน) ที่รองรับ Warp Charge 65W ที่สามารถชาร์จแบตจนเต็มได้ในเวลา 29 นาที และรองรับการชาร์จแบบ PD 45W ที่รองรับการชาร์จกับแล็บท็อปหรือแทบเล็ตได้ และตัวเครื่องที่วางขายในอเมริกาเหนือและยุโรปสามารถรองรับการชาร์จไร้สาย Qi ได้ 15W

ก่อนอื่นต้องบอกว่าในไทยยังไม่มีกำหนดชัดเจนว่าจะขายเท่าไร หรือว่าจะขายช่วงไหนนะครับ เลยเอามาเล่นพรีวิวคร่าวๆกันก่อนรีวิวเต็มนะ ตัวกล่องแน่นอนว่าสวยงามแดงเด่นเช่นเดิมพร้อมกับครั้งนี้เราจะเห็นเขียนว่า ONEPLUS 9 CO DEVELOPED WITH HASSELBLAD ในด้านล่างแค่นี้ก็ กินขาดแล้วครับ รวมถึงมีการเขียนโลโก้ข้างๆ และเมื่อเปิดฝาขึ้นมาจะเห็นคำว่า HASSELBLAD ต่อเนื่องใต้โลโก้ ONEPLUS เวลาเปิดบอกเลยว่าดูสวยงามเอาเรื่อง

 UNBOX

เมื่อแกะกล่องออกมาเราจะเห็นมือถือวางไว้พร้อมกับกล่องสีแดงบางๆสำหรับใส่คู่มือการใช้งาน ใบต่างๆนั้นเองซึ่งแอบแปลกใจว่าครั้งนี้ไม่มีโลโก้ สติกเกอร์อะไรใส่เข้ามาแล้วครับ แต่พวกตัวเคส หรือ ที่ชาร์จ สายชาร์จให้มาครบ

  • ONEPLUS 9
  • เคสใส TPU ONEPLUS 9
  • ที่ชาร์จ WARPCHARGE 65T USB-C
  • สายชาร์จ USB-C สีแดงรองรับ WARPCHARGE 65W USB-C TO USB-C
  • คู่มือการใช้งาน ที่จิ้มซิม

หัวชาร์จนั้นอาจจะไม่ได้ตรงกับของที่จะขายในไทยนะครับเพราะอันนี้จะเป็นหัวทางยุโรปมากกว่าขากลม 2 ขาแบบนี้พร้อมกับการรองรับ 65W ชาร์จไวรวมถึงสายยังใช้งาน USB-C ไป USB-C นะครับแบบสมัยใหม่ทั้งหมดแล้วนั้นเอง รวมถึงตัว ADAPTOR ก็จะเป็นแบบ USB-C แล้วทำให้รองรับการใช้งานได้ไวและดีขึ้นกว่าแบบ USB-A

ตัวเคสที่แถมมานั้นถือว่ามีความสวยอันดับต้นๆของบรรดามือถือเลยแน่นอนว่าครั้งนี้มีความแตกต่างคือใส่ สโลแกนของค่ายมาเน้นๆดูดีและทำให้ดูมีระดับขึ้นมาเยอะครับจากเดิมที่เรียบๆ และขอบเครื่องนั้นจะเป็นสีแบบขุ่นๆทั้ง 4 ด้านทำให้ดูดีและสวยอีกทั้งมีความพรีเมี่ยมกว่าเดิมเยอะอันนี้ขอชมเลยครับ ส่วนตัวเคสนั้นสามารถคลุมทั้งหน้าและหลังได้ดีระดับนึง มีขอบป้องกันมุมทั้ง 4 ด้านมาให้ทำให้การปกป้องนั้นได้ดีมากกว่ารุ่นก่อนที่จอโค้งนั้นเองทำให้รุ่นนนี้เคสดูดีปกป้องใช้งานได้จริงมากขึ้นและขอบเครื่องขุ่นชัดเจนกว่าเดิมเพราะว่าขอบทั้งหมดทำได้หนาและปกป้องได้ดี

