Beats นั้นเป็นแบรนด์หูฟังที่มีชื่อเสียงมายาวนานพอสมควร แน่นอนว่าเป็นแบรนด์ที่มีความโดดเด่นในแง่ของการออกแบบ และดีไซน์ที่สวยงามและแฟชั่นพอสมควรครับ ทั้งตัวสีสันที่หลากหลายและด้วยชื่อเสียงของแบรนด์นั้นเป็นที่รู้จักกันอย่างดีในหลายๆวงการก็มักจะเห็นดารา นักบอลใช้งานกันและในรุ่นใหม่ๆนั้นได้ตกไปอยู่ในมือของ Apple แล้วนั้นเองหลังจากได้ซื้อกิจการไปครับ แต่ก็ยังคงเอกลัษณ์ของแบรนด์และหลายๆอย่างไว้เหมือนเดิม แต่ก็มีการพัฒนาเรื่องของเสียงขึ้นพอสมควรจนทำได้ดีขึ้นเรื่อยๆและไม่ได้แย่แบบรุ่นยุคแรกๆแล้ว และในรุ่นนี้ Beats SOLO Pro นั้นได้ยกระดับเสียงไปอีกทั้งการใส่ฟีเจอร์ตัดเสียงรบกวนเข้ามา และ ดีไซน์อะไรให้สวยงามและมีฟีเจอร์เพิ่มขึ้นด้วยแน่นอนว่าทำให้มันค่อนข้างน่าสนใจและคุ้มราคามากขึ้น ส่วนในการใช้งานจริงๆนั้นจะเป็นยังไงมาอ่านกันได้เลย
Beats Solo Pro เปิดตัวเป็นรุ่นล่าสุดในตระกูลที่ขายดีที่สุด ซึ่งมาพร้อมกับ เทคโนโลยีตัดเสียง Pure Adaptive Noise Canceling (Pure ANC) หรือที่เราคุ้นๆกันคือ ระบบตัดเสียงรบกวนนั้นเองครับ และเป็นรุ่นแรกด้วยที่ใช้ระบบนี้ และทำงานได้เงียบกว่ารุ่นก่อนๆเยอะเลย และยังมีการใส่ฟีเจอร์ Transparency เข้ามาทำให้เราได้ยินเสียงจากข้างนอกเข้ามาครับ สลับโหมดได้ง่ายๆเลย และ ยังใช้งาน ชิป Apple H1 รองรับฟีเจอร์ Hey Siri และตัวไมค์นั้นเป็นแบบ Beam forming และรองรับ Audio Sharing บน iOS 13 คล้ายกับของ AirPods ส่วนแบตเตอรี่แอปเปิ้ลเคลมว่าสามารถใช้งานได้สูงสุด 40 ชั่วโมง ถ้าปิดระบบ Pure ANC และ Transparency แต่ถ้าต้องการใช้งาน 2 ระบบดังกล่าว แบเตอรี่สามารถอยู่ได้ถึง 22 ชั่วโมง ทางด้านราคาในไทยนั้น นั้นเปิดราคามาที่ 10,500 บาท มาพร้อมสีที่เยอะมากก ทั้งหมด 6 สี Black, Ivory, Gray, Dark Blue, Light Blue และ Red เป็นแบรนด์ที่ยังคงเน้นเรื่องการออกแบบได้ดีและสีสันที่หลากหลายมากๆ ช่องทางจำหน่าย :
iStudio by Copperwired // iStudio by SPVi // iStudio by Uficon // King Power
Munkong Gadget // Siam Discovery // Mercular // Shopee
UNBOX
