ถ้าใครจำกันได้ Asus นั้นเป็นแบรนด์แรกที่เริ่มพัฒนาหน้าจอที่ใส่เข้ามาตรง Touchpad และยังเป็นเจ้าแรกที่ใส่พวกตัวเลข Numberpad มาบน Touchpad และได้พัฒนาต่อเนื่องแบบไม่หยุดจริงๆจนมีทั้งตัวหน้าจอ 2 หน้าจอ ในตัว Zenbook Pro ต่างๆ จนมาในรุ่น Zenbook ปกติกันบ้างในครั้งนี้ใส่หน้าจอเข้ามาแล้วในชื่อ Screenpad 2.0 ที่พัฒนาขึ้น น่าสนใจมากขึ้นและยังใช้งานได้ดีกว่าเดิม และตอบโจทย์อะไรหลายๆอย่างมากขึ้นสำหรับรุ่นนี้ครับ ในรุ่น Zenbook 13-15 ที่มาพร้อม ScreenPad 2.0 อีกทั้งเรื่องของสเปคก็ยังคงทำได้ดีและขนาดที่เล็กกว่า A4 ยังคงเป็นจุดเด่นในการพกพาและความบางเบา ทำให้มันสามารถใช้งานในชีวิตประจำวันได้สบายๆครับ ส่วนหน้าจอที่ 2ในตัว Screenpad 2.0 นั้นจะใช้งานได้ดีแค่ไหนกันเรามาลองดูรีวิวกันเลยว่ามันจะตอบโจทย์การใช้งานไหม
Asus Zenbook 13 ในครั้งนี้ถือว่าเป็นการปรับปรุงมาทำให้น่าใช้งานขึ้นพอสมควรทั้งเรื่องฟีเจอร์ของตัว Screenpad 2.0 หลักๆเลยทำให้มันน่าสนใจเลยในจุดนี้ และในด้านของสเปคเองนั้นก็มาพร้อมกับ intel Gen 10 i7-10510U ตัวล่าสุดครับ และใช้งาน Nvidia MX 250 มีการ์ดจอแยกมาให้ก็ถือว่าดีกว่าไม่ใส่มา ส่วนทางด้าน RAM 8GB 2133MHz LPDDR3 เป็นแบบ onboard และให้ SSD 512GB PCIe® Gen3x2 มาติดเครื่องครับ การออกแบบยังคงสไตล์ Zenbook อยู่เหมือนเดิมในการออกแบบฝาหลังและการยกระดับของตัวเครื่อง Ergo Lift ครับ ส่วนการออกแบบหน้าจอยังคงความบางได้ดีและกล้องยังอยู่ตำแหน่งบนครับส่วนสเปคนั้นก็จัดมาให้ค่อนข้างดี และยังมี สแกนใบหน้า 3 มิติ และ รองรับการทดสอบ MIL-STD 810G อีกด้วยถือว่าครบๆเหมือนเดิม แต่เพิ่มเติมหน้าจอ Screenpad 2.0 ที่มีความคมชัดและใหญ่กว่ารุ่นแรก มาในขนาด 5.65” FHD+ (2160 x 1080) Super IPS และรองรับระบบสัมผัสรวมถึง สามารถปรับ Hz และ ความละเอียดได้ด้วยครับ
ASUS ZENBOOK UX433F
- ZenBook 13/14 (UX334FLC / UX434FLC) ซีพียู 10th Generation Intel Core i5 / MX 250 / Windows 10 / 8 GB RAM (on board) / 512 GB PCIe®/ FHD ราคา 29,990 บาท
- ZenBook 13/14 (UX334FLC / UX434FLC) ซีพียู 10th Generation Intel Core i7 / MX 250 / Windows 10 / 8 GB RAM (on board) / 512 GB PCIe®/ FHD ราคา 35,990 บาท (รุ่นที่รีวิว)
UNBOX
ในการแกะกล่องตัวนี้ตัวกล่องเป็นการออกแบบที่แบบเดียวกับรุ่นพี่มีชื่อรุ่น รูปตัวเครื่องอะไรชัดเจนครับแต่ไม่ได้บอกว่าเป็นตัวขนาดเท่าไรในหน้ากล่อง เมื่อเปิดกล่องออกมาก็มีของอะไรมาให้ค่อนข้างเรียบร้อย และพร้อมใช้งานครับ
- ตัวเครื่อง Zenbook 13
- ซองผ้าใส่ตัวเครื่อง
- ตัวแปลง USB-LAN
- Adaptor ชาร์จไฟรองรับ ชาร์จเร็ว
- คู่มือ การรับประกันต่างๆ
ตัวซองนั้นเป็นซองผ้าลื่นๆในด้านนอก ป้องกันได้ดีและไม่เลอะง่าย ส่วนด้านในนั้นเป็นแบบบุนุ่มพอสมควรปกป้องได้ดีครับ การล็อตใช้ ตีนตุ๊กแกวงกลมยึดติดครับ เน้นสำหรับการพกพาไปข้างนอกที่พกแต่ตัวเครื่องจะค่อนข้างสะดวกเลย
