BMW นั้นถือว่าเป็นค่ายที่ทำรถยนต์แต่ละรุ่นออกมานั้นมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวอย่างมาก และมีสาวก Bimmer ค่อนข้างเยอะพอสมควรทั้งในตลาดโลกและในไทย เป็นค่ายที่ยังคงมีคนเล่นรถหาซื้อใช้งานกันทั้งในรุ่นเก่าหรือรุ่นใหม่ เพราะตัวรถนั้นเองต้องบอกกันตรงๆว่าประสิทธิภาพในการขับขี่ ให้ความรู้สึกสนุกเวลาขับ และใช้งานทั้งเครื่องยนต์ ช่วงล่างการเซ็ตอะไรนั้นเน้นการขับขี่ที่สนุกและเร้าใจในหลายรุ่น และเรียกได้ว่าเป็นเอกลักษณ์อย่างนึงเลยก็เป็นได้สำหรับค่ายนี้ และในรุ่นนี้ที่เราจะมารีวิวนั้นจะเป็นอีกรุ่นที่มีความโดดเด่นอย่างมาก ในเรื่องของหลังคาเปิดประทุน หรือ Convertible รุ่นนี้ถือเป็นรุ่นที่น่าสะสมอีกตัวเพราะว่าเป็นรุ่นเปิดประทุน แบบหลังคาแข็งรุ่นสุดท้ายในตลาดตอนนี้รวมถึงเมื่อเทียบกับค่ายอื่น หรือ รุ่นใหม่ในตัว  รหัส G23 ก็ได้ปรับไปใช้ผ้าใบอีกครั้ง หลังจากใช้หลังคาแข็งยาวมากมากกว่า 14 ปี และทำให้รุ่น 430i F33 รุ่นที่รีวิวนี้เป็นหลังคาแข็งตัวสุดท้ายแล้วในตอนนี้

BMW Series 4 430i Convertible M Sport รุ่นนี้ในรหัส F33 นั้นถือว่าเป็นอีกบอดี้ที่มีความสวยงามและลงตัว ทั้งในเรื่องของงานออกแบบด้านหน้า กระจังหน้าที่มีรูปทรงกำลังดีและขนาดตัวรถโดยรวมนั้นไม่ได้ใหญ่มากนัก อีกทั้งยังเป็นบอดี้ที่มีชุดแต่งอะไรออกมาเยอะแยะมากมายรวมถึงเป็นรุ่นเปิดประทุนที่มีความหล่อมากขึ้นไปอีกเท่าตัวครับ สำหรับเครื่องยนต์นั้นใช้งาน เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 2.0ลิตร เทคโนโลยี TwinPowerTurbo ให้พละกำลัง 252 แรงม้า ที่ 5,200รอบ/นาที แรงบิด 350 นิวตันเมตร ตั้งแต่ช่วงรอบต่ำ 1,450-4,800 รอบต่อนาที เกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ ZF Steptronic และ Paddle Shift ส่วนโหมดการขับขี่นั้นให้มาตั้งแต่  Eco Pro ไปจนถึง Sport+ ที่ปิด TRC ด้วยเช่นกัน และด้วยพละกำลังนั้นทำให้ ให้อัตราเร่ง 0-100กม/ช.ม. ที่ 6.3 วินาที ความเร็วสูงสุด 250 กม/ช.ม. ถือว่าเป็นรถที่เร้าใจเอาเรื่องสำหรับรุ่นนี้ อีกทั้งยังคงใช้งานขับเคลื่อนล้อหลังเป็นปกติ ส่วนทางด้านหลังคาเปิดประทุนนั้นมาพร้อมกับการใช้งานเปิด 20 วิและในความเร็วไม่เกิน 20กม/ชม และมีฟีเจอร์ Easy Load สำหรับยกหลังคาขึ้นเวลาใส่ของและเราเปิดประทุนอยู่ทำให้ยกขึ้นลงได้ง่าย และด้วยความที่เป็นรุ่นย่อย M Sport ทำให้การตกแต่งทั้งหมด รวมถึงการเซ็ตพวงมาลัย มีความสปอร์ตมากขึ้น มี Paddle Shift มาให้เล่น รวมถึงงานออกแบบ ทั้งล้อ ดีไซน์ด้านหน้า กันชนต่างๆ กระจังหน้าสีดำ ตกแต่งช่องลมด้านข้างสีดำพร้อมสัญลักษณ์ M รวมถึง ภายใน และชุดกันชนที่แตกต่างกับรุ่น Luxury แบบชัดเจนรวมถึงหน้าตาพวงมาลัย การตกแต่งลายไม้ และ ลำโพง Harman/Kardon ด้วยเช่นกันที่จะมีให้ในรุ่นนี้เท่านั้น ถือว่าถ้าอยากให้สุดต้องเล่นตัว M Sport จริงๆ ได้ทั้งเรื่องของการขับขี่ การออกแบบภายนอกภายในที่มีความสปอร์ตสมกับเป็น M sport