ตัวกล่องนั้นเป็นสีดำ พร้อมกับตัวหูฟังด้านข้างที่เป็นรูปหูฟังชัดเจน และรวมถึงบอกชื่อรุ่นอะไรเรียบร้อยครับ มีเขียนระบบตัดเสียงไว้ในมุมขวาบน ส่วนอุปกรณ์ข้างในนั้นให้มาครบๆเหมือนเดิมครับทั้งตัว คู่มือ สายชาร์จแบบ Lightning และ กล่องผ้าใส่หูฟัง รวมถึง ตะขอ สำหรับเกี่ยวเวลาพกพาใช้งานสีดำทั้งหมดครับ ถือว่าให้มาครบๆเลยขาดแค่เพียง Adaptor ชาร์จไฟ ซึ่งในรุ่นพวก Studio Wireless รุ่นแรกๆจะมีมาให้แต่รุ่นนี้นั้นยังไม่มีมาให้ในกล่องนะครับ และ รุ่นใหม่ๆไม่ค่อยให้กันมาแล้วก็แอบเสียดายพอสมควรเลย
ตัวกล่องใส่หูฟังนั้นจะเป็นวัสดุผ้าสีเทาสวยงามและ นุ่มๆครับไม่ใช่วัสดุแข็งแบบพวกตัว Studio แต่ก็ดีกว่าแต่ก่อนจะเป็นแค่ถุงผ้าครับถือว่าดีไซน์สวยและวัสดุดีขึ้นด้วย รองรับการพกพาที่ดีกว่าเดิมแต่เรื่องกันกระแทกนั้นอาจจะไม่ได้ดีมากนัก แต่ก็ได้เรื่องของความยืดหยุ่นเวลาพกพา รวมถึงน้ำหนักของตัวกล่องด้วยทำให้พกพาไปได้สะดวกขึ้นครับ
DESIGN
งานออกแบบแน่นอนว่ารุ่นนี้ก็ยังอิงดีไซน์ดั้งเดิมของ Beats ไว้ได้ดีครับยังไม่ได้ทิ้งหายไปไหน แต่เป็นการปรับปรุงให้มันลงตัวและมีความแตกต่าง ดูบางเบาขึ้นด้วยการออกแบบก้านให้มันเป็นทรงโค้งมนแยกออกจากตัววงกลม B ครับ แต่ก็ยังคงเอกลักษณ์ของตัว B ตรงกลางพร้อมรูปวงกลมไว้อยู่ แต่ก็ดูทันสมัยขึ้นด้วยเช่นกันวัสดุเป็นสีดำด้าน พลาสติกผสมกับอลูมิเนียม น้ำหนักเบาครับ ส่วนตัว B สีดำเงา เสียดายว่าไม่เจอ B สีแดงแล้วในยุคหลังๆ งานประกอบอะไรก็ทำได้ดีเหมือนเดิม แต่พวกข้อพับเป็นพลาสติกนิดหน่อยตรงฐานอาจจะต้องระวังเวลาใช้งานในหลายๆปีครับ แต่ก็ดูแข็งแรงและแน่นหนากว่ารุ่นเจนแรกๆพอสมควรเลย ในส่วนของข้อพับต่างๆและวัสดุในภาพรวมด้วย
ดีไซน์ในภาพรวมของตัวหูฟังนั้นจะเห็นว่ารูปทรงอะไรยังไม่ได้แตกต่างกันมากแต่ที่ชอบคือออกแบบดูบางเบาขึ้นและใช้วัสดุอลูมิเนียมเข้ามาแทรกให้เห็นได้มากกว่าเดิมและดูดีขึ้นจากที่เคยเป็นพลาสติกหุ้มทั้งหมดครับ ซึ่งสีดำนั้นเลยอาจจะไม่ได้เด่นมากนักตรงตัววัสดุอลูมิเนียม แต่ถ้าเป็นสีอื่นๆจะมีการเล่นสีตัดกันได้บ้างเล็กน้อยก็เป็นอีกลูกเล่นครับ และตัวฟองน้ำอะไรก็หนาพอสมควร แต่ด้วยมันเป็น On-Ear เลยอาจจะไม่ได้ใหญ่หรือครอบใบหูครับเป็นปกติ