DESIGN
การออกแบบนั้นยังคงดีไซน์ที่ไม่ได้แตกต่างกันรุ่นก่อนๆเท่าไรทั้งเรื่องของ อัตราส่วนเครื่อง โทนสี หรือจะเป็นฝาหลังพร้อมกับโลโก้ครับ แต่พวกรายละเอียดบางส่วนของตัวเครื่องนั้นมีแตกต่างกันบ้าง และยังคงเน้นที่ความบางเบาได้ดีและยังพกพาได้ง่ายรวมถึงการออกแบบฝาหลังที่หรูและสวยคงความเป็นตระกูล Zenbook ได้ดีเลย และมีการเล่นขอบสีทองอ่อนๆตรงข้างในด้วย แต่จะเล็กและไม่มีลวดลายแล้วแต่เงาสะท้อนแสงสวยกว่าเดิมครับ ส่วนงานประกอบจัดว่าแน่นเหมือนเดิมครับในรุ่นนี้จะเป็นสีเงินโทนสว่างทั้งข้างนอกและด้านในเลยทีเดียวตัดกับขอบทองได้ลงตัวเลย
การออกแบบทั้งภายในและภายนอกตัวเครื่องใช้วัสดุเป็นชิ้นเดียวกันสีเดียวกันทั้งหมด ผิวสัมผัสในการใช้งานทำออกมาดีครับ เป็นอลูมิเนียมทั้งหมดและยังรองรับมาตรฐานการทดสอบระดับ เกรดทหาร ตก ทนในทุกสภาพอากาศได้ดีอุณหภูมิร้อน เย็น ได้ไม่มีปัญหา เป็นรุ่นที่จัดเต็มจริงๆเหมือนทาง Asus จะเน้นจุดนี้เข้ามาในหลายๆรุ่นครับตัวนี้เด่นๆคือความบางเบา และ พรีเมี่ยมของตัวเครื่องจะเห็นว่าหน้าจอนั้นบางมากๆ การใช้โทนสีเงินทองนั้นทำให้ตัวเครื่องโดยรวมสว่างมากๆรวมถึงตัวแป้นพิมพ์ก็เป็นสีเดียวกันทั้งหมด รวมถึงตัวโลโก้ก็ใช้สีทองเงาครับ เน้นความหรูหราเพิ่มขึ้นไปอีก
ในเรื่องของฐานข้างล่างก็ยังใช้วัสดุเช่นเดียวกับตัวบอดี้มีน็อตยึดกรอบๆครับ และ เป็นที่อยู่ของลำโพงคู่ Harman/Kardon และ มีช่องระบายมาให้เป็นแนวยาวในด้านหลัง ซึ่งจุดนี้เองจะแตกต่างกับรุ่นก่อนหน้าที่มีช่องน้อยกว่าและระบายได้น้อยกว่าครับ ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงอีกจุดเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนๆครับส่วนฐานรองทั้ง 4 มุมเป็นยางรูปทรงกลมทั้งหมด แต่ก็จะมีส่วนยกขึ้นตรงขอบจอมียางรองเพิ่มเข้ามาครับ ในภาพรวมไม่ต่างกันมากแต่จุดสำคัญคือช่องระบายความร้อนนั้นใหญ่ และวางเรียงแนวยางด้านหลังเครื่องซึ่ง ดูดอากาศและระบายได้ดีกว่าเดิมเยอะ
เมื่อมาดูภายในบริเวณแป้นพิมพ์นั้น จะเห็นตัววัสดุที่เป็นผิวแบบเม็ดทรายเล่นกับแสงได้ดีสวยงามโทนสีแบบเดียวกับฝาหลังครับ และพื้นที่รอบๆเครื่องก็ทำได้ดีและกระชับขึ้นแบบชัดเจน พยายามใช้พื้นที่ให้คุ้มที่สุด และมีการเว้าลงไปนิดหน่อยในตรงแป้นพิมพ์ ส่วนในตัวแถบสีทองขอบด้านบนนั้นเล็กและบางลงรวมถึงไม่มีลวดลายแต่เป็นสีทองแบบเล่นกับแสงได้สวยขึ้นสะท้อนแสงได้ดีขึ้นพร้อมกับโลโก้ และเมื่อใช้งานนั้นจะเห็นตัวช่องระบายความร้อนที่เยอะกว่าเดิมและระบายทั้ง 2 ข้างออกมาเหมือนกันครับเรื่องควบคุมความร้อนทำได้ดีทั้งตรงแป้นวางมือและส่วนของหน้าจอมีช่องให้มันถ่ายเทได้ดีพอสมควรครับ
