Black Shark ได้เปิดตัวเกมมิ่งสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ทั้ง Black Shark 3 และ 3 Pro ที่ประเทศจีนอย่างที่เคยโดยรุ่นPro จะเป็นรุ่นสูงสุดจอเทพกว่าใหญ่กว่าครับ จะมีหน้าจอขนาด 7.1 นิ้ว ใหญโตมากครับ และมี ความละเอียด 2K HDR10+ จะมีรีเฟรชเรท 90 Hz และความถี่การตอบสนองหน้าจอ 270 Hz ซึ่งถือว่ามากที่สุดในโลก ณ ปัจจุบัน โดยมันจะมีดีเลย์การตอบสนองเพียง 0.028 วินาทีเท่านั้น อีกทั้งยังรองรับการตอบสนองน้ำหนักการกดหน้าจออีกด้วย และในรุ่น Pro นั้นมาพร้อม Pop-up Trigger 2 ปุ่มด้านข้างตัวเครื่อง ใช้ในการเล่นเกมได้ ยิงจัดเต็มมากๆ ใช้เป็นชิปเซต Snapdragon 865 ที่มาพร้อม Ram LPDDR5 12GB แต่ตัว RAM 8 จะเป็น LPDDR4 นะครับ และมีระบบระบายความร้อนแบบ liquid cooling ประกบแหล่งที่ผลิตความร้อนเป็นลักษณะคล้ายกับแซนด์วิช ทำให้อัตราการกระจายความร้อนถึง 2 เท่าและระบายความร้อนเพิ่มขึ้น 50% เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนด้วย ถือว่าเป็นรุ่นที่เปิดตัวมาสำหรับสายเกมจัดๆและรองรับการใช้งานที่ดีขึ้นพร้อม Hi-res Audio ด้วยครับผม เราเลยมาลองพรีวิวกันก่อนว่าจะใช้งานเป็นยังไงกันบ้างสำหรับ Blackshark ตระกูลนี้เราไม่เคยพลาดแน่นอนครับสายเกม
นอกจากนี้มันยังมีเทคโนโลยี BlackShark GameEngine และ Solar Core ที่ช่วยเร่งความเร็วในการโหลดของเกม อีกทั้งยังทำให้มันทำงานได้ลื่นไหลขึ้นโดยใช้พลังงานที่น้อยที่สุดด้วย กล้องหลังของมันจะมีด้วยกัน 3 ตัวประกอบด้วยเลนส์ 64MP + เลนส์กว้าง 120° 13MP + เลนส์ตรวจจับความลึก 5MP และกล้องหน้ามีความละเอียด 20MP นอกจากนั้นมันตัวกล้องยังรองรับการถ่ายภาพไฟล์ RAW Super Night mode ได้ แบตเตอรี่ของ Black Shark 3 Pro จะมีความจุ 5,000 mAh ที่ชาร์จเร็ว 65W ที่สามารถชาร์จแบต 50% ได้ในเวลา 15นาทีและใช้เวลา 38 นาทีในการชาร์จแบต 100% นอกจากนี้มันยังรองรับการชาร์จโดยใช้แท่นแม่เหล็กที่ความเร็ว 18W
Xiaomi Blackshark 3 Pro ในไทยยังไม่ได้เข้ามาแบบเป็นทางการครับ เราจึงต้องพึ่งเครื่องหิ้วกันไปก่อน โดยทางร้าน TREE MOBILE นั้นเองที่เราชอบไปกันประจำ Ram8, 256GB เป็นสีเงินแบบในภาพ ราคา 26,500 บาท TREE MOBILE MBK ชี้เป้า เป็นร้านประจำของทีมงานเองไปซื้อเครื่องหิ้วครับ แอดแนะนำเลย ไว้ใจได้ ชี้เป้าให้เเล้วนะ เห็นถามกันมาหลายคน เพราะทางเราไม่มีขายนะ อันนี้ก็ให้เค้ามาส่งได้เลยครับไม่ต้องไปร้านนะครับในช่วงนี้ที่อาจจะเสี่ยงๆ มีบริการส่งก็สบายใจได้เลย ตอนที่รีวิวราคายังเป็น 26,500 บาทนะครับ
UNBOX
สำหรับตัวกล่องนั้นยังคงเป็นการออกแบบธีมสีดำแบบเดิมพร้อมขนาดกล่องที่ไม่ได้ต่างจากรุ่น 3 มากนักครับแน่นอนว่าอุปกรณ์ที่ให้มาก็ยังคงให้มาเพียงพอต่อการใช้งานแต่พวกมือถือ Xiaomi อะไรแนวๆนี้จะไม่ค่อยมีหูฟังให้เท่าไรนักกครับ ส่วนตัวเคส ฟิล์มอะไรมีติดเครื่องมาให้เรียบร้อยกันเลยแหละ พร้อมที่ชาร์จให้มา 65W นะถือว่าจัดหนักจัดเต็มมากกว่ารุ่น 3ครับ และ ตัวเคสดูดีกว่ารุ่น 3 เยอะมาก +สติกเกอร์อะไรแถมมาให้แล้วนะครับ และ รู 3.5 กลับมาแล้ว