ด้านขวาและซ้าย นั้นจะเห็นว่าไม่มีความแตกต่างกันเท่าไรทั้งเรื่องของปุ่มต่างๆแต่จะมีฝั่งขวานั้นจะเป็นปุ่มควบคุมคือสามารถกดลงไปได้เลย ตรงตัวโลโก้ และ รอบๆ ขึ้นลง ได้เลยสำหรับการเปลี่ยนเพลงต่างๆครับ และสามารถกดเรียก Google หรือ Hey Siri ได้เลย ส่วนด้านซ้ายนั้นจะกดไม่ได้ครับ และจะเห็นว่า ก้านของมันนั้นถ้ายือดออกมาแบบภาพบนนั้นจะเห็นการเจาะรูของก้านก็สวยและทำให้น้ำหนักเบาขึ้นจากแบบเดิมได้ดีมากๆครับ
ในด้านล่างนั้นจะเห็นว่ามี ปุ่มสำหรับเปิดปิด โหมดตัดเสียงรบกวน สลับระว่างตัดเสียงกับ Transparency สำหรับได้ยินเสียงภาพนอกนั้นเอง และ ในด้านขวานั้นจะเป็นช่อง Lighting สำหรับชาร์จไฟ และ ไฟสถานะครับ ไม่มีรู 3.5 มม. มาให้รวมถึง ไม่มีปุ่มเปิดปิดครับเพราะ การเปิดปิดของมันจะเป็นการ กางใช้งานมันก็จะเปิดเองเลย และเมื่อพับเก็บมันก็จะปิดให้เองครับ ถือว่าดีเลยแหละ แต่พอร์ตชาร์จแบบนี้ถ้าใครไม่ใช้ iOS นั้นน่าจะลำบากเลย จริงๆอยากให้เป็น USB-C น่าจะดีกว่า แต่ก็อย่างว่ารุ่นนี้นั้นมาจาก Apple แล้ว และทำออกมาเน้นรองรับพวกนั้นมากกว่าและจะเห็นว่ามีรูไมค์มาให้เยอะหลายตัวทั้งรองรับคำสั่งเสียง โทรเข้าออก และใช้งานการดูดเสียงเข้า หรือ ระบบตัดเสียงนั้นเองครับ และในส่วนด้านบนนั้นจะเป็นโลโก้เขียน สีเทาครับพร้อมตรงก้านนั้นเป็นวัสดุสีดำด้านทั้งหมด เรียบๆเป็นพลาสติกครับผม
ตรงข้อพับนั้นจะเป็นกลไกคล้ายๆแบบเดิมแต่มีการเปลี่ยนวัสดุรอบๆนิดหน่อยครับ อาจจะดีขึ้นในแง่ของความแข็งแรงด้วย แต่ก็ยังมีส่วนพลาสติกอยู่ข้างๆซึ่งในรุ่นก่อนหน้านั้นแอบเจอมันแตกหักได้หลังใช้งาน 2-3 ปีครับแต่ก็น่าจะมีการปรับปรุงแล้วในรุ่นนี้ สามารถพับได้ 1 จังหวะและเมื่อพับเก็บแล้วนั้นก็จะเป็นการปิดเครื่องเลยนั้นเอง แต่ข้างในนั้นจะเป็นการบุนุ่มและหุ้มด้วยยางบางๆอีก 1 ชั้นทั้งหมดนะครับจะไม่มีส่วนที่เป็นพลาสติกแข็งเลยก้านส่วนด้านใน