ขอบหน้าจอก็ทำได้บางพอสมควรครับ เป็นจอเงาทั้งหมดและกล้องหน้ายังคงอยู่ด้านบนขอบหน้าจอรวมๆทำได้บางมากๆโดยรวม แต่ด้านบนเอาจริงๆก็ยังรู้สึกหนาอยู่นิดหน่อยแต่เพื่อกล้องต้องมีอาจจะต้องยอมกันไปครับ และรองรับการสแกนใบหน้าแบบ 3 มิติด้วยเลยทำให้มันต้องอยู่ข้างบนและมีความหนาเข้ามาครับ การยกแบบนี้ทำให้ความร้อนระบายได้ดี และช่องระบายความร้อนตลอดแนวยาวของขอบจอนั้นก็ระบายได้ดีตัวนี้ไม่ได้ใช้การ์ดจอแรงอะไรมากก็ถือว่าระบายได้สบายๆ และช่องระบายที่ดีกว่าเดิมและวางแนวยาวในด้านหลังก็รองรับส่วนที่ยกได้แบบเต็มที่มากขึ้น
SPEC
- Windows 10 Home
- Intel® Core™ i7-10510U processor 14nm 1.8GHz quad-core with Turbo Boost (up to 4.6GHz) and 8MB cache
- NVIDIA® GeForce® MX250 2GB GDDR5 VRAM
- Integrated Intel® UHD Graphics 620
- 13.3” LED-backlit Full HD (1920 x 1080) 16:9 slim-bezel NanoEdge display
- Four-sided frameless NanoEdge design with 95% screen-to-body ratio
- 2.8 mm-thin side bezel and 4.5mm bottom bezel1 Wide 100% sRGB color gamut 178° wide-view technology
- Memory 8GB 2133MHz LPDDR3 onboard
- Storage 512GB PCIe® Gen3x2 SSD
- พอร์ตเชื่อมต่อ 1 x USB 3.1 Gen 2 Type-C™ (up to 10Gbps) 1 x USB 3.1 Gen 2 Type-A (up to 10Gbps) 1 x USB 2.0 1 x Standard HDMI 1 x MicroSD card reader1 x Audio combo jack 1 x DC-in
- Keyboard Full-size backlit, with 1.4mm key travel
- ScreenPad 5.65” FHD+ (2160 x 1080) Super IPS display 178˚ wide-view technology Glass-covered for fingerprint and smudge resistance Precision touchpad (PTP) technology supports up to four-finger smart gestures
- Audio ASUS SonicMaster stereo audio system with surround-sound; smart amplifier for maximum audio performance Array microphone with Cortana voice-recognition support
- 3.5mm headphone jack Certified by Harman Kardon
- Camera 3D IR HD camera
- Wi-Fi Dual-band gigabit-class Wi-Fi 5
- Bluetooth® Bluetooth 5.0
- Battery and Power Up to 13.2 hours battery life2 50Wh 3-cell lithium-polymer battery 65W power adapter
- Weight and Dimensions Height: 1.79cm Width: 30.2cm Depth: 18.9cm
- Weight3: 1.22kg
PERFORMANCE
ทางด้านประสิทธิภาพตัวเครื่องนี้มาพร้อมกับ intel i7 10510U 1.8Ghz ตัวล่าสุดสดๆร้อนๆครับใช้เทคโนโลยีสถาปัตยกรรม Kaby-Lake 14nm ทำงานร่วมกันกับ Nvidia MX250 ถือว่าสเปคที่ใช้งานนั้นจัดว่าดี เน้นพกพาทำงานทั่วไป และ ประสิทธิภาพในภาพรวมทำงานได้สบายๆครับ มาพร้อมกับ RAM 8GB Onboard ทำงานร่วมกับ 512GB SSD Gen3x2 SSD มาพร้อมกับ Windows 10 ครับ แน่นอนว่าสเปคนั้นใช้งานได้ระดับนึงในการทำงาน เล่นเกมระดับเริ่มต้น และ เพียงพอต่อการใช้งานอยู่ ยกเว้นตัว RAM นั้นอาจจะน้อยไปนิดหน่อยและเพิ่มไม่ได้ด้วยครับ