ส่วนด้านหลังก็ปกป้องตัวเครื่องได้ดีและในชิ้นเลนส์ก็ปกป้องได้ระดับนึง เมื่อดูเทียบแนวระนาบจะเห็นว่าตัวเคสนั้นสูงขึ้นจากหน้าจอไม่ได้เยอะมากแต่ก็กินเข้าไปในหน้าจอในระดับนึงก็ยังใช้งานได้ป้องกันได้ดีครับ และตรงมุมเครื่องก็มีความหนาขึ้นมานิดหน่อย แตส่วนจอโค้งนั้นป้องกันได้ยากมากๆครับ ส่วนด้านหลังเลนส์กล้องก็นูนนิดหน่อยเมื่อเทียบจากระยะเลนส์ ถือว่ายังอันตรายอยู่ครับ ไม่ได้นูนขึ้นมาเยอะในส่วนนี้ต้องระวังกันนิดหน่อยในเรื่องการวางใช้งานครับ

DESIGN

งานออกแบบตัวนี้มีการเปลี่ยนแปลงเยอะมากๆทั้งการวางตำแหน่งกล้องรวมถึงวัสดุฝาหลังการเล่นโทนสีต่างๆในรุ่นนี้จะเป็นสีม่วงแต่เมื่อเจอแสงหรือสะท้อนต่างๆนั้นจะเห็นว่าจะออกสีม่วงอ่อนๆหรือโทนฟ้า แต่ถ้ามืดๆมากก็จะเป็นอีกโทนสีนั้นเองถือว่าเล่นแสงสีได้สวยมากๆ ทางการวางกล้องนั้นในมุมซ้ายบนเราจะเห็นว่ามีกล้องที่เรียงกันแบบแยกโซนกันทั้งหมด กล้องเลนส์หลัก และ เลนส์มุมกว้าง และ มีเลนส์โมโนสำหรับจับระยะแยกกัน พร้อมกับ Hasselblad ส่วนน้ำหนักนั้นเราจะเห็นว่าหนาแค่ 8.1มม. และน้ำหนักตัวเครื่องนั้นแค่ 183 กรัมถือว่ากำลังพกพาได้ไม่หนักมาก

ทางด้านหน้าจอนั้นใช้งานหน้าจอ AMOLED สีสันสวยงามสู้แสงได้ดีพร้อมกับสีดำสนิทสวยงามเลยทีเดียวมาในขนาด ขนาด 6.55 นิ้ว (2400  × 1080 พิกเซล) 120Hz Full HD+ อัตราส่วน 20:9, ความสว่าง 1100nits, และใช้กระจก Gorilla Glass 5 ส่วนงานออกแบบนั้นเป็นแบบเจาะรูเช่นเดิม ดีไซน์ถือว่าไม่ได้หนีจากเดิมมากนักแต่การเปลี่ยนมาใช้งานหน้าจอแบบนี้ถือว่าถูกใจแน่นอนหน้าจอสวยและได้ลื่นไหลอย่างมาก

ขอบด้านล่างหน้าจอตัวนี้ต้องบอกว่าทำได้บางมากๆ เรียกได้ว่าบางเกือบจะเท่าขอบด้านอื่นๆแล้ว และในการคุมนั้นสามารถใช้งานแบบเต็มหน้าจอ หรือ เป็นปุ่มปกติได้ครับ ในส่วนของสแกนนิ้วนั้นอยู่ตรงกลางด้านล่างหน้าจอ

ขอบหน้าจอด้านบนนั้นทำได้ค่อนข้างบางเป็นที่อยู่ของ ลำโพงสนทนา และ ลำโพงตัวที่ 2 และ เซนเซอร์ต่างๆแฝงไว้ตรงขอบหน้าจอ และมีความบางขึ้นเยอะอยู่ รุ่นนี้เป็นแบบเจาะรู ใช้กล้องกล้องหน้า 16MP (f/2.45) ที่ใช้เซนเซอร์ Sony IMX471, รองรับ EIS  เซนเซอร์ตัวเดิมเลยนั้นเองตัวเดียวกับ 1+8T ก่อนหน้านี้เลย ยังไม่พัฒนาขึ้นนัก