ขอบก้านข้างใน ในส่วนของขอบบนกันก่อน ขอบด้านบนนั้นจะเป็นแบบยางบุนุ่มกดลงไปได้ครับ ระยะอะไรกำลังดีไม่ได้นุ่มแบบฟองน้ำครอบหูเท่าไรแต่ก็เด่นในเรื่องของความทนทานที่น่าจะดีกว่าแบบบุหนังซึ่งจะชอบลอกเวลาใช้งานนานๆในด้านบน ส่วนตัวนั้นชอบแบบยางที่ใส่เข้ามามากกว่า และด้วยน้ำหนักหูฟังไม่ได้เยอะเลยไม่เป็นปัญหาเลย ส่วนขอบฟองน้ำรอบๆที่ครอบหูนั้นบุนุ่มกำลังดีพร้อมวัสดุหนังเทียมสีดำ ซึ่งฟองน้ำจะเปลี่ยนสีตามสีหลักของหูฟังนะครับ สำหรับใครที่เน้นใช้งานเยอะๆอาจจะเอาฟองน้ำสีดำ น่าจะหาเปลี่ยนได้ง่ายและรักษาได้ง่ายสุดครับ ส่วนระยะอะไรตรงที่ครอบหูลึกกำลังดี มันจะไม่ได้ครอบหูเลยไม่ได้เว้าลงไปเยอะมากเท่าไรด้วยครับตรงระยะข้างในหูฟัง
SPEC
- ฟอร์มแฟกเตอร์: ครอบหู
- Apple H1
- ไดรเวอร์ขนาด 40mm
- การเชื่อมต่อ: Bluetooth 5
- แหล่งพลังงาน: พลังงานแบตเตอรี่
- แบตเตอรี่: ลิเธียมไอออนชนิดชาร์จซ้ำได้
- พอร์ต Lighting
- รองรับคำสั่งเสียง Google – Hey Siri
- แบตเตอร์รี่ ใช้งานได้สูงสุด 40 ชั่วโมง /เปิดระบบตัดเสียง 22 ชั่วโมง
- ไม่มีรู 3.5 มม.
- ระบบตัดเสียงรบกวน
- ความสูง: 17.9 ซม.
- น้ำหนัก: 267 กรัม
SOFTWARE
ทางด้าน Software นั้นจะใช้งานตัว Beats บนตัว Android – iOS นั้นมีให้โหลดทั้งคู่ครับซึ่งตัวแอปนั้นจะช่วยอย่างมากเวลาเชื่อมต่อคือมันจะขึ้นหน้าเชื่อมต่อมาเลยเวลาใช้งานหรือแค่เราเปิดหูฟังเวลากางออกมานั้นมันจะเด้งหน้าเชื่อมต่อแบบภาพด้านบนมาเลยคือ สะดวกมากก เหมือนใช้พวก Airpods พวกนั้นเลยและเชื่อมได้ไวมากครับเพราะใช้งาน BLE คอยเชื่อมต่ออยู่บนมือถือ คือพร้อมใช้งานได้ไวจริงๆและบอกสถานะแบตและตัดเสียงให้เลย
เมื่อเข้ามาตัวแอปแล้วนั้นจะเห็นว่าเป็นโทนสีดำทั้งหมด และมาพร้อมกับหน้าแรกคือจะเป็นรูปตัวหูฟัง พร้อมชื่อรุ่น ที่สามารถเปลี่ยนชื่อได้ด้วย และ บอกสถานะแบต สถานะเชื่อมต่อ และ การเปิดเสียง ปิดเสียงรบกวนต่างๆครับ และเมื่อแตะมุมซ้ายบนจะเป็นการตั้งค่าการเชื่อมหูฟังอื่นๆ ตั้งค่าแอปเป็นต้น ส่วน ตัวหน้าหลักนั้นเมื่อเลื่อนลงมาจะเป็นการเปลี่ยนชื่อ หรือจะเป็นการดูการใช้งาน คู่มือคร่าวๆของตัวหูฟังครับหลักๆมีแค่นี้ไม่มีอะไรเยอะ เข้าใจง่ายครับ
FEATURE