PC MARK นั้นทำคะแนนไปได้ 3,896 คะแนน จริงๆพวกระดับนี้นั้นจะเน้นทำงานได้หลากหลายแต่ไม่ได้หนักเกินไปครับ แต่เน้นครอบคลุมทำงานระดับพื้นฐานไปตั้งแต่ Word ไปยังตัดต่อรูปภาพ หรือ วีดีโอแบบเบาๆ CPU-GPU ที่รองรับกันอย่างดี แต่เรื่องการใช้งานหนักๆ นั้นอาจจะระบายความร้อนต้องดูกันหน่อยเพราะ ตัวเครื่องเล็กข้อจำกัดในการระบายก็มีอยู่บ้างครับ จากการทดสอบเสร็จแล้วนั้น ความร้อนตัวเครื่องวัดได้ที่ CPU 89 GPU 65 องศาครับผม *****อากาศปกติไม่ได้อยู่ในห้องแอร์ครับ
3D MARK นั้นการทดสอบทั้ง 4 แบบนะครับ ตัว Time Spy ที่เน้นไปเจาะกลุ่มคอมพิวเตอร์ระดับท็อปทำคะแนนได้ 985 และในส่วนของ Sky Driver 8534 คะแนน และ Night Raid นั้นทำได้ 10089 และ Cloud Gate แบบเบาๆเริ่มต้นนั้นทำไปได้ 11024 คะแนน ถือว่าอยู่ในระดับกลางไปทางสูงได้เมื่อเทียบกับขนาด และ สเปคของมัน เล่นเกมเริ่มต้น ประมวลผล 3 มิติได้ระดับเริ่มต้นไปกลางๆครับ ส่วนตัว วัดความร้อนนั้นประมาณ CPU 86 และ GPU 72 ไม่มีแอร์ และ ไม่มีพัดลมเปิดช่วยครับผม จริงๆความร้อนของตัว CPU แอบสูงไปนิดนึงถ้าใช้งานปกติครับแต่ถ้าเปิดพัดลมแรงและเล่นในห้องแอร์จะช่วยได้มากขึ้นนิดหน่อย
CINEBENCH R15 /R20 ที่เน้นในเรื่องของพลังชิปประมวลผลคะแนนในตัว R20 นั้นที่ประมวลผลหนักหน่วงกว่าเดิม ทำคะแนน 1086 CB และในตัว R15 นั้นทำไปได้ 82.28 FPS และ 504 CB ครับ วัดความร้อนนั้นประมาณ CPU 89 และ GPU 77 ไม่มีแอร์ และ ไม่มีพัดลมเปิดช่วยครับผม และในตัว SSD นั้นใช้งานที่ 512GB การอ่านที่ 1859MB/s และเขียนที่ 961 MB/s ถือว่าอยู่ในระดับกลางๆไม่ได้ไวที่สุด จริงๆถ้าจัดเต็มๆมาให้น่าจะดีกว่านี้ครับในแง่ของการใช้งานแบบเต็มที่ แต่ถ้าเทียบเรทราคาและขนาดก็พอรับได้ในส่วนของ SSD นี้
SCREEN
หน้าจอในรุ่นนี้หน้าจอนั้นมาพร้อมกับหน้าจอขนาด 13.3” แบบจอเงา ที่มีความละเอียด FHD IPS (1920 x 1080) 16:9 โดยรองรับมาตรฐาน 100% sRGB และ รองรับมุมมองกว้าง 178 องศา อัตราส่วนหน้าจอต่อพื้นที่มากถึง 92% ขอบหน้าจอหนา 2.8 มม. หน้าจอนั้นเป็นกระจกแบบเงา ครับทำให้ค่อนข้างสวยและคมชัดกว่าหน้าจอแบบด้านครับแน่นอนว่าหลายๆคนนั้นอาจจะชอบแบบนี้มากกว่าในเรื่องความสวยครับ แต่ถ้าใช้งานข้างนอกนั้นอาจจะมีรบกวนสายตานิดหน่อยถ้าไปทำงานนอกสถานที่บ่อยๆ ซึ่งภาพรวมในเรื่องของคุณภาพในการใช้งานนั้นถือว่าทำได้ค่อนข้างดีเลยแหละในมุมมองและใช้งานในและนอกสถานที่ครับตัวจอคุณภาพนั้นทำได้ดี
มุมมองจอภาพตัวนี้สเปคได้บอกว่ารองรับมุมมองกว้าง 178 องศาเมื่อจากลองใช้งานจริงถือว่าตัวมุมมองของการใช้งานมันรองรับได้ดีพอสมควรครับด้วยจอ IPS นั้นทำให้มองจากมุมอื่นๆ ด้านข้างนั้นทำได้ไม่เพี้ยนจากมุมมองตรงเท่าไร จึงทำได้ดีในเรื่องของการใช้งานทั้งทำงานด้านของ กราฟิกหรือแม้แต่ตัดต่อ แต่งภาพนั้นตัวนี้ทำได้ดีไม่มีปัญหาครับสีค่อนข้างตรงและสื่อออกมาได้ใกล้เคียงต้นฉบับมากพอสมควรครับ มุมมองแม้จะมองจากด้านข้างอาจจะมีดรอปลงมาเล็กน้อยแต่ไม่ได้มีผลกันมากในเรื่องของสีและความแม่นยำ เรื่องจอในรุ่นนี้ถือว่าทำได้ดีและไม่มีปัญหาทั้งในการใช้งานและเล่นเกม รวมถึงหน้าจอนั้นสู้แสงได้ดีเมื่อใช้งานข้างนอก ติดแค่เรื่องแสงสะท้อนนิดหน่อย