สำหรับ ราคาทางด้าน BMW 430i CONVERTIBLE นั้น จะมีด้วยกัน 2 รุ่นย่อย

  • 430i Convertible  Luxury  3,999,000 บาท
  • 430i Convertible M Sport  4,299,000 บาท

EXTERIOR

งานออกแบบภายนอกในรุ่นนี้ยังคงเป็นตัวโมเดล F33 หรือถ้ามองกันก็คือเป็นเจนก่อนจะล่าสุดทำให้หลายๆส่วนอาจจะดูไปยุคก่อนหน้านั้นไปบ้าง แต่ภายนอกนั้นถ้ามองกันจะเห็นว่ามันมีความลงตัวมากกว่ารุ่นใหม่ซะอีก แน่นอนว่าตัวนี้จะเป็นตัว LCI หรือปรับหน้าตาแล้วทำให้ไฟหน้าได้ใช้งานแบบใหม่ทรงสวยงาม และชุดแต่งอะไรนั้นมีความทันสมัยมากขึ้น ซึ่งในมุมมองของตัวผมเองนั้นถ้ามองกันตรงๆในด้านหน้าในยุคของ F33 ถือว่าลงตัวและกระจังไม่ได้ใหญ่มากเกินไปเท่าไร เมื่อเทียบกับรุ่นใหม่ ส่วนทางด้านรูปทรงของตัวรถมีความเตี้ยแบนพอสมควร รวมถึงงานออกแบบนั้นจะแตกต่างกับรุ่น Series 3 แบบชัดเจนในหลายๆจุดทำให้ทรงของรถนั้นมีความสปอร์ตมากขึ้น

สำหรับดีไซน์งานออกแบบภายนอกของทาง 430i Convertible M Sport นั้นจะมีหลากหลายจุดที่แตกต่างกับตัว LUXURY ทั้งชุดกันชนหน้า หลัง ชายข้าง การตกแต่งด้านข้าง รวมถึงลายล้อ และ การเล่นขอบกระจกสีดำทั้งหมดซึ่งถ้าเป็นรุ่น LUXURY นั้นจะเน้นไปที่การใช้สีเงินโครเมี่ยมในรูปทรงของตัวรถนั้นจะเน้นไปทางเส้นสายแนวยาวตรงและเตี้ย ซึ่งในรุ่นเปิดประทุนนั้นการที่เปิดหลังคาออกมาแล้วเส้นสายนั้นสวยงาม และมีความเรียบแต่สปอร์ตไปในตัวตัวรถจะดูยาวขึ้นแบบชัดเจนถ้าเปิดหลังคาออกไปทั้งหมด เนื่องจากเป็นรุ่นที่ใหญ่ทำให้รองรับการนั่งมากถึง 4 ที่นั่ง ในด้านหน้ายังคงเอกลักษณ์กระจังหน้าคู่ที่ขนาดกำลังดีพร้อมไฟแบบใหม่ทรงสวยงาม และไฟตัดหมอก เมื่อมองด้านข้างเราจะเห็นความยาวของตัวรถที่ทำออกมาสวยเรียบแต่ลงตัว และในด้านท้ายเส้นสายอาจจะดูไม่ได้ต่อเนื่องมากนัก เนื่องจากต้องออกมารองรับการเปิดหลังคาทำให้ความต่อเนื่องพวกตัว COUPE แอบลงตัวกว่านิดหน่อย แต่ก็ยังดีที่ได้ไฟท้ายเส้นสายแบบใหม่เข้ามาแล้วรวมถึงไฟเบรกดวงที่ 3 นั้นจะอยู่ตรงขอบกระโปรง แต่แอบขัดใจท่อคู่นิดหน่อยในส่วนนี้ ทั้งในเรื่องของรูปทรง และ งานออกแบบการวางท่อนั้นน่าจะแยกซ้ายขวาได้น่าจะสวยกว่า