ในแง่ของฟีเจอร์ในตัวหูฟังเองนั้นมีใส่เข้ามามากขึ้นทั้งเรื่องของการตัดเสียงรบกวน การดูดเสียงรอบข้างเข้ามาในโหมด Transparency อีกทั้งยังมีการใส่ฟีเจอร์ที่รองรับคำสั่งเสียง Hey Siri สำหรับผู้ใช้งาน iOS และ เมื่อกดค้างนั้นจะสามารถ Google Assistant ได้ด้วยสำหรับรุ่นอื่นๆครับ และ ใช้งานได้นาน 40 ชั่วโมง และ 22 ชั่วโมงถ้าเปิดตัดเสียง และ ชาร์จได้ไว 10 นาที ใช้งานได้ 3 ชั่วโมงเลย และ เปิดปิดง่ายๆแค่กางหรือพับหูฟังครับ อีกทั้งยังใส่ไมค์สำหรับ คุยโทรศัพท์และเสียงที่ได้นั้นชัดเจนเอาเรื่องเลยจากที่ได้ลองคุยจริงๆและคำสั่งเสียงรับได้แม่นยำมากๆ
- Active Noise Cancelling (ANC) ตัดเสียงรบกวนจากภายนอก
- Pure ANC ปรับเสียงรบกวนและรักษาคุณภาพของเสียงไว้เหมือนเดิม
- Transparency ดูดเสียงจากภายนอกเข้ามาเวลาใช้งาน
- ระยะเวลาการใช้งานเมื่อเปิด ANC 22 ชั่วโมง
- ระยะเวลาการใช้งาน 40 ชั่วโมง เมื่อปิดโหมด ANC และ โหมด Transparency
- Fast Fuel ชาร์จ 10 นาที รองรับใช้งานได้สูงสุด 3 ชั่วโมง
- เปิด ปิด อัตโนมัติ เมื่อกาง หรือ พับตัวหูฟัง
- คำสั่งเสียงแบบแฮนด์ฟรี “หวัดดี Siri” แบบไม่ต้องกด หรือใช้งาน Google Assistant เมื่อกดค้าง
- Class 1 Bluetooth 5.0
- มาพร้อมไมค์รับเสียง Beam forming
สำหรับคนใช้งาน iOS นั้นเมื่อใส่หูฟังอยู่จะสามารถ พูด Hey Siri ได้เลยเวลาใช้งาน และสามารถสั่งให้มันเปิดเพลง โทรออก เช็คอะไรได้สบายมากๆ รวมถึงถ้าใช้ Android นั้นก็กดค้างที่ปุ่มด้านขวาก็จะสามารถสั่งงานได้เลยทั้งเปิดเพลง เช็คอะไรได้ทั้งหมด โทรออกอะไรได้ครับสั่งงานได้สบายมากๆและรองรับเสียงได้ดีเลยนะ คือแม่นและเป๊ะเลย ไมค์ที่ติดบนหูฟังนั้นรับเสียงได้ดีกว่าที่คิด คือแอดมินลองใช้งานบนริมถนนก็รับคำสั่งได้ดีเลยแหละสบายมากๆ
ตัวปุ่มควบคุมด้านขวานั้นอย่างที่แจ้งไปจะสามารถกดสั่งงานได้ และ เมื่อกด 2 ครั้งก็เปลี่ยนเพลง หรือจะเป็นการรับสาย ตัดสายได้ และขึ้นลงนั้นจะเป็นการควบคุมระดับเสียงที่จะไม่ได้ไปปรับบนตัว สมาร์ทโฟนครับจะเป็นตัวเร่งบนหูฟังโดยเฉพาะเลย ถือว่าสะดวกเช่นเดิมในแง่ของการควบคุมบนตัวหูฟัง และรองรับคำสั่งเสียงทำให้มันสะดวกมากๆ
SOUND