WINDOWS HELLO / 3D IR
ในรุ่นนี้ไม่มีการใส่สแกนนิ้วมาให้ แต่ก็ยังดีใช้งานระบบสแกนใบหน้า 3 มิติที่ใช้งานการจับแบบ IR แบบเดียวกับพวก iPhone 11 Pro พวกนั้นครับและทำได้แม่นยำและดีกว่าจดจำแบบภาพ 2 มิติเยอะมากและข้อดีของมันคือใช้งานกลางคืนได้ดีกว่าแบบภาพนิ่ง 2 มิติเยอะเลย ในการใช้งานนั้นทำได้ไวมากๆเลยแหละดีกว่าสแกนนิ้วเยอะครับ แต่ถ้าใส่แว่น หรือ แสงยากๆอาจจะยังไม่ได้ฉลาดเท่าพวกมือถือครับ แต่ก็สะดวกกว่าเดิมเยอะเลย เพราะทำงานได้จริงและไวขึ้นเยอะครับ ส่วนสแกนนิ้วหลายๆรุ่นใหม่ก็เริมตัดออกไป แต่ก็ใส่สแกนใบหน้ามาแทนโดยที่ขอบไม่ได้หนาด้วยนะ
KEYBOARD
แป้นพิมพ์ตัวนี้จะมาแบบเต็มแต่ไม่มี Numpad มาให้นะครับแต่ก็ไม่ได้ตัดออกไปซะทีเดียวเพราะย้ายไปตรงตำแหน่ง Screenpad และสามารถเปิดปิดได้ใช้งาน และใช้งานนอกเหนือกว่านั้นได้อีกไว้ไปดูในส่วนของ Screenpad นะครับ ในแง่ของการออกแบบในภาพรวมนั้นตามขนาดของมันถือว่าโอเคแต่สำหรับตัวปุ่มตำแหน่งการวางจะแอบแปลกๆในด้านขอบตัวลูกศร และ ตัวปุ่ม Shift ที่ขนาดมันเล็กมากๆ น่าจะต้องพยายามยัดให้มันลงกับหน้าจอ 13.3 นิ้วเลยทำให้ใครที่ใช้รุ่นอื่นๆหรือตัว 14-15 นิ้วมาก่อนจะปรับตัวกันพอสมควรครับ เพราะปุ่มมันชอบไปโดนได้ง่ายและกดยากมากๆในตัว Shift แต่ในแง่ของการพิมพ์นั้นใช้งานดีกว่าตัวอื่นๆด้วยการยกตัวข้างหลังขึ้นมานั้นทำให้มันพิมพ์ได้ง่ายและระยะองศาไม่เมื่อยมือคือจุดเด่นของมัน ส่วนปุ่มต่างๆใช้โทนสีเดียวกับตัวเครื่องและมีไฟ Blacklit สีขาวสามารถปรับระดับได้ 3 ระดับครับ แต่มองยากมากก ถ้าใช้งานกลางแจ้งหรือสว่างจุดนี้บนตลอดเลย
Ergo Lift ยกตัวเครื่องนั้นทำให้มันพิมพ์งานได้สะดวกมากจริงๆและสบายมือแบบชัดเจนครับจุดนี้ต้องลองใช้งานจริงๆแล้วจะค่อนข้างชอบ ตัวปุ่มรวมๆนั้นกดได้ง่ายและความรู้สึกดีกว่ารุ่นเดิมนิดหน่อย เพราะการออกแบบมีการปรับเปลี่ยนให้ดีขึ้นแต่ระยะอะไรนั้นไม่ได้แตกต่างกับของเดิมเท่าไรครับแต่ทรงปุ่ม ระยะเว้นต่างๆนั้นทำได้ดีขึ้น แต่เจอปัญหาอีกแล้วสำหรับการ ออกแบบแป้นพิมพ์นั้นจะเป็นตัวอักษรสีขาว และปุ่มสีเงินซึ่งบ่นทุกครั้งที่เจอการออกแบบ แบบนี้ครับจริงๆมันค่อนข้างมองยากมากกก เพราะรุ่นก่อนหน้านั้นก็จะเป็น ตัวอักษรขาว ไฟขาวแน่นนอว่ามองได้ค่อนข้างยากมากเลย และรุ่นนี้ก็เจอปัญหาเดิมอีกแล้ว ซึ่งบางรุ่นเป็นตัวอักษรสีทองแบบนั้นจะยังพอมองง่ายกว่าเยอะครับ
SPEAKER