เมื่อปิดหลังคานั้นจุดที่เห็นได้ชัดเจนเมื่อปิดหลังคาแข็งขึ้นมานั้นตัวรถแอบดูแปลกๆในส่วนของเส้นสายจากหลังคาไปเส้นหลังกระโปรงแน่นอนว่าด้วยข้อจำกัดของการเปิดหลังคานั้นเลยทำให้เส้นสายอาจจะไม่ได้ต่อเนื่องแบบตัว Coupe เท่าไรนักแต่เมื่อเปิดหลังคาแล้วสวยกว่าแบบชัดเจน เนื่องจากเป็นรุ่น M Sport ทำให้การตกแต่งสีดำหลายๆจุดนั้นไม่ได้เห็นชัดมากเพราะค่อนข้างกลืนไปกับสีรถครับ พวกขอบกระจก ตัว Air Vent ด้านข้างเป็นต้นในด้านท้ายหลังคากับเส้นสายกระโปรงจะเรียบๆตรงๆไปนิดหน่อยถ้ามองจากด้านหลัง แต่เมื่อมองในด้านหน้า เส้นสายก็ถือว่าลงตัวเช่นกันแม้หลังคาแอบจะดูสูงไปหน่อยเมื่อมองในด้านหน้า แต่ด้วยความเป็นเปิดประทุนทำให้เส้นสายข้างๆมีความเรียบตรงจุดนี้ทำให้มองแล้วแตกต่างกับ Coupe ชัดเจน แม้ตอนปิดหลังคาอาจจะไม่หล่อมากแต่เมื่อเปิดหลังคาแล้วนั้นรุ่นนี้ทำได้โดดเด่นเกินหน้าตารุ่นอื่นๆของค่ายซีรีย์นี้แบบชัดเจนเวลาขับบนท้องถนน

การเปิดหลังคาตัวนี้เนื่องจากเป็นรุ่นที่ใช้งานหลังคาแข็งทำให้การเปิดหลังคานั้นอาจจะต้องใช้เวลานิดหน่อยถ้าหากเทียบกับหลังคาผ้า รวมถึงความเร็วในการทำงานนั้นอาจจะไม่เยอะมากเนื่องด้วยน้ำหนักของตัวหลังคาที่มาก และระบบของตัวหลังคาที่ทำให้รถเพิ่มน้ำหนักมากถึง 200 กิโลกรัมเลยทีเดียว ระยะเวลาการเปิดนั้นรุ่นนี้ ใช้เวลาประมาณ 20 วินาที และความเร็วไม่เกิน 18 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เอาจริงๆนั้นก็ถือว่าตอนเปิดนั้นไม่ได้ช้ามากนัก สามารถใช้งานได้ทันที แต่ด้วยความเป็นหลังคาแข็งเลยทำให้ขั้นตอนและการเปิดนั้นดูอลังการและใช้เวลากว่าเยอะ