ขอบด้านล่างนั้นจะเป็นที่อยู่ของลำโพงตัวที่ 1 เป็นลำโพงหลักพร้อมกับ รู USB Type-C  และ ช่องสำหรับไมค์เสียง บันทึกเสียงเวลา คุยโทรศัพท์ต่างๆ และถาดซิมก็ใส่เข้ามาให้ตรงนี้พร้อมกับการรองรับ Dual SIM พร้อมซีลกันน้ำ

ขอบเครื่องทางซ้ายมือนั้นเราจะเห็นว่าเป็นปุ่มเพิ่ม ลด เสียงเท่านั้นพร้อมกับขอบโครเมี่ยมสีเดียวกับฝาหลังทั้งหมดสีเงินม่วงๆสวยงาม และฝาหลังจะโค้งลงมากินขอบเครื่องด้านข้างด้วยเช่นกันทำให้จับได้ถนัดและส่งผลถึงงานออกแบบ

ขอบเครื่องด้านบนนั้นเราจะไม่เห็นตัว ขีดเสาสัญญาณแล้วซ่อนได้เนียนตามากขึ้น และยังคงมีไมค์สำหรับตัดเสียง และ บันทึกเสียงตัวที่ 2 ที่ใส่เข้ามาให้ด้วยเช่นกัน และจะเห็นว่าตัวกล้องนั้นไม่ได้นูนออกมามากเท่ากับรุ่นก่อนแล้วจุดนี้ถือว่าทำได้ดีพอสมควรลดลงได้บ้างขึ้นเรื่อยๆเลยในจุดนี้ จะเป็นการนูน 2 ระดับอาจจะหลอกตาได้ดีด้วยระดับนึง

ขอบทางด้านขวานั้นเราจะเห็นว่าเป็นปุ่ม Power สำหรับการเปิด/ปิดเครื่อง และ ปุ่ม สไลด์สำหรับเปลี่ยนโหมดเสียง เงียบ สั่น หรือ เสียงดัง เป็นเอกลักษณ์ของทาง Oneplus ที่ยังคงใส่เข้ามาให้ในทุกรุ่นของค่ายนี้ครับใช้งานสะดวก

ฝาหลังเปลี่ยนจากวัสดุแบบด้านมาเป็นกระจกเงาเช่นเดิมแล้วพร้อมกับสีม่วงที่แอบสวยเหมือนกันเวลาเจอแสงสว่างมากๆก็จะอมม่วงนิดๆพอสวยครับแต่ถ้าเจอเงาอะไรจะเป็นการคล้ายๆไล่โทนสีจากมืดไปสว่างส่วนบนของเครื่องถือว่าออกแบบมาได้ดี และตัวรอบกล้องนั้นไม่ได้มีการทำสีดำอะไรทำให้เลนส์กล้องนั้นเด่นขึ้นมาครับพร้อมกับโลโก้ HASSELBLAD ด้วยเช่นกัน ฝาหลังนั้นโค้งกำลังดีในขอบซ้ายขวาทำให้จับถนัดมือและถือได้สะดวกมากขึ้น เป็นอีกสีที่สวยและหลายๆคนน่าจะชอบกันออกแนวหนาวๆเล็กน้อยครับสำหรับรุ่น 9 ตัวนี้ ถือว่าสีม่วงกำลังมาในหลายๆตัว และในชื่อเรียกของฝาหลังสีนี้จะเป็น สีม่วง (Winter Mist) นั้นเองครับ และจะมีสีฟ้า และ สีดำให้เลือกด้วยเช่นกัน