ชื่อที่คุ้นเคยสำหรับ Harman/Kardon และจะมีให้ใช้งานกันยาวๆสำหรับแบรนด์นี้ มีมาให้ 2 ข้างยิงลงพื้นครับในส่วนด้านหน้าช่องลำโพงวางแนวยาวๆครับ เสียงทำได้ดีแต่ไม่ได้ดังมากเท่าไร เป็นแบรนด์ที่ร่วมมือกับทาง Asus มาโดยตลอดซึ่งลำโพงก็ยังคงแนวเสียงของมันเอาไว้ได้คุณภาพเสียงที่ได้ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมมันถึงทำได้ดีมีมิติแบบนี้ครับแม้จะเป็นรุ่นกลางแต่เสียงที่ได้ไม่แพ้รุ่นพี่ของมันเลยทั้งความดังและมิติ แต่แค่จะขาดเสียงเบสที่น้อยกว่าเล็กน้อยครับ แต่เสียงอื่นๆเสียงร้อง ย่านอื่นๆมาดีมากๆฟังเพลงได้ค่อนข้างดีครับ ดูหนังก็แยกซ็ายขวาชัดเจนเลยแต่ถ้าเรื่องของเล่นเกม ยิงปืนพวกนี้ ระเบิดอาจจะไม่ได้ตูมตามสะใจเท่าไรนักครับ และด้วยขนาด 13 นิ้วนั้นเสียงถือว่าดีเมื่อเทียบขนาดของมันครับดังทำได้ดีเลยแหละ แต่ใช้งานข้างนอกอาจจะไม่ได้ยินเสียงชัดเท่าไรนักในตัวนี้
SCREENPAD 2.0
Screenpad 2.0 นั้นถือว่าเป็นจุดเด่นและเป็นตัวที่น่าสนใจที่สุดของรุ่นนี้เพราะว่าเป็นรุ่นแรกๆที่ใส่เข้ามาของตัวนี้ในขนาด 13.3 นิ้วทำให้มันทำได้ดีในแง่ของการใช้งานซึ่งจะมาตอบโจทย์ข้อจำกัดของหน้าจอที่เล็กของรุ่นนี้ได้ดี ซึ่งตัว Screenpad 2.0 นั้นสามารถใช้งานหลักๆได้ 3 แบบคือ หน้าจอใช้งาน แบบ ปกติจะปิดหน้าจอ และ ปิดการใช้งานครับ และการที่มันมีหน้าจอข้างล่างแน่นอนว่าอาจจะทำให้มันกินแยตไปมากพอสมควรเลย แต่พอได้ใช้งานแล้วก็ถือว่าทำได้ดีครับ ฟีเจอร์ที่ใส่เข้ามาก็พัฒนาให้ดีขึ้นเรื่อยๆจากรุ่นแรกที่เคยใช้งานไป และ พัฒนาต่อจาก Numberpad แบบเดิมที่เป็นแค่ตัวอักษรครับ ส่วนในรุ่นนี้นั้นจะทำอะไรได้ยังไงบ้างไปดูกันเลยในการใช้งานจริงๆ
ในการเปิดหรือปิดใช้งานนั้นสามารถกด fn+F6 ได้เลยครับมันจะสามารถสลับโหมดได้ทั้งหมด 3 แบบตามภาพด้านบนคือ Screenpad Mode ใช้งานที่มีหน้าจอรองรับการใช้งานแบบเต็มตัว และ Traditional Touchpad Mode ซึ่งจะปิดหน้าจอเป็นที่ทัชแบบดำๆปกติครับ และ อันสุดท้ายคือปิดการใช้งานเลยเวลาสัมผัสก็จะไม่โดนครับ ซึ่งหน้าจอที่ 2 ในโหมดแรกนั้นจะเป็นหน้าจอที่สามารถแคปหน้าจอก็สามารถติดออกมาได้ด้วยเหมือนจอที่ 2 และ **สามารถลากหน้าต่าง หรือ แอปอะไรได้หมดเลยมาลงจอข้างล่างเหมือนมีหน้าจอที่ 2 ต่อจอแยกเลยนั้นเองครับ
หน้าจอหลักๆนั้นจะเป็นหน้าแรกคือหน้ารวมแอปทั้งหมดไม่ว่าจะเป็น Numberkey หรือ Handwriting และแอปอื่นๆทั้งแอปที่ทำงานร่วมกันกับ Microsoft ต่างๆและมีพวก Spotify และ Quickkey ที่เป็นคีย์ลัดครับ ส่วนในการสลับมาใช้งาน Touchpad ปกติก็สามารถกดมุมซ้ายได้เลย ก็จะเป็นหน้าจอจางๆและสามารถลากนิ้วสั่งงานอะไรเหมือน Touchpad ปกติเลยครับ และ ภาพสุดท้ายในด้านบนนั้นจะเป็นการปิดใช้งานหน้าจอไปเลยเป็นทัชแบบปกติ
ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานจาก Microsoft Office ทั้งเรื่องของ Powerpoint Excel หรือจะเป็น Word ก็สามารถใช้งานหน้าจอ ScreenPad 2.0 ในการทำงานร่วมกันได้ทั้งกดเพิ่มสไลด์เปลี่ยนอักษร ขนาดการจัดวางเป็นต้น หรือจะเป็นการใช้งาน Numberpad ปกติทั่วๆไปเลยสามารถแตะกดลงไปได้เลยครับโดยจะไม่กระทบกับการเลื่อนลูกศร