ในด้านหน้ามุมมองตรงๆนั้นมีความดุดันลงตัวรวมถึงจะเห็นว่ากระจังหน้ามีความเตี้ยแบนมากกว่าตัวอื่นทำให้เวลามุมมองตรงๆนั้นมีเอกลักษณ์แบบชัดเจนมากขึ้น พร้อมกับไฟหน้าแบบใหม่ที่รูปทรงเหลี่ยมกว่าเดิมและเส้นสายต่อมาชนกระจังหน้าทำให้มีความต่อเนื่องไปทั้งหมดและมาพร้อมกับไฟหน้าแบบ Adaptive LED Headlight ที่ทำงานควบคู่กับระบบ Auto Hight Beam ถือว่าเส้นสาย DRL นั้นสวยงามกว่ารุ่นใหม่ๆซะอีกจุดนี้ส่วนตัวชอบมากกว่าไฟหน้าแบบใหม่ในรุ่น G23 ซะอีกครับ พร้อมกับกันชนหน้าแบบ M Sport สวยงามและไฟตัดหมอกก็ใส่เข้ามาให้ เมื่อมองด้านหลังนั้นเราจะเห็นว่าเส้นสายไฟท้ายนั้นสวยงาม มาพร้อมกับไฟตัดหมอกหลัง และไฟเบรกดวงที่ 3 รวมถึงทับทิมและท่อคู่ แต่ยังคงขอบ่นดีไซน์ท่อคู่นิดหน่อย รวมถึงหลังคาแบบนี้เมื่อมองตรงๆรถจะดูสูงๆไปหน่อยขัดกับทรงรถ

เมื่อมามองในงานออกแบบแต่ละจุดเน้นๆแบบใกล้ๆรูปทรงไฟหน้าทรงนี้ยังคงสวยงามอยู่แม้จะออกมานานแล้วการใส่ไฟเส้นต่อเนื่องเข้ามาในโคมและปรับเป็นแบบเหลี่ยมนั้นสวยงามขึ้นเยอะมาก พร้อมกับเป็นไฟ LED ทั้งหมดในโคมและมีความสว่างขัดเจนมาก การที่เชื่อมต่อกับกระจังหน้าทำให้รถนั้นดูต่อเนื่องแบนได้ดีเลยทีเดียวครับ กระจังหน้าไตคู่รุ่นนี้ยังคงดีไซน์ได้ดีที่สุดเท่าที่เห็นๆกันมาและแน่นอนว่าดีกว่ารุ่นใหม่แบบรู้สึกได้เมื่อมองแว้บแรก ขนาดกำลังดี ทรงกำลังสวยไม่ใหญ่ไม่โค้งเยอะเกินไป พร้อมกับโลโก้ไว้ตรงกลาง ส่วนช่องลงด้านล่างมาพร้อมกับไฟตัดหมอกสีขาว LED สวยงามและดีไซน์แบ่งครึ่งบนล่างแบบเดียวกันกับไฟหน้าเป็นธีมออกแบบแบบเดียวกันเลย

กระจกมองข้างมาพร้อมกับทรงเหลี่ยมและไฟเลี้ยวในตัวแต่แน่นอนว่าในรุ่นนี้ยังคงไม่มีพวก BLIS หรือ กล้องรอบคันอะไร เพราะเป็นเจนที่ออกมาค่อนข้างนานแล้วด้วยส่วนนึง ส่วนการตกแต่งด้านข้างเราจะเห็นตัว M สวยงามสัญลักษณ์เด่นๆของตระกูลนี้และมาพร้อมกับช่อง Air Breather  ที่เป็นการตกแต่งสีดำเสริมเข้ามานอกเหนือจากรุ่น LUXURY ที่จะเป็นสีเงินโครเมี่ยม แต่เท่าที่เช็คในปีหลังๆนั้นช่องนี้จะเหมือนไม่ได้เปิดและเป็นแค่การตกแต่งเท่านั้น ถ้าไม่ใช่รุ่น M4 เพราะเท่าที่เช็คดูนั้นจะเป็นช่องทึบทั้งหมดครับส่วนตรงนี้ ส่วนทางด้านล้อนั้นจะเป็นจุดที่เด่นๆของ M Sport มาพร้อมกับลายที่คุ้นเคยกัน ล้ออัลลอย Multi-spoke ขนาด 19 นิ้ว และใส่ยาง Runflat คู่หน้า ขนาด 225/40 R19 คู่หลัง 255/35 R19 ต่างกันนิดหน่อยในด้านหน้าและหลัง แต่ลวดลายของล้อส่วนตัวถือว่าสวยและขนาดยางกับล้อนั้นกำลังดีกับถนนเมืองไทย อีกทั้งเล่นสีโครมตัดกับสีดำได้สวยลงตัว พร้อมโลโก้ M