- มือถือ BLACKSHARK 3 Pro
- เคส TPU สีดำหนาแข็งแรง
- สาย USB-C ไป USB-A
- ที่ชาร์จ Adaptor 65W
- คู่มือ ที่จิ้มซิม
เคสรุ่นนี้เป็นจุดที่แตกต่างกับรุ่น 3 ชัดเจนเลยเหมือนคนละรุ่นกันครับแน่นอนว่าตัวเคสนั้นจะเป็นเคสที่ทำให้เรารู้สึกเหมือนมือถือทั่วไปมากขึ้นเป็นสีดำล้วนทั้งหมด ดำด้านและปิดโลโก้ที่มีไฟไปได้ทั้งหมดเลยอันนี้แอบเสียดายมากๆครับ และ แน่นอนว่าส่วนการปกป้องนั้นค่อนข้างทำได้ดีมากทั้งหน้าและหลัง มีการเว้นส่วนลำโพงไว้บ้างนิดหน่อย ตรงบนขอบบนและขอบล่าง และมีความสูงขึ้นปกป้องได้ดีและหนามากๆ วัสดุก็ดูมีความแข็งแรงหนาดีกว่าแบบเดิม ด้านหลังนั้นจะเว้าในส่วนของกล้องลงไปทั้งหมดและเปิดพื้นที่แค่ตรง 3 เหลี่ยมอันนี้จะเป็นจุดแตกต่างกันหลักๆกับรุ่น 3 เพราะเหมือนตัว Pro จะแน่นหนากว่าเยอะพอสมควร และวัสดุคงละแบบกัน ส่วนด้านหน้าก็มีการเสริมมุมเครื่องให้มีความหนาขึ้นเวลาตกกระแทก และมีนูนปกป้องหน้าจอนิดหน่อยด้วยเช่นกันครับโดยรวมประทับใจตัวเคสรุ่นนี้มากกว่ารุ่น 3 เยอะเลย
DESIGN
งานออกแบบในรุ่นนี้ใช้ดีไซน์รวมถึงการวางอะไรทุกอย่างแบบเดียวกับรุ่น 3ครับผม ต้องบอกว่ามันอิงจากรุ่นก่อนๆมาและพัฒนาขึ้นเยอะพอสมควรเลยครับ แน่นอนว่ามันลงตัวขึ้นเยอะและชอบการวางกล้อง และดีไซน์มันดูดีและไม่เหมือนใครจริงๆมีเอกลักษณ์ของตัวเองและการใช้วัสดุเงินเงาผสมกับพลาสติกยังเป็นดีไซน์แนวทางที่คุ้นเคยดีแต่ไม่ชัวร์ว่าอุปกรณ์เสริมจะใช้งานได้ไหมกับรุ่นก่อน แต่ก็ไม่น่าได้ครับเท่าที่ลองๆดู ส่วนงานประกอบอะไรดูดีเนียนขึ้นและขอบต่างๆสวยสีโอเคขึ้นครับ และในด้านหน้ายังคงมีลำโพงคู่ จอไม่มีติ่งและมีพื้นที่วางนิ้วอยู่บ้างชอบที่ยังวางลำโพงไว้ด้านหน้าครับ และน้ำหนักขนาดกำลังดีไม่หนาหนักเกินไปด้วย แต่ถ้าใครชอบเรียบๆสีดำนั้นอาจจะทำได้ดีกว่าครับ
ทางด้านหน้าจอ มาในขนาด 7.1 นิ้วไม่มีติ่งหน้าจอ และ ยังมีขอบเครื่องอยู่ทั้งบนและล่าง (2400 × 1080 นิ้ว) 2K อัตราส่วน 20:9 ที่มีรีเฟรชเรท 90Hz ทัช 270Hz , HDR 10+, 105% DCI – P3 color gamut, ความสว่าง 500 nits, เทคโนโลยี MEMC ที่เพิ่มความลื่นไหลให้หน้าจอด้วยเช่นกันครับ
ขอบด้านล่างอันนี้น่าตกใจคือทำได้บางมากแม้จะมีลำโพงอยู่ในส่วนของด้านหน้าครับ อันนี้คือน่าสนใจมากๆเลยยังมีลำโพงและขอบบางครับถือว่าเป็นจุดที่ดีเพราะหลายๆคนยังคงชอบลำโพงแบบนี้ และปุ่มควบคุมมีให้เหมือนเดิม หรือใช้งานเต็มหน้าจอได้ครับ ตัวกระจกหน้าจอเรียบๆไม่โค้งนะครับ
ขอบด้านบนแอบหนากว่านิดหน่อยเพราะต้องมีกล้องหน้า ลำโพง และเซนเซอร์ต่างๆเลยทำให้มีขนาดนิดหน่อยครับ และยังคงขอบไว้ให้สายเกมไว้ใช้งานมันถนัดกว่าแบบไร้ขอบเยอะเลยนะ และจะเห็นว่าลำโพงช่องข้างบนเล็กกว่านิดๆ