โดยกล้องหลังมีจำนวน 3 ตัวประกอบด้วย กล้องตัวหลัก 48MP ที่ใช้เซ็นเซอร์ IMX689 ตัวเดียวกับใน OnePlus 8 Pro + กล้อง ultra-wide 50MP ที่ใช้เซ็นเซอร์ IMX766 และมีความโค้งแบบพิเศษทำให้ลดความบิดเบี้ยวของภาพถ่ายลงจนเหลือเพียง 1% เมื่อเทียบกับกล้อง ultra-wide ทั่วไปที่มีความบิดเบี้ยว 10-20% และกล้อง Ultra wide บน OnePlus 9 ยังสามารถถ่ายภาพมาโครขนาด4ซม.ได้ + กล้อง monochrome 2MP นอกจากนี้ตัวกล้องยังสามารถถ่ายวิดิโอแบบ RAW 12-bit ในโหมด Pro, และมาพร้อมโหมด Nightscape Video 2.0, UltraShot HDR, โหมด Tilt-shift, Video HDR, Video Portrait, Focus Tracking ฯลฯ ให้มาครยเช่นกัน

SPEC

  • หน้าจอ Fluid AMOLED ขนาด 6.55 นิ้ว (1080 x 2400 พิกเซล) Full HD+, 402 ppi, อัตราส่วน 20:9, รีเฟรชเรท 120Hz, HDR 10+, ความสว่าง 1100nits, ใช้กระจก Gorilla Glass
  • ชิบประมวลผล Snapdragon 888 5nm
  • ใช้การ์ดจอ Adreno 660
  • RAM 8GB LPDDR5 + storage (UFS 3.1) 128GB / RAM LPDDR4X 12GB + storage (UFS 3.1) 256GB
  • Android 11 ที่ครอบด้วย OxygenOS 11
  • ซิมคู่ (nano + nano)
  • กล้องหลัง
    • กล้องตัวหลัก 48MP (f/1.8) ที่ใช้เซ็นเซอร์ Sony IMX689 ขนาด 1/1.43 นิ้ว, รองรับ EIS
    • กล้อง ultra-wide 50MP (f/2.2) ที่ใช้เซ็นเซอร์ Sony IMX766 ขนาด 1/1.56 นิ้ว, รองรับมาโครขนาด 4cm
    • กล้อง monochrome 2MP
    • ถ่ายวิดิโอ 8k ได้ที่ 30fps, 4K ได้ที่ 60fps, slow motion 720p ได้ที่ 480fps, slow motion  1080p ได้ที่ 240fps
  • กล้องหน้า 16MP (f/2.4) ที่ใช้เซ็นเซอร์ Sony IMX471 ขนาด 1/1.43 นิ้ว, รองรับ EIS
  • เซ็นเซอร์สแกนนิ้วใต้หน้าจอ
  • ขนาดตัวเครื่อง: 160×73.9×8.1มม.; น้ำหนัก: 183 กรัม
  • ช่องเสียบหูฟัง USB Type-C, ลำโพง Stereo คู่, รองรับ Dolby Atmos
  • รองรับเครือข่าย 5G SA/NSA, Dual 4G VoLTE, Wi-Fi 6 802.11 ax 2X2 MIMO, Bluetooth 5.2, GPS (L1+L5 Dual Band) + GLONASS
  • USB Type-C
  • แบตเตอรี่ความจุ 4500mAh ที่รองรับชาร์จเร็วแบบ Warp Charge 65W
  • สีม่วง (Winter Mist), สีฟ้า (Arctic Sky) และสีดำ (Astral Black)