และ Spotify นั้นจะเป็นแอปแยกที่ใส่เข้ามาทำให้เราสามารถควบคุมเพลงอะไรได้เลยเลือกเพลงเปลี่ยนเพลงได้โดยไม่ต้องไปเกะกะหน้าจอหลัก แอปนี้ถือว่าออกแบบและใช้งานได้ดีมากๆอีกตัวครับ ส่วนในตัว Handdrawing นั้นจะเป็นการเขียนหรือเซ็นได้เลย และจะมีแปลงเป็นตัวอักษรได้ โดยอิงจากที่เราเขียนได้ครับรวมถึงเปลี่ยนภาษาได้ด้วย
ส่วนตัว Quickkey นั้นจะเป็นคีย์ลัดที่สามารถตั้งค่าได้ว่าเมื่อแตะปุ่มนั้นแล้วจะเป็นอะไรเช่นตั้งว่าในแอป Photoshop นั้นกดเพื่อจะเซฟหรือย้อนหลับหรือเข้าปุ่มพิเศษอะไรต่างๆครับ ถือว่าสะดวกมากๆเช่นในภาพนั้นแตะครั้งเดียว แทนที่จะต้องกดหลายๆปุ่มเช่นตัว Ctrl+A แต่อันนี้เราสามารถกดแตะปุ่มเดียวได้เลยครับสะดวกมากๆ และในการตั้งค่านั้น สามารถปรับความสว่าง และ พื้นหลัง รวมถึงความคมชัดและ Hz ของหน้าจอที่ 2 ตัวนี้ได้ด้วย
CONNECTOR
ช่องเชื่อมต่อในรุ่นนี้ถือว่าให้มาค่อนข้างครบๆเพียงพอแต่ก็มีบางส่วนที่ยังขอบ่นหน่อยนึงในเรื่องพอร์ต 2.0 ที่ไม่ควรมีมาให้แล้วในปีนี้ครับ แอบเสียดายจริงๆ แต่ในภาพรวมก็ถือว่าไม่ได้แย่นะ อีกทั้งยังมีสายแปลงมาให้ด้วยสำหรับเสียบสาย LAN ในตัว ส่วนด้านหลังนั้นจะเป็นช่องระบายทั้ง 2 ข้างดูดีและเยอะกว่าเดิม เรื่องความร้อนก็ทำได้ดีขึ้น
ในด้านซ้ายนั้นจะเป็น ช่องสำหรับเสียบไฟเข้า DC-IN และ HDMI 1.4 รวมถึง USB 3.1 Gen 2 Type-A (up to 10Gbps) และUSB 3.1 Gen 2 Type-C (up to 10Gbps) ข้างนี้เร็วแรงจัดเต็มมากๆครับ และยังมีช่องเสียบสาย LAN เป็นสายแปลงแยกมาให้ในกล่องสำหรับใช้งานกัน
พอร์ตเชื่อมต่อในด้านขวานั้นจะเป็น ไฟแสดงสถานะก่อนเลย 2 จุด และ รู 3.5 มม. และ USB-A 2.0 ซึ่งไม่ควรใส่มาแล้วในปลายปี 2019 และช่องยิ่งน้อยๆอยู่ครับเสียดายมากๆจุดนี้ รวมถึงช่องใส่ Micro SD มาให้ยังถือว่าดียังไม่ได้ตัดไปไหนครับแต่ก็ยังคงชอบ SD Slot มากกว่า
GAMING
ในการทดสอบเล่นเกมตัวนี้มีการ์ดจอแยกมาให้ก็ถือว่าทำได้ดีระดับนึงครับ เกมออนไลน์พวกนี้ทำงานได้ดีไม่ติดปัญหาภาพไม่ได้แย่ และ เล่นได้ลื่นไหลพอสมควรครับ แต่พวกเกมที่ภาพเทพๆอาจจะไม่เหมาะเท่าไรนักทั้งเรื่องประสิทธิภาพและเรื่องความร้อนด้วยเพราะพวกนี้กินทรัพยากรและดูดพลังอย่างมาก อาจจะทำให้เกิดความร้อนสะสมได้ถ้าเอามาเล่นเยอะๆหรือเล่นเป็นหลักครับ ส่วนที่ลองนั้นได้ลองตัวเกม Overwatch ทำได้ที่ FPS 50-60 แต่ต้องปรับภาพเป็น Medium หรือ Low นะครับ ส่วนความร้อนนั้นประมาณ 60 มีขึ้นไปแตะ 70+ ก็ถือว่าร้อนระดับนึงครับ และถ้าร้อนจัดๆ นั้น FPS ตกแน่นอนไปประมาณ 30+ ครับ ทดสอบแบบอากาศปกติไม่ได้เปิดแอร์ครับ ระบายได้ดีขึ้นแต่ก็ยังไม่เหมาะสำหรับเล่นเกมหนักๆเท่าไร ถ้าเล่นในห้องแอร์ปรับภาพกลางๆก็พอเล่นแก้เบื่อได้ครับบางเกม
ASUS ZENBOOK 13 + ScreenPad 2.0
” 13 นิ้วที่เล็ก ฟีเจอร์จัดเต็ม หน้าจอ ScreenPad 2.0 เสริมเข้ามาช่วยได้เยอะมาก !”