รายละเอียดไฟท้ายในตัว LCI นั้นจะมีความทันสมัยมากขึ้นในการใช้งานเส้นสายไฟ LED ที่มีความต่อเนื่องกันเชื่อมต่อกันและมีความโค้งมนขึ้น ยังใช้งาน LED ทั้งหมดทั้งไฟเลี้ยว ไฟถอยรวมถึงไฟตัดหมอกหลัก รูปทรงของไฟท้ายนั้นสวยและเป็นทรงเดียวกับ 4 Series ตัวอื่นๆด้วยเช่นกันจุดนี้ถือว่าสวยพอสมควร ส่วนทางด้านไฟหน้าเปลี่ยนจากรูปทรงวงกลมมาเป็นแบบเหลี่ยมพร้อมกับเล่นเส้นสายต่อเนื่องไปตรงกระจังหน้าและไฟหน้าแบบ LED จุดนี้ถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนหลักๆในรุ่นใหม่และดีไซน์ทันสมัยขึ้นพร้อมกับความสว่างในการใช้งานที่ดีกว่าเดิมเยอะอย่างมาก

เนื่องจากรุ่นนี้จะเป็นแบบเปิดหลังคา Cabriolet ทำให้เรื่องของน้ำหนักนั้นมากกว่าตัว COUPE และรวมถึงส่งผลต่ออัตราเร่งนิดหน่อย ส่วนทางด้านมีมิติตัวถังกว้าง 1,825 มิลลิเมตร ยาว 4,638 มิลลิเมตร และสูง 1,384 มิลลิเมตร  ฐานล้อหน้ากว้าง 1,545 มิลลิเมตร ฐานล้อหลังกว้าง 1,594 มิลลิเมตร และมีระยะห่างจากพื้นถนนถึงใต้ท้อง 130 มิลลิเมตร น้ำหนัก 1,775 กิโลกรัม แน่นอนว่าทำให้รถมันตัวหนักกว่า Series 4 Coupe มากถึง 230 กิโลกรัม แน่นอนว่ามาจากเรื่องของการจากการดามแชสซีส์ ให้มีความแข็งแรงกว่าปกติเพราะว่าไม่มีหลังคาแข็งแบบทั่วไป และเป็นน้ำหนักของชุดหลังคาแม็กนีเซียมอัลลอย แบบพับได้รวมถึงระบบกลไกทั้งหลายของตัวระบบนี้ด้วยครับ

ยามค่ำคืนนั้นเราจะเห็นว่าการเปลี่ยนไฟหน้าไฟท้ายในรุ่นนี้ทำให้ยามค่ำคืนนั้นเด่นขึ้นมากไฟท้ายสไตล์ที่เราคุ้นเคยของทางค่ายก่อนจะเปลี่ยนยุคยังคงโดดเด่น รวมถึงไฟหน้าคู่ที่เป็นวงแหวนที่สานต่อกันมานานและต่อเนื่องมาจนพัฒนาเป็นแบบเหลี่ยมยังคงมองไกลๆแล้วรู้ว่าเป็นรถยนต์ค่ายไหนครับ พร้อมกับไฟโทนสีขาวทั้งหมดรวมถึงไฟตัดหมอก ไฟหน้าในการใช้งานจริงนั้นสวยงามและมีเส้นสายขอบไฟที่คมแต่ก็ยังเห็นแสงสว่างเหนือพื้นที่ไฟอยู่ด้วยพร้อมกับระบบไฟสูงอัตโนมัติเช่นกัน ส่วนทางด้านไฟท้ายไฟทับทิมในด้านล่าง รวมถึงไฟเบรกดวงที่ 3 จัดวางตำแหน่งแอบแปลกๆในส่วนไฟเบรกดวงที่ 3 แต่ก็เป็นข้อจำกัดของพวกหลังคาเปิดประทุน ไฟส่องป้ายนั้นเป็น LED ขาว