ทางด้านเสียงกันก่อนเลย แน่นอนว่าหลายๆคนนั้นเห็นแบรนด์นี้อาจจะชอบมองว่าเสียงมันไม่ได้เรื่องเท่าไร แน่นอนว่าจริงครับแต่เป็นยุคแรกๆที่ออกมาเลย และหลังจากหลายๆปีผ่านมา ผ่านเจ้าของหลายๆที่จนมาถึง APPLE นั้นก็ได้มีการพัฒนาเยอะมากๆอันนี้ยอมรับว่าเสียงนั้นคุ้มค่าราคามากกว่าเดิม จากที่รุ่นก่อนๆเบสสะใจบวมเต็มไปหมด แต่ตอนนี้มันมีคุณภาพขึ้นมาเยอะจริงๆและยังคงแนวเสียงแบบเดิมไว้อยู่ในเรื่องของเสียงเบสพวกนี้ แต่ก็แทรกเสียงย่านอื่นเข้ามาให้มันสมดุลลงตัวมากกว่าเดิมครับ จากที่ลองก็ต้องบอกเลยว่าเสียงทำได้ดีมากขึ้นจริงๆและไม่ได้แย่เลยครับ อีกทั้งระบบตัดเสียงของมันก็ช่วยให้เราได้ยินเสียงรายละเอียดเสียงได้ชัดเจนขึ้นและฟังสนุกขึ้นไปอีกด้วยเช่นกัน แต่ก็ต้องเข้าใจแบรนด์มันก่อนว่า ถ้าจะซื้อ beats มาฟัง คลาสสิค Audiophile อันนี้อาจจะเข้าใจอะไรผิดกันแน่ๆเหมือนเอา รถสปอร์ต มา ขับลุยครับแน่นอนก็ต้องเข้าใจเอกลักษณ์ของแต่ละแบรนด์กันไว้ด้วย ในเรื่องเสียงของรุ่นนี้คุณภาพอะไรดีขึ้นแต่เรื่องของรายละเอียดเสียงก็มีมาเยอะขึ้น แต่ก็ไม่ได้ใส ชัดเจนเคลียร์มากนัก แต่ก็พอดีกว่าตัวก่อนครับ แต่เบสก็มาเต็มกระแทกได้ดี และไม่บวมกลบย่านอื่นเช่นกัน คือมันลงตัวมากขึ้นอันนี้ลองฟังกันน่าจะพอจับได้
ในเรื่องของเสียงถ้าเรามองเป็นย่านๆเสียงกันไป แน่นอนว่าเด่นๆคือเบสที่สะใจแน่นอน มันส์สนุก กระแทกรุนแรงเหมือนเดิม มีมิติมากๆ ลูกใหญ่เป็นลูกๆเลยแต่มันเพิ่มความนุ่มนวลเข้าไป ผู้ดีมากขึ้นลงลึกได้ดีกว่าเดิมและที่สำคัญคือเก็บตัวไว ไม่บวมแล้วด้วยคือจุดนี้แก้ไขได้ดีมากจริงๆครับ — เสียงแหลมนั้น มาได้ดีครับไม่บาดหูแบบรุ่นก่อนๆแล้วแต่ก็ยังมีอยู่นิดๆในบางจังหวะครับ แต่เสียงดังมากๆก็ไม่แตกเลยยังคงมีความนุ่มอยู่และฟังได้สบายครับ เพราะรุ่นก่อนๆเปิดดังๆบอกเลยแสบหูเอาเรื่องครับ — เสียงร้องต่างๆนั้นมีความโปร่ง ใส เคลียร์อยู่ไม่อุดอู้ข้างใน แต่รายละเอียดก็ยังไม่ได้โหดซะทีเดียวคือมันแยกได้ดีฟังได้ชัดเจนขึ้น แต่ก็ยังไม่ได้ชัดเจนอะไรมากนัก มีหลบๆอยู่พอสมควรครับ ถ้าใครเอามาฟังเพลงแนวคลาสสิคอะไรไม่เหมาะแน่ๆ — เวทีเสียงเป็นจุดที่ยังคงทำได้ดีและแตกต่างครับ มีขนาดใหญ่พอสมควร โปร่งโล่งเลยแหละแยกชิ้นได้ดี ไม่มั่วกันไม่ทับปนกันเลย