ด้านขวานั้นจะเป็นที่อยู่ของ ไมค์ ปุ่ม Power และ ปุ่มเลื่อนสำหรับเข้า Shark Space ครับในส่วนล่างเครื่องหรือมุมซ้ายของภาพ และจะเห็นขอบเครื่องเป็นโลหะทั้งหมดและและเส้นเสาสัญญาณทั้ง 2 จุดครับผม และในรุ่นนี้พิเศษจะเป็นปุ่ม L/R ที่จะ PopUp ขึ้นมาสำหรับการเล่นเกมครับ แต่ชอบงานออกแบบมันตัดขอบสวยงามเลย
Trigger L/R แบบ Pop-up
ตัวนี้ถือว่าเป็นจุดชูโรงสำหรับรุ่นนี้เป็นปุ่มที่เป็นแบบ แมคคานิคครับไม่ใช่ระบบรับแรงกดแบบรุ่นอื่นๆและทำให้มันมีความรู้สึกในการใช้งานได้แตกต่างกับแบบทั่วไปมากๆหลายคนอาจจะชอบแบบนี้มากกว่าเพราะมันแตะได้ง่าย วางนิ้วมือได้โดยที่ไม่เป็นการสั่งงานครับและความนูนระยะของมันทำได้ดีมากๆ โดยมันมีความสูงของปุ่มเพียง 1.5mm เท่านั้น และสามารถกดได้ถึง 1 ล้านครั้ง อีกทั้งมันจะเด้งขึ้นมาขณะใช้งาน โดยสามารถเปิดปิดตัวปุ่มได้ถึง 3 แสนครั้ง อีกทั้งตัวเครื่องยังมีรูปแบบการสั่นขณะเล่นเกมมากกว่า 150 รูปแบบ ถือว่าทำได้ดีและพัฒนาขึ้นพอสมควร ถ้าบอกความรู้สึกของปุ่มเอาจริงๆมันเหมือนการกดปุ่ม Power ในรุ่นอื่นๆแต่มีระยะลึกขึ้นและเด้งรับมือได้ดีกว่าเดิมครับ
ในด้านซ้าย จะเป็นปุ่มเพิ่ม ลดเสียงครับพร้อมกับถาดซิม 2 ซิมรองรับใช้งานได้ Nanosim และ มีซีลยางกันน้ำด้วยส่วนปุ่มอื่นๆไม่มีครับในด้านนี้วางการออกแบบทั้งหมดเอาจริงๆคือแบบเดียวกับรุ่น 3 ทั้งหมดเลยนั้นเองครับตัวนี้
ในส่วนของขอบเครื่องด้านล่างนั้นจะเป็น USB-C พร้อมกับรูไมค์ รวมถึงช่องลำโพงเป็นแนวยาวตามขอบเครื่องครับ
ทางด้านบนมันมีรู 3.5 มม. กลับมาแล้วครับพร้อมใช้งานและและตัวรับสัญญาณอีก 2 จุดด้านบนคือจัดเต็มมาก ส่วนรูไมค์ตัดเสียงอะไรนั้น จะไปอยู่ข้างๆแทนนะครับ และตรงกล้องหลัง ถือว่าให้ไมค์มาเยอะพอสมควรเลยแหละ
ฝาหลังงานออกแบบจริงๆนั้นถือว่าสวยเพราะมีการออกแบบของตัวเองไม่เหมือนใคร สมมาตรดีครับและกล้องหลังวางได้ลงตัวกว่ารุ่น 2 เยอะเลยครับ ส่วนดีไซน์ตัว 3-3Pro นั้นใช้งานแบบเดียวกันเลยแต่ขนาดจะแตกต่างกันเยอะครับในครั้งนี้จะเป็นสีเงินพร้อมกับแถบฟ้าแน่นอนว่ายังคงมีไฟด้านหลัง RGB ปรับแต่งได้ 3 จุดหลักๆครับแต่ไม่มีไฟขอบเครื่องแล้วอันนี้น่าเสียดาย ส่วนตรงข้างล่างจะเป็นพอร์ตเชื่อมต่ออุปกรณ์เสริมและที่ชาร์จต่างๆเสริมฝาหลังโค้งลงเล็กน้อยทำให้จับถนัดมือและเป็นกระจกทั้งหมดแล้วจากที่รุ่นก่อนๆจะเป็นอลูมิเนียมเป็นหลักครับ
กล้องหลัง 3 ตัววางมุมทแยงกัน 3 ตำแหน่งพร้อมไมค์อัดเสียงและไฟแฟลช รวมถึงมีไฟ RGB ขีดๆเล็กแทรกเข้ามาให้เข้ากับสายเกมนิดหน่อย กล้องหลังนั้นมาพร้อมกับ กล้องหลัง 64MP (f/1.8), แฟลช LED, เลนส์ Ultra wide 120° 13MP (f/2.25), เลนส์สำหรับถ่าย portrait 5MP (f/2.2) คุณภาพเท่าที่ลองนั้นใช้งานได้ดีเลยแหละ
SPEC
- หน้าจอขนาด 7.1 นิ้ว (3120 × 1440 พิกเซล) Quad HD+ 19.5:9 ที่มีรีเฟรชเรท 90Hz, 483PPI, HDR 10+, 97% DCI – P3 color gamut, ความสว่าง 500 nits, เทคโนโลยี MEMC ที่เพิ่มความลื่นไหลให้หน้าจอ