หน้าจอ 13 นิ้วอาจจะเล็กแต่การที่มีหน้าจอที่ 2 เข้ามามันเติมเต็มอะไรหลายๆอย่างได้ดีขึ้นเยอะ แต่แค่ต้องใช้เวลาปรับปรุงการใช้งานให้เข้ากับตัวเราได้เท่านั้น ทั้งเรื่องคีย์ลัด ฟีเจอร์ช่วย แอปเพลง รวมถึง การใช้งานพื้นฐานเช่น Numpad ก็ตอบโจทย์ไปหมดเลย หลักๆผมคงจะชอบ คียลัด และ Spotify มากที่สุดเลยเพราะใช้บ่อยมากๆครับ มันตอบโจทย์ข้อจำกัดของหน้าจอ 13 นิ้วได้สบายๆเลยไม่ต้องแบ่งจออะไรบ่อยๆ แต่การที่มีหน้าจอที่ 2 ก็อาจจะทำให้กินแบตมากขึ้นนิดหน่อยจากรุ่นทั่วไปครับ ส่วนประสิทธิภาพนั้นไม่ต้องห่วงเลยสบายๆทำงานได้ชิลๆครับ และงานประกอบความแข็งแรงอะไรหายห่วงสำหรับค่ายนี้ แต่ก็มีบางจุดที่แอดขับใจเช่นยังมีพอร์ต USB 2.0 มาให้ รวมถึงไม่มี SDCard reader มาให้ สำหรับช่างภาพมันน่าจะจำเป็นพอสมควรเวลาไปทำงานข้างนอก
ข้อดี
- ขนาดเล็กกว่ากระดาษ A4 พกพาง่ายและไม่เกะกะ
- วัสดุงานประกอบยังคงทำได้ดี และพรีเมี่ยมหรู
- ScreenPad 2.0 ทำให้ตอบโจทย์อะไรหลายๆอย่าง ของขนาด 13 นิ้วได้ดี
- Ergo Lift ระบายความร้อนดีขึ้น พิมพ์งานได้สะดวกเหมือนเดิม
- ช่องระบายด้านฐานเครื่องใหญ่กว่าเดิม วางตำแหน่งดีขึ้น
- สแกนหน้า 3 มิติทำงานได้ไวเชนเดิม
- สเปคใช้งาน intel Gen 10 ตัวล่าสุด พร้อม MX 250
- ใช้งาน SSD 512GB + RAM 8GB เพียงพอต่อการใช้งานทั่วไป
- Military Grade รองรับ MIL-STD 810G
ข้อสังเกต
- SSD ความเร็วยังไม่แรงมากนัก
- หน้าจอ 2 อันทำให้แบตไม่ได้อึดเท่าที่ควร ประมาณ 8-9 ชม
- ยังคงมี USB-A 2.0 มา จริงๆควรจะ 3.0 ไปได้แล้วอย่างต่ำ
- คีย์บอร์ดสีนี้ + ไฟขาว ยังคงมองยากเหมือนเดิม
สำหรับรีวิวนี้ผมก็ต้องขอตัวลาไปก่อนสำหรับรุ่นอื่นๆก็ติดตามกันได้เลย ถูกใจฝากกดไลค์กดแชร์ด้วยนะครับ มีข้อผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ เพื่อนๆสนใจอยากให้พวกผมรีวิวรุ่นไหนสามารถ Inbox มาบอกเราได้เลยนะ
ฝากไลค์เพจ FACEBOOK เราด้วยนะครับ >>>>>>>>> TECHHANGOUT
เข้าร่วมกลุ่ม TECHHANGOUT พูดคุยแลกเปลี่ยน ข้อมูล คุยกันเองชิลๆได้เลยที่ — Facebook Techhangout พูดคุย Smartphone gadget
Review By Nineztr