เสียงร้องเด่นอยู่ในระดับกลางๆครับ เน้นฟังได้หลายแนวมากขึ้น อิสระมากขึ้น แต่ก็หนักไปทางฟังสนุก เพลง Pop Rock EDM พวกนี้สบายๆ แต่ก็ไปพวกฟังสบายได้มากขึ้นกว่าเดิมเยอะ รายละเอียดเสียงมาดีกว่าเดิม และ เวทีอะไรดีขึ้นแน่นอนถือว่าเป็นจุดที่พัฒนาหลักๆของ รุ่นนี้ครับ หลากหลายและคุณภาพมาดีกว่าเดิมเยอะเลยแหละ และคุ้มค่าคุ้มราคามากขึ้นแน่นอน
FEELING
ด้วยขนาดของมันนั้นจะเป็นรุ่นเล็กที่จะเป็น OnEar ด้วยแน่นอนว่าอาจจะไม่ได้ใหญ่หรือกว้างมากนักและรูปทรงของมันนั้นเมื่อดูจากรูปจะเห็นว่าค่อนข้างกระชับเลย ทำให้ในการใช้งานจริงๆสำหรับบางคนที่ศรีษะใหญ่ หรือ กว้างหน่อยนั้นจะไม่สบายได้แน่นอนครับ เพราะจากที่ลองถามหลายๆคนนั้นบอกว่าค่อนข้างบีบพอสมควรสำหรับคนที่ ศรีษะใหญ่ แต่สำหรับแอดมินหรือตัวผมเองนั้นไม่เจอปัญหาในส่วนนี้เลยครับ ทำให้อาจจะต้องไปลองด้วยตัวเองอีกทีก่อนซื้อมาใช้งานครับ เล่าในมุมมองของผมก่อนเลยคือมันใส่ค่อนข้างสบายและพอดีกระชับกำลังดีไม่ได้บีบหัวหรือด้านข้างเลย หรือแม้จะด้านบนก็ไม่ได้กดมากนักทำให้สามารถใส่ใช้งานยาวๆได้สบาย และตรงฟองน้ำที่ครอบหูนั้นมีความหนากำลังดีไม่ดันไม่กดมากเกินไปครับ ใส่เดินทางไปไหนมาไหนไม่หนักด้วยถือว่าในภาพรวมค่อนข้างใส่สบายเลยแหละ
ตัวรูปทรงนั้นอยู่ในขนาดกำลังดี พอดีกับใบหูและด้วยลักษณะแบบ OnEar ครับเลยไม่ได้ครอบทั้งหมดอาจจะสบายในแง่การใช้งานใส่เดินในไทยไม่ร้อนเกินไป และไม่อึดอัดเลย และระบบตัดเสียงของมันทำงานได้ดีจริงๆคือเงียบจนแอบอันตรายเลยครับเวลาใส่ใช้งานทั่วไป ส่วนถ้าคนที่มีศีรษะใหญ่หน่อยนั้นจะพกเจอว่า ด้านข้างนั้นจะบีบเข้ามาพอสมควรเลยแหละแม้จะกางออกสุดแล้วก็ตาม อีกทั้งในส่วนของด้านบนจะค่อนข้างกดลงมานิดหน่อยไม่ได้สบายมากนัก สำหรับรุ่นนี้เลยพอสรุปได้ว่าถ้าใครศีรษะใหญ่ออกแนวกว้างๆนั้นอาจจะแนะนำให้ไปพวก Studio อาจจะเหมาะกว่านิดหน่อย หรือแนะนำให้ไปลองใช้งานจริงๆอีกทีครับ แต่ถ้ารูปทรงไม่ได้ใหญ่ ทั่วๆไปนั้น ใส่หูฟังรุ่นนี้สบายมากๆ
BEATS SOLO PRO
” พัฒนาทั้งระบบเสียง ดีไซน์ และ วัสดุ รองรับคำสั่งเสียง แต่เน้นๆสำหรับสาวก iOS “