- ชิปเซต Snapdragon 865 7nm ที่ใช้การ์ดจอ Adreno 650
- RAM LPDDR5 8GB พร้อม storage (UFS 3.0) 128GB / 256GB
- Android 10
- ซิมคู่ (nano + nano)
- กล้องหลัง 64MP (f/1.8), แฟลช LED, เลนส์ Ultrawide 120° 13MP (f/2.25), เลนส์สำหรับถ่าย portrait 5MP (f/2.2)
- กล้องหน้า 20MP (f/2.2)
- เซนเซอร์สแกนนิ้วใต้หน้าจอ
- รูแจ็ค 3.5mm, ลำโพงคู่ 1217 super linear speakers
- ขนาดตัวเครื่อง Black Shark 3 PRO 177.79× 83.29x 10.1mm; น้ำหนัก: 253g
- 5G SA / NSA, Dual 4G VoLTE, WiFi 802.11ax (2×2 MU-MIMO ), Bluetooth 5, GPS/GLONASS/Beidou, USB Type-C
- แบตเตอรี่ 5,000 mAh ที่ชาร์จเร็ว 65W
PERFORMANCE
ประสิทธิภาพของตัวเครื่องในรุ่นนี้มาพร้อมกับการใช้งาน Snapdragon 865 ที่ทำงานร่วมกับ UFS 3.0 128GB และ RAM 8GB DDR4X ด้วยทำให้ประสิทธิภาพในงานเปิดตัวนั้นทำไปได้ 573857 ครับ ทำคะแนนในส่วนของ Geekbench ไปได้ที่ 898 แกนเดียว และ 3164 หลายแกน ส่วน UFS 3.0 ทำให้การอ่านเขียนพุ่งไปแตะ 1,690 MB/S และ ตัวความปลอดภัยนั้นเป็นปกติของแบรนด์ที่รองรับแค่ DRM L3 เท่านั้นครับ
SYSTEM UI
สำหรับระบบการทำงานตัวนี้มาพร้อม Android 10 JOY UI11 ที่มีหน้าตาเรียบง่ายมาก และพัฒนาขึ้นมาบนพื้นฐาน MIUI ครับผม ระบบค่อนข้างเรียบและไม่รก ใช้งานง่ายและมาในธีมดำ เขียวเป็นหลักทั้งในหน้าตั้งค่าและโทนทั้งเครื่องเลยครับ แต่ก็สามารถปรับเป็นขาวได้นะ ไม่มี App drawer และไม่มีเลขแจ้งเตือนบนแอปอื่นๆครับ
หน้าตาการแจ้งเตือนก็เหมือน Android ทั่วไปแต่ปรับโทนสีให้เข้ม เขียวครับ ปรับ Quick setting ได้เหมือนเดิมลากลงมา 1 ครั้งก็เป็น Quick setting เลยครับ มีปุ่มเคลียร์ในด้านล่าง และ สามารถแบ่งหน้าจอได้สบายครับ ตามปกติของ Android แต่ะฉากหลังจะเป็นสีดำทั้งหมดไม่ได้มีแบบเบลอๆเช่นในรุ่นก่อนหน้าเท่าไรครับ
ในเรื่องของ RAM 8 GB ใช้งานเฉลี่ยไป 3.9 GB และในหน่วยความจำ 256 GB เหลือให้ใช้งานได้ 242 GB ครับส่วนคีย์บอร์ดนั้นแอดมินโหลด Manman มาใช้งานนะ แต่ไม่มีเมนูไทยนะครับในรุ่นนี้ คีย์บอร์ดต่างๆ ต้องโหลดมาเองนะครับ
หน้าจอพัฒนาขึ้่นและแน่นอนว่าการตกแต่งก็พัฒนาขึ้น ครับทั้งหน้าจอ Always On ก็สวยและมีการเคลื่อนไหวได้ด้วยสวยมากเลือกได้เยอะมากชอบครับและสามารถปรับแต่งได้ด้วยว่าโชว์อะไรตอนไหน ส่วนไฟแจ้งเตือนจะเป็นแสงจากขอบเครื่องแบบในภาพซ้ายสุดแทนนะครับ สวยและลงตัวเลยแหละปรับได้ 3 แบบหลักๆก็ถือว่าพัฒนามาได้ดี
ปุ่มลัดก็สามารถตั้งค่าได้เช่นกัน และรวมถึง ปุ่มนำทางครับ และที่สำคัญ Magic Press หรือ 3D Touch นั้นจะสามารถตั้งค่าได้ 2 แบบว่าจะทำหน้าที่อะไรครับ และปรับแรงกดได้รวมถึงกดตรงไหนก็ได้ในส่วนข้างล่างของหน้าจอ และ สามารถกดได้ทุกแอปครับ ยังคงไม่ได้ตัดออกไปไหนแต่ในการใช้งานอาจจะถือว่ามีส่วนใช้จริงๆค่อนข้างน้อย