ไฟท้ายเล่นกับแสงสีได้สวยและตัวแสงนั้นมีความเข้มคุณภาพเน้นๆครับในเรื่องของความสว่างในยามค่ำคืนของรุ่นนี้ และตัวไฟเลี้ยวนั้นเป็น LED ขนาดใหญ่ด้านบนเปลี่ยนจากเดิมที่เป็นหลอดไส้ครับ และไฟหน้าก็ยังคงมี LED ทั้งหมดเล่นกับงานออกแบบได้สวยงามทั้งตัวไฟหรี่ ไฟใหญ่ หรือจะเป็นไฟเลี้ยวที่เป็นเส้นชัดเจน พวกรายละเอียดไฟหน้าค่ายนี้ก็พัฒนามาสวยขึ้นเรื่อยๆและยังคงเอกลักษณ์ไฟคู่ของตัวเองไว้ได้เป็นอย่างดีมองไกลๆแล้วเด่นชัดขึ้นมาก

ยามค่ำคืนนั้นตัวรถสีดำเลยทำให้มีความดุดันยามค่ำคืนมากขึ้นไปอีก และเมื่อขับไปบนท้องถนนนั้นเล่นกับแสงสะท้อนของตัวไฟอาคารอะไรสวยงามดี และไฟท้ายนั้นเด่นและมีความสว่างแบบชัดเจนครับในเวลากลางวันนั้นสวยงามพอสมควรแล้วแต่ถ้าเมื่อไหร่ที่เปิดไฟแล้วไฟด้านหลังติดทำให้ด้านท้ายของตัวรถนั้นดูมีอะไรมากขึ้นเยอะมากและบางมุมนั้นเราจะเห็นว่ากระโปรงท้ายของตัวรถนั้นมีรูปทรงที่คล้ายๆกับ Ducktail กดอากาศให้นิดๆหน่อยตรงนี้

INTERIOR

งานออกแบบภายในของทาง Series 4 Convertible นั้นแน่นอนว่าเจนนี้ถือว่าเป็นเจนที่ออกมานานแล้วและเป็นรุ่นก่อนจะเปลี่ยนโฉมเต็มที่ทำให้เรื่องของงานออกแบบนั้นอาจจะไม่ได้หวือหวาหรือว่าทันสมัยมากนักเมื่อเทียบกับเจนใหม่ๆในรหัส G แต่ก็พอเข้าใจได้ว่าเป็นไปตามอายุการตลาดครับ แต่นอกเหนือจากงานออกแบบนั้นทางด้านการใช้งาน ความพรีเมี่ยมและการนั่งสบายอะไรต่างๆนั้นไม่ได้แตกต่างกับรุ่นอื่นๆหรือซีรีย์อื่นของค่ายนี้เลยแม้แต่น้อย การขับขี่ความรู้สึกในการใช้งานปุ่มต่างๆนั้นยังคงจัดวางแบบที่ใช้งานได้ถนัดไม่ได้หนีออกไปจากรุ่นอื่นๆมากนักครับ ส่วนตัวเบาะภายในและการตกแต่งภายในรุ่นนี้จะเป็น M Sport จะเน้นใช้โทนสีแดงตัวเบาะ และการตกแต่งสีเงินเข้ามาแทนลายไม้ครับ รวมถึงทางด้านพวงมาลัยนั้นเป็นแบบ 3 ก้านทรง M Sport แต่ยังคงไม่ได้มีท้ายตัดอะไรใส่มา

กุญแจนั้นเป็นรูปทรงที่คุ้นเคยกันในซีรีย์นี้ มาพร้อมกับระบบ Smart Entry และสามารถพกกุญแจและเปิดประตูได้เลยไม่ต้องกดอะไรทั้งนั้น และแน่นอนว่ากดล็อกผ่านตัวมือจับได้ทันทีไม่ต้องพกกุญแจออกมา ส่วนทางด้านรูปทรงนั้นยังคงไม่ได้ปรับมาใช้งานแบบใหม่ และเป็นปุ่ม 3 ปุ่มหลักๆ ล็อกรถ ปลดล็อก และ เปิดฝาท้าย พร้อมกับเล่นแถบสีฟ้าน้ำเงินนิดหน่อยครับ ทางด้านภายในมุมมองทัศนวิสัยในการขับขี่นั้นถือว่าไม่มีปัญหาตัวรถตำแหน่งการนั่งปกติไม่ต่างกับรถยนต์หรือ Series 3 มากนัก ขับขี่ทั่วไปสบาย ขึ้นลงง่าย และใช้งานปุ่มตำแหน่งอะไรนั้นคุ้นเคยกันดี รวมถึงตัวเบาะก็ไม่ได้จมลึกอะไร และการออกแบบภายในนั้นใช้งานง่าย ปุ่มเยอะตามยุคสมัยนั้นและยังดีที่อัพเกรดหน้าจอรองรับระบบสัมผัส และ Apple Carplay ใส่เข้ามาให้ รวมถึงกล้องหลังและเซนเซอร์รอบคันครับ แต่พวกหน้าปัดยังคงเป็นแบบเดิม เข็มทั้งหมดและ พวงมาลัยทรง 3 ก้านยังคงไม่ได้มีการตัดขอบอะไร แต่ขึ้นลงก็ไม่ได้ลำบาก