SCREEN

หน้าจอมาพร้อมกับหน้าจอ Fluid AMOLED ขนาด 6.55 นิ้วความละเอียด FHD+ ที่มีรีเฟรชเรท 120Hz, รองรับ HDR10+, อัตราส่วน 20:9 นอกจากนี้ตัวหน้าจอสามารถปรับความสว่างได้ถึง 8,192 ระดับ และหน้าจอจะใช้กระจก Gorilla Glass แบบแบน และได้รับคะแนนระดับ A+ จาก DisplayMate มาพร้อมกับ ขอบหน้าจอที่บาง และสามารถปรับความสว่างได้สูงสุดถึง 1,100 nits  ถือว่าในการใช้งานความสดของสีทำได้ดี ดำก็สนิทเข้มสู้แสงได้สบายด้วย พร้อมกับสแกนนิ้วมือใต้หน้าจอ และ Always On ก็มีมาให้ใช้งานครับ  แน่นอนว่าหน้าจออาจจะไม่ได้หนีไปกับตัว ONEPLUS 8T เท่าไรนักทั้งเรื่องของสเปคและขนาดหน้าจอรวมถึงรองรับ 120Hz เหมือนกันทั้งหมด

ANTUTU 

สำหรับการทดสอบคะแนน  Antutu นั้นจากที่ใช้งาน Snapdragon 888 5G แรงเอาเรื่องครับ ถ้านับจากรุ่นเดิมเลยลองกดดูนั้นทำคะแนนได้ค่อนข้างสูงเลยแหละทำได้ถึง 806872 คะแนนซึ่งถือว่าแรงกว่าเดิม 3 แสนกว่าคะแนน ยังมาพร้อมระบบระบายความร้อนด้วยของเหลว และ RAM 12 GB LPDDR5  และ การใช้ UFS 3.1ทำให้มันจับหน้าจอ 120Hz ได้สบายๆและทำงานได้เต็มที่ของตัวเครื่องถือว่าเป็นอีกรุ่นที่มีความแรงในการใช้งานทั้งเรื่องของการเล่นเกมและในการใช้งานทั่วไป รุ่นเล็กแต่สเปคยังคงทำได้ดีไม่ผิดหวังเลยครับสำหรับเจ้า Oneplus 9 Pro ตัวนี้

ANDROBENCH

มาพร้อมกับ USF3.1 256GB แบบเดิมเลยครับสามารถทำความเร็วไปได้ 1,909 MB/s เลยมันมีผลยังไงบ้างก็ต้องบอกว่ามันมีผลในการลงแอปเร็วขึ้น เปิดใช้งานอะไรพวกนี้ไวมากๆ รวมถึงการดูรูปในเครื่องก็จะทำได้ไวและลื่นไหลมากกว่าเดิม เรียกดูข้อมูล วีดีโอ ภาพนิ่งได้ไวเปิดแล้วไม่ต้องรอนานเลยแหละครับ จะเหมือนคอมพิวเตอร์ที่ใช้ SSD นั้นย่อมไวกว่า HDD แบบเดิมๆนั้นเอง จุดนี้ยังคงทำได้ไวและน่าจะเป็นเทคโนโลยีที่เร็วและใช้งานได้ดีที่สุดในตอนนี้ด้วย ถือว่าโหดกว่าเดิมที่เป็น UFS 3.0 แบบชัดเจนเพราะว่ารุ่นก่อนจะได้แค่ 1,600 เท่านั้นครับในเรื่องนี้