หน้าจอในรุ่นนี้รองรับการใช้งานได้ดีขึ้นครับพร้อมกับ รองรับการใช้งานความถี่ต่ำทำให้สบายตาขึ้นรวมถึงใช้งานได้ดียาวนานขึ้น และสามารถปรับหน้าจอ 90Hz ได้ด้วยครับ รวมถึงมี Performance Master ในการเช็ครวมๆ
THEME
ธีมนั้นมีให้ปรับเยอะมากขึ้นครับและหลากหลายแบบเดียวกับ MIUI เลย ธีมมีความแตกต่างกันคนละแนวกันไปทั้งแบบน่ารักๆหรือแบบสายเกมก็สามารถปรับเปลี่ยนได้เลย ส่วนธีมของโทนทั้งหมดก็สามารถเปลี่ยนได้ ทั้งหมดทั้งหน้าตาแอปการใช้งานและหน้าตาส่วนตั้งค่าโทรข้างในทั้งหลายถือว่ามีความหลากหลายกว่าเดิมพอสมควรเลยครับ
SCREEN 90HZ QHD+
หน้าจอนั้นเป็นการปรับแต่งที่ดีที่สุดของการสัมผัสใช้งานหน้าจอแล้วและในรุ่น Pro จะโดนอัพความละเอียดเป็น 2K ครับ และ มาพร้อมกับหน้าจอขนาด 7.1 นิ้ว QHD+ มาพร้อมกับ อัตราส่วน 20:9 ที่มีรีเฟรชเรท 90Hz HDR 10+DCI – P3 color gamut, ความสว่าง 500 nits, เทคโนโลยี MEMC ที่เพิ่มความลื่นไหลให้หน้าจอ แน่นอนว่าการสัมผัสหน้าจอ ความถี่การตอบสนองหน้าจอ 270Hz ซึ่งต้องบอกว่าเป็นความถี่การตอบสนองที่ลื่นไหลและไวติดนิ้วมากที่สุดตอนนี้ครับ แน่นอนว่าจากที่ได้ลองสัมผัสมันทำได้ดีจริงๆนะเมื่อใช้งานเลื่อนไปมายังรู้สึกเลยว่ามันติดนิ้วอย่างมากครับอันนี้ชอบมากและทำได้ดีสู้ iOS ได้เลยแหละแต่ทั้งนี้ต้องขึ้นกับระบบและเกมในแต่ละเกมอีกทีว่าจะให้ความรู้สึกเท่าไหม ส่วนทางด้านคุณภาพหน้าจอความสวยงามคมชัดทำได้ดีครับ ได้จอ QHD 10BIT ซึ่งน่าจะว้าวเลยแหละ จอนั้นสวยสู้แสงได้ดี และมีความลื่นไหลในการใช้งานไม่แพ้กัน และมิติของตัวภาพสวยงามและโทนสีอะไรโอเคมากๆ ดีกว่ารุ่น 3 แบบรู้สึกได้ถ้าใครสายเสพงานภาพสวยๆครับรุ่นนี้ส่วนความติดนิ้วไม่ได้หนีกันมากครับ
มิติภาพต่างๆสื่อออกมาได้ดีและชัดสมกับ QHD+ 10BIT สีทำได้ดีนะรวมๆค่อนข้างชอบมาก ซึ่งหน้าจอโดยรวมนั้นเปลี่ยนไปจากรุ่นก่อนหน้าแบบชัดเจนมากๆคือถือแล้วรู้สึกเลยว่ามันสวย สัมผัสได้ไว ช่วยในทั้ง การเล่นเกม ความลื่นไหลมากกว่า และอีกจุดคือในส่วนของหน้าจอเวลาปิดจอนั้นเป็นสีดำมากกว่าเดิมเนียนตามากขึ้นและสวยงามขึ้นเยอะ และในรุ่นนี้จะรองรับหน้าจอ Always On แล้วด้วยนั้นเอง ส่วนในการมองมุมต่างๆนั้นต้องบอกว่าเป็นจุดที่ทำได้ดีกว่าเดิมคือมองมุมเอียงๆหรือเฉียงๆนั้น ภาพไม่ดรอปและไม่เพี้ยนเท่าไร และความลื่นไหลของมันยกระดับที่ดีกว่าเดิมไปจากรุ่นก่อน เพราะรุ่นก่อน จอ 60 สัมผัส 240 เท่านั้นแต่รุ่นนี้ จอ 90 สัมผัส 270 เลยครับ ถือว่าเป็นการอัพเกรดที่ดีมากๆและรองรับการสแกนนิ้วใต้หน้าจอที่ใช้งานได้ค่อนข้างไวครับและแม่นยำพอสมควรเลย
SOUND