เป็น Beats ที่มีคุณภาพมากขึ้น เสียงฟังได้อิสระหลายแนวมากกว่าเดิม แต่ยังคงเด่นเบสเหมือนเดิมแต่ไม่บวมไม่มั่วแล้วครับ ทำให้มันเป็นรุ่นที่เสียงลงตัวขึ้นจริงๆ รายละเอียดเสียงมาดีกว่าเดิม และยังทำได้ดีในแง่ของการฟังเพลงทั่วไป ฟังเพลงสนุก หลากหลายแนวได้ดีจริงๆ และยังมีการเปลี่ยนงานออกแบบในรอบหลายๆปี ที่พัฒนาขึ้นและวัสดุที่ดีขึ้น แต่การใส่สบายนั้นสำหรับผมนั้นไม่มีปัญหาแต่ถ้าคนศีรษะใหญ่หน่อยนั้นอาจจะไม่เหมาะ และ ระบบตัดเสียงนั้นทำได้ดีมากๆๆเงียบและเก็บได้ดีรวมถึงมีโหมดดูดเสียงรอบข้างได้ด้วย ถือว่าเป็นระบบตัดเสียงที่ดีมากๆอีกตัว และในแง่ของการออกแบบมีหลายสีสัน และพกพาได้ง่ายพอสมควรครับ ซึ่งจุดน่าเสียดายมีอยู่บ้างทั้งเรื่องของ พอร์ตที่เน้นไปใช้กับสาวก iOS ไปหน่อย แต่ก็มีสายแถมมาให้นะ และ ไม่มีรู 3.5 มม. คือจะเน้นไร้สายล้วนๆเลยครับ โดยรวมคือ คุ้มค่าขึ้น คุณภาพเสียงดีกว่าเดิม ลงตัวหลากหลายขึ้น และ ดีไซน์สวยขึ้น แต่จะเน้นไป iOS มากไปหน่อย
ข้อดี
- ดีไซน์พัฒนาขึ้น สวยและลงตัวกว่ารุ่นก่อนๆ
- วัสดุอะไรทำได้ดีและแข็งแรงขึ้น
- น้ำหนักเบา ฟองน้ำใช้งานได้สบาย
- รองรับคำสั่งเสียงทั้ง hey Siri – Google Assistant
- เสียงทำได้ลงตัวขึ้น ในหลายๆด้านมีมิติคุณภาพมากขึ้น
- ระบบตัวเสียง ANC ทำได้ดีมากๆเงียบสะใจเลยทีเดียว
- เสียงย่านต่ำ เบส ยังคงฟังได้สนุก แต่ไม่บวมหนาแบบรุ่นแรกๆ
ข้อสังเกต
- ใช้พอร์ต Lighting อาจจะไม่สะดวกสำหรับสาวก Android
- ไม่มีรู 3.5 มม. ใช้ ไร้สายล้วนๆ
- ขนาดอาจจะไม่เหมาะสำหรับคนหัวใหญ่ อาจจะบีบเล็กน้อย
- แอปไม่มีปรับแต่ง EQ มาในตัว และ ไม่มีพวกระบบ Auto Pausing
สำหรับรีวิวนี้ผมก็ต้องขอตัวลาไปก่อนสำหรับรุ่นอื่นๆก็ติดตามกันได้เลย ถูกใจฝากกดไลค์กดแชร์ด้วยนะครับ มีข้อผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ เพื่อนๆสนใจอยากให้พวกผมรีวิวรุ่นไหนสามารถ Inbox มาบอกเราได้เลยนะ
ฝากไลค์เพจ FACEBOOK เราด้วยนะครับ >>>>>>>>> TECHHANGOUT
เข้าร่วมกลุ่ม TECHHANGOUT พูดคุยแลกเปลี่ยน ข้อมูล คุยกันเองชิลๆได้เลยที่ — Facebook Techhangout พูดคุย Smartphone gadget
Review by Nineztr