การออกแบบยังคงมีกลิ่นอายของทาง BMW อย่างเหนียวแน่นการวางอะไรต่างๆนั้นอยู่ในตำแหน่งที่เราคุ้นเคยกันดี มาพร้อมกับพวงมาลัยทรง M Sport แต่จะเห็นว่าค่ายนี้ยังคงไม่มีการตัดขอบล่างแต่อย่างใดส่วนตัวปุ่มพวงมาลัยนั้นให้มาพร้อมใช้งาน ทั้งการควบคุมเครื่องเสียง และ การควบคุม Cruise control ในด้านซ้าย และยังมี Paddle Shift มาให้เล่นสนุกๆครับ รวมถึงทรงพวงมาลัยจะแตกต่างกับรุ่นปกติชัดเจนเลย จริงๆแม้จะไม่มการปาดขอบล่างแต่การลุก หรือ นั่งตัวรถก็ไม่ได้เกะกะหรือว่าลำบาก ส่วนการออกแบบคอนโซลนั้นก็ตามยุคสมัยนั้น จอตรงกลาง 8.8 นิ้วรองรับระบบสัมผัส และมาพร้อมกับชุดเครื่องเสียง HARMAN / KARDON และ มีที่ใส่ CD และ ควบคุมแอร์แยกซ้ายขวาได้ แต่ไม่มีซิงค์กันนะครับ จริงๆอย่างที่แจ้งไปว่ารุ่นนี้ยังคงเป็นเจนก่อนอยู่เลยภายในอาจจะดูไม่ทันสมัยเท่าไรนัก ส่วยตัวเกียร์นั้นจะเห็นว่าเป็นแบบ Joy Stick ที่คุ้นตา พร้อมกับ การปรับโหมด และ ปุ่ม iDrive การควบคุมอะไรนั้นจะอยู่ทางด้านซ้ายของตัวเกียร์ทั้งหมด และแน่นอนว่าเบรกมือคันนี้ยังคงเป็นแบบแมนนวล หรือเบรคมือแบบก้านนะครับ ไม่มีเบรกมือไฟฟ้ายังคงการขับสนุกและหลายๆอย่างให้เป็นแบบสปอร์ตอยู่ครับ

แม้จะเป็นรถยนต์ Convertible ที่แน่นอนว่าไม่ค่อยจะมีใครนั่งข้างหลังกัน แต่ทาง BMW ยังคงใส่ใจคนนั่งด้านหลังให้มาพร้อมกับแอร์หลัง และที่เสียบจุดบุหรี่รวมถึง มีที่วางแก้วน้ำตรงกลางมาให้ใช้งานเรียกได้ว่าไม่ทอดทิ้งคนข้างหลังครับ การนั่งข้างหลังอาจจะขึ้นลงลำบากนิดหน่อยถ้าปิดหลังคา แต่ถ้าเปิดหลังคาเมื่อไรนั้นบอกเลยว่าสบายๆ การนั่งข้างในกำลังดี แต่อาจจะชันอยู่พอสมควรครับ แต่พื้นที่อะไรก็พอนั่งระยะทางไม่ไกลมากนักได้แบบสบายๆรุ่นนี้ ส่วนการขึ้นลงในด้านหน้านั้นตำแหน่งของตัวรถมันไม่ได้แตกต่างกับรถยนต์ทั่วไปหรือว่า Series 3 มากนักทำให้ไม่มีปัญหาใช้งานชีวิตประจำวันได้ เท่ก