ทางด้านเสียงในรุ่นนี้ยังคงมีรู 3.5 มม.มาให้ และรวมถึงรองรับ Hi-Res ด้วยแน่นอนว่า เสียงแนวเดียวกับรุ่น 3ครับ ที่ชัดๆเลยคือเรื่องของกำลังขับ ที่ให้ออกมาถือว่าดีมากๆ เสียงสามารถเล่นไฟล์ MQA ได้และรายละเอียดเสียงออกมาดีมากๆแต่จะเน้นไปที่เบสมากนิดหน่อยแนวเสียงคล้ายๆรุ่นเดิมครับเพราะว่าอาจจะปรับมาเพื่อการเล่นเกมส์เป็นหลักครับ เพราะเวลายิง หรือเกมส์ต่อสู้เสียงทำมาได้หนักแน่นดีครับ แต่ถ้าเอาเรื่องของการฟังเพลงความใส เคลียร์นั้นดีขึ้นกว่ารุ่นก่อนหน้าแบบชัดเจน และประทับใจมากกว่าเดิมครับ แม้รุ่นก่อนนั้นจะเน้นเสียงแน่นๆสะใจมากกว่า แต่ครั้งนี้มันกลมกล่อมมากขึ้น แต่ก็ต้องเข้าใจกันก่อนว่าเสียงดี เมื่อเทียบกับราคาของมันแต่ถ้าไปสู้พวกเรือธงเทพเสียงแน่นอนว่ายังไม่ได้ครับ และ รุ่นนี้มี Effect เสียง Biso เข้ามา ต้องเข้าไปเปิดกันนะครับช่วยเสียงให้แรงขับมากขึ้นนิดหน่อย ส่วน EFFECT ตัวไฟเวลาเปิดเพลงก็รองรับเหมือนเดิม สวยงามและรองรับ Spotify เล่นแสงได้สวยงามมาก
SPEAKER
ขอเอาตัว S20 Ultra มาเทียบกันเช่นเดิมครับในครั้งนี้ จากที่เราเคยเทียบ Blackshark 3 ไปก่อนอื่นเลยแน่นอนว่าด้วยราคาเป็นปัจจัยหลักแต่เมื่อเทียบกับสิ่งที่ได้ต้องบอกว่ามันสมราคายิ่งกว่าเดิม เสียงแน่นขึ้น ตำแหน่งการวางลำโพงดีขึ้น และเสียงมีมิติ ชัดเจน ดังกว่าเดิมและแยกซ้ายขวา เสียงฟังชัดเจน และ เคลียร์กว่านะ ส่วนเรื่องของมิติเสียงสูสีกันมากขึ้น แต่เรื่องความดังนั้นค่อนข้างชัดเจนมากว่ามันทำได้ด้อยกว่า S20 Ultra และ เสียงลำโพงความดังเอาจริงๆเลยคือน่าจะเป็นลำโพงตัวเดียวกับรุ่น 3 ครับแอบเสียดายว่าแม้จะขนาดใหญ่ขึ้นแต่ลำโพงไม่ได้ต่างกัน
GAMING พร้อมปุ่ม L/R
เรื่องของการเล่นเกมรุ่นนี้ผมคงไม่ต้องพูดเยอะเพราะว่าเคยลอง BlackShark 3 รุ่นธรรมดาไปเเล้ว เหมาะมากสำหรับคนที่ชอบเล่นเกม ปรับสุดได้ทุกเกม เสียอย่างเดียวคือเรื่องของ USB ที่เป็นเพียง 2.0 ไม่สามารถเสียบกล่องสตีมขึ้น OBS ได้ ความร้อนอันนี้ขอชมเท่าที่ทดสอบร้อนสูงสุดไม่เกิน 40 องศา เเละเรื่องของแบตเตอรี่เท่าที่ทดสอบ 1 ชั่วโมง ลดไปประมาณ 10 กว่า % ส่วนเรื่องปุ่ม POPUP ซ้ายขวาช่วยได้เยอะมากๆ จอใหญ่ ความละเอียดเยอะบอกเลยไม่ผิดหวัง และการวางลำโพงในด้านหน้าทำให้เวลาเล่นเกมนั้นไม่ไปบดบังเวลาถือครับจุดนี้
LIGHTING
ตัวไฟที่หลังเครื่องนั้น ไฟเลยมีแค่ตรงโลโก้ข้างหลังกับขีดๆบนล่างเท่านั้น แต่ทางด้านของ Effect ไฟนั้นต้องบอกว่าปรับได้เยอะเช่นเดิมและเหมือนจะใช้งานง่ายและสวยกว่าเดิมด้วยนะครับ มีทั้งแบบ Random Flash Breathe Steady ด้วยและมีปรับทิศทางของไฟ สี ไล่โทนสีบนล่าง ความเร็วได้ รวมถึง เปิดตามเพลง โทรเข้าออกอะไรยังปรับได้เยอะมาก และติดได้ตลอดเวลา ทั้งหน้าจอเปิด หรือ ปิด ปรับแต่งการใช้งานได้ทั้งหมดเลยถือว่าเป็นค่ายที่ปรับได้อิสระที่สุดเลยครับ และชอบที่มันสามารถไล่สีได้เยอะครับในรุ่นนี้ ถือว่าเป็นตัวที่ออกแบบไฟและระบบมาได้ดีมาก
GPS
Snapdragon 865 ก็จริงแต่เรื่องของ GPS ก็ยังไม่ได้แตกต่างกันเท่าไรทำได้พอๆกับรุ่น 3 ครับ อาจจะด้วยเพราะการรองรับการลง GMS เองแน่หละว่าอาจจะไม่เป๊ะมากครับ โดยใช้นำทางและใช้แอปทดสอบนะครับอย่างแรกในการนำทางจริงๆนั้นก็ไม่เจอปัญหาอะไรเท่าไรนัก แต่จะมีบางจังหวะที่ลงอุโมงค์ หรือ ที่ทึบๆทำให้ต้องหาสัญญาณกันใหม่และอาจจะมึนๆไปบ้าง แบบเดียวกับที่เจอในตัว 3 อาจจะเป็นที่รอมจีนด้วยก็มีส่วนครับผม ส่วนในการจับสัญญาณ ภาพกลางเป็นการทดสอบในที่ใต้อาคารจับได้ 15 จาก 38 และ ที่กลางแจ้งจับได้ 24 จาก 40 ในที่กลางแจ้งบนถนนปกติครับ ซึ่งทำได้ระดับกลางๆแต่น้อยกว่าพวก 865 ตัวอื่น แบบรู้สึกได้ครับในการใช้งานแอปทดสอบครับ