CAMERA 

สำหรับกล้องตัวนี้เป็นจุดที่น่าสนใจเพราะว่ามาร่วมกพัฒนากับ HASSELBLAD และใช้งานเซนเซอร์ที่ดีกว่า 8T ก่อนหน้า เพราะตัวนี้ยกเซนเซอร์กล้องจากรุ่น 8 Pro มาเลยนั้นเองครับ มาพร้อมกับ กล้องหลัง 48MP (f/1.78) ใช้เซนเซอร์ Sony IMX689, ขนาดพิกเซล 0.8μm, ฟีเจอร์ OIS + EIS, Native ISO คู่, + กล้อง ultra-wide 50MP (f/2.2) ตัวใหม่ และเป็นตัวเดียวกับรุ่น 9 PRO บอกเลยว่าคุณภาพไม่ธรรมดาครับ ที่ใช้เซ็นเซอร์ Sony IMX766 ขนาด 1/1.56 นิ้ว, รองรับมาโครขนาด 4cm และ มาพร้อมกล้องจับระยะ 2MP ใส่เข้ามาให้ ซึ่งจุดหลักๆนั้นจะไม่มี OIS ไม่มีเลนส์ เทเลใส่เข้ามาให้ในรุ่นนี้ที่แตกต่างกับ 9 PRO และ เลนส์หลักตัว 9 PRO ใช้งานเซนเซอร์เทพกว่า ใหม่กว่าครับ แต่ถ้ามองในรุ่นนี้ก็ถือว่าไม่ธรรมดานะ เลนส์มุมกว้างเทพมากๆ และ คุณภาพการถ่ายดีกว่าตอนเปิดตัวแรกๆเยอะมากกกกครับ อยากให้ลองและสัมผัสกันก่อนเพราะว่าได้พัฒนาแก้ไขมาเยอะมากๆแล้ว ส่วนกล้องหน้านั้น เป็นกล้องหน้า 16MP  Sony IMX471 พร้อมกับ รูรับแสง f/2.5 ใช้งานตัวเดียวกับรุ่นก่อนครับ เซนเซอร์ตัวเดิมเลยครับ ที่รองรับการถ่าย Portrait อะไรได้ปกติครับ และมีแต่งแสง หน้าเนียนมาให้ครบครันเช่นเดิม ส่วนกล้องหน้ายังไม่ได้แตกต่างกันเดิมมากเท่าที่ควร และเสียดายเรื่องการซูมนิดหน่อยครับในรุ่น 9 ตัวนี้

ONEPLUS 9

น้องเล็กแต่ครั้งนี้มาพร้อมกับกล้องแบบเดียวกับรุ่นพี่ในรุ่นก่อนในเซนเซอร์หลัก และ ใช้งานเลนส์มุมกว้างตัวเดียวกับรุ่น 9 PRO บอกเลยว่าไม่ธรรมดารวมถึงการร่วมพัฒนากับทาง HASSELBLAD ด้วยเช่นกันทำให้เรื่องของกล้องตัวนี้ทำได้ดีกว่าที่คิดไว้ รวมถึงดีกว่าตอนเปิดตัวที่เมืองนอกด้วยซ้ำครับ อีกทั้งงานออกแบบความสวยงามต้องบอกตรงๆว่าสวยกว่ารุ่น 8 8PRO ชัดเจนเลยแหละ หลักๆจะเป็นเรื่องกล้อง และ CPU ที่พัฒนาขึ้น แต่หน้าจอ ฟีเจอร์การใช้งาน การชาร์จอะไรต่างๆนั้นไม่ได้หนีจากเดิมเท่าไรนักครับ เน้นสำหรับการเล้นเกมที่ดีขึ้น กล้องเทพขึ้นและการปรับแต่งจาก HASSELBLAD ได้ลงตัวและสวยงามขึ้นเป็นจุดเปลี่ยนหลักๆที่ทำให้น่าสนใจ แต่ในการใช้งานเต็มจริงๆจะเป็นยังไงนั้นติดตามรีวิวเต็มๆได้อีกที และมาลุ้นกันว่าจะขายในไทยเท่าไร รวมถึงเปิดตัวขายในช่วงไหนกันบ้างครับ

สำหรับพรีวิวนี้ผมก็ต้องขอตัวลาไปก่อนสำหรับรุ่นอื่นๆก็ติดตามกันได้เลย ถูกใจฝากกดไลค์กดแชร์ด้วยนะครับ  มีข้อผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ  เพื่อนๆสนใจอยากให้พวกผมรีวิวรุ่นไหนสามารถ Inbox มาบอกเราได้เลยนะ
ฝากไลค์เพจ FACEBOOK เราด้วยนะครับ >>>>>>>>>  TECHHANGOUT

เข้าร่วมกลุ่ม TECHHANGOUT พูดคุยแลกเปลี่ยน ข้อมูล คุยกันเองชิลๆได้เลยที่ — Facebook  Techhangout พูดคุย Smartphone gadget 

Preview by Nineztr