BATTERY
แบต 5,000 mAh อันนี้ถือว่าเป็นจุดแตกต่างกันหลักๆกับรุ่น 3 ครับ และแน่นอนว่ารองรับการชาร์จไว 65W เลยในรุ่นนี้เช่นเดียวกับรุ่น 3 แต่ว่ารุ่นนี้จะได้แถมมาเลยครับในกล่อง เพราะรุ่น 3 นั้นไม่ได้แถม และบอกเลยว่าแบตยังคงทำได้ดีมากๆแม้จะจอ 90Hz QHD+ ได้ลองใช้งานแบบเปิดไฟอะไรทั้งหมดและรวมถึงเล่นเกมต่อเนื่อง จริงๆรู้สึกเลยว่าอึดจริงครับและแน่นอนว่า จากที่ทดสอบนั้นจอเปิดทั้งหมด 7 ชั่วโมง จาก 9 ชั่วโมงเต็มๆทั้งหมด และ เปิดไฟอะไรเต็มที่ตลอดเวลา เปิดเพลง Bluetooth ต่อเนื่องยาวๆ รวมถึงเล่นเกมต่อเนื่อง 3 ชั่วโมง และดู Youtube 3 ชั่วโมงต่อเนื่องเลย ก็ถือว่าอยู่ได้ทั้งวันกลับมาบ้านพอดีครับ และมีถ่ายรูปอะไรด้วยก็ถือว่าอึดอยู่นะ เล่นเกมเปิดสุดนี่กินแบตเอาเรื่องถ้าเทียบกับประสิทธิภาพของมัน รวมถึงตอนเล่นก็เปิด Bluetooth เล่นเกมไปด้วยนั้นเอง ถือว่าแบตรุ่นนี้ใช้งานได้สะใจมากๆครับ
CAMERA
กล้องหลังยกมาจากรุ่น 3ทั้งหมดใส่เข้ามา 3 ตัวครับจัดเต็ม มาพร้อมกล้องมุมกว้าง มุมกว้างสูงสุด 120 องศา กล้องหลังของมันจะมีด้วยกัน 3 ตัวประกอบด้วยเลนส์ 64MP + เลนส์กว้าง 120° 13MP + เลนส์ตรวจจับความลึก 5MP และกล้องหน้ามีความละเอียด 20MP นอกจากนั้นมันตัวกล้องยังรองรับการถ่ายภาพไฟล์ RAW Super Night mode และยังมีโหมดละลายหลัง Portrait อะไรมาให้เช่นเดิมและมีโหมดกลางคืนรู้สึกว่าทำได้ดีอยู่นะจากที่ลองกล้องทำได้น่าประทับใจขึ้นโทนสีและการ HDR ทำได้ดีพอสมควรครับแต่กล้องมุมกว้างกลางคืนอาจจะไม่เทพมากนักและไม่มีโหมดกลางคืนใช้งานในกล้องมุมกว้างครับผม และทางด้านการซูมทำได้แค่ 5X แบบเดียวกับรุ่นก่อนหน้า
SELFIES
กล้องหน้าตัวนี้ก็เหมือนกับรุ่น 3 ครับผมให้ความละเอียดมาที่ 20MP (f/2.2) เนื่องจากมีขอบหน้าจอเลยทำให้การวางกล้องวางได้แบบปกติ ไม่ต้องมีติ่งหน้าจอหรือเจาะรูอะครับ ตัวกล้องตัวนี้ให้รูรับแสงกลางคืนอาจจะแคบนิดหน่อยครับ แต่กลางวันก็คมชัดใช้ได้หน้าเนียนไม่หลอกเกินไปและมี Portrait เช่นเดิมเลย มุมมองภาพอยู่ในระดับกลางๆพร้อมกับ เก็บแสงได้ดีครับในเวลากลางวันสีค่อนข้างตรงพอสมควรเลยแหละ แต่เรื่องเวลากลางคืนอาจจะไม่ได้เด่นเท่าไรถ้าสายถ่ายเซลฟี่
VIDEO
ตัวนี้รองรับการถ่ายที่ 4K 60FPS-30FPS และ FULLHD 60FPS-30FPS รวมถึงการถ่าย Superslowmotion 1920FPS ได้อีกด้วยครับ จากที่ได้ลองนั้นต้องบอกว่าสนใจที่รองรับได้มากขึ้น เรื่องของคุณภาพนั้นทำได้ดีครับในแง่ของการเก็บรายละเอียด การวัดแสงต่างๆของทั้งกล้องหน้ากล้องหลังไม่วืดวาด รวมถึงการโฟกัส แต่เรื่องที่แอบเสียดายคือ การกันสั่นที่ทำได้ดีแค่ในตัว FULLHD 30FPS เท่านั้นส่วนความละเอียดอื่นๆทำไม่ได้ดีเท่าไร และแน่นอนว่าการอัดเสียงนั้นไม่ดี เหมือนที่เจอในหลายๆรุ่นของค่ายนี้ และ ใน Xiaomi เสียงรอบข้างเข้ามาเยอะและเสียงคนไม่ได้ชัดมีมิติอะไรเท่าไร แต่ถ้าเทียบกับรุ่น 2 ก่อนหน้านั้นถือว่าพัฒนาเสียงการเก็บเสียงคนได้ดีขึ้นครับ
BLACKSHARK 3 PRO
” สายเกม พร้อมปุ่ม L/R POP-UP และหน้าจอใหญ่ตอบโจทย์สายเกมได้มากขึ้น “
ก็ถือว่าเป็นรุ่นที่ทำออกมาตอบโจทย์สายเกมแบบจริงจังมากขึ้น ทั้งในเรื่องของหน้าจอสวย มีปุ่มตรงขอบเครื่อง และ ยังมาพร้อมกับแบต 5,000 mAh ที่ใช้งานได้ยาวๆครับรวมถึงรองรับ 65W ครับแน่นอนว่าทางด้านสเปคอื่นๆนั้นไม่ได้แตกต่างกันมากกับรุ่น 3 แต่จะได้ จอใหญ่สะใจมากขึ้น แบตอึดขึ้นมาก พร้อมกับ ชาร์จไวมากขึ้น รวมถึงมีปุ่มขอบเครื่องที่สามารถรองรับการเล่นเกมได้แบบเต็มที่เป็นปุ่มแบบ ปุ่มจริงไม่ใช่ระบบสัมผัสด้วยครับถือว่าเป็นค่ายเดียวในตอนนี้ที่เป็นปุ่มจริง ส่วนทางด้านสเปคอื่นๆจัดเต็มทั้งลำโพงคู่ กล้อง 3 ตัว พร้อม Snapdragon 865 ครับ ต้องบอกว่าทุกอย่างมันจัดเต็มมากๆแต่จะมีแค่เรื่องของระบบ รอมที่เป็นรอมจีนถ้าใครไม่ชินอาจจะแปลกๆแค่นั้นครับผม
ข้อดี
- งานออกแบบสวยและมีความแตกต่าง อย่างลงตัว
- หน้าจอทำได้ติดนิ้วและลื่นไหล พร้อม คุณภาพใช้งานได้ดี
- รองรับ HDR10+ และความละเอียด QHD+
- ลำโพงทำได้ดีในการวางตำแหน่งบนเครื่อง
- หน้อจอใหญ่สะใจ ตอบโจทย์ลูกค้าชอบจอใหญ่ๆ 7.1 นิ้ว
- แบตทำได้ดีและอึดมากเช่นเดิม + ชาร์จไว 65W ให้มาเลย
- กล้องหน้า และ หลังทำได้ดีพอสมควรทั้งหลางวัน กลางคืน
- ประสิทธิภาพใช้งานได้สบาย ทั้งเล่นเกม และ ทำงานทั่วไป
- ปุ่ม Pop-Up L/R มีเด้งขึ้นมาให้ใช้งานเล่นเกมสะดวกและดีกว่าแบบสัมผัสในรุ่นอื่นเยอะ
ข้อสังเกต
- ขนาดใหญ่ และ หนักพอสมควร
- กล้องหน้าหลังยกมาจากรุ่น 3 ทั้งหมด
- ยังไม่มีรอม Global ออกมาแต่รองรับไทยได้ปกติ ยกเว้นเมนูไทย
TREE MOBILE MBK ชี้เป้า TREEMOBILE เป็นร้านประจำของทีมงานเองไปซื้อเครื่องหิ้วครับ แอดแนะนำเลย ไว้ใจได้ ชี้เป้าให้เเล้วนะ เห็นถามกันมาหลายคน เพราะทางเราไม่มีขายนะ อันนี้ก็ให้เค้าจัดส่งได้เลยครับไม่ต้องไปถึงร้านนะครับ ช่วงนี้ที่อาจจะเสี่ยงๆ มีบริการส่งก็สบายใจได้เลย ตอนที่รีวิวราคายังเป็น 26,500 บาทนะครับ
สำหรับรีวิวนี้ผมก็ต้องขอตัวลาไปก่อนสำหรับรุ่นอื่นๆก็ติดตามกันได้เลย ถูกใจฝากกดไลค์กดแชร์ด้วยนะครับ มีข้อผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ เพื่อนๆสนใจอยากให้พวกผมรีวิวรุ่นไหนสามารถ Inbox มาบอกเราได้เลยนะ
ฝากไลค์เพจ FACEBOOK เราด้วยนะครับ >>>>>>>>> TECHHANGOUT
เข้าร่วมกลุ่ม TECHHANGOUT พูดคุยแลกเปลี่ยน ข้อมูล คุยกันเองชิลๆได้เลยที่ — Facebook Techhangout พูดคุย Smartphone gadget
Review by Nineztr
*รูปถ่ายจากกล้องมือถือทุกรูป ไม่มีการปรับแต่ง และ สามารถกดดูไฟล์เต็มแบบต้นฉบับได้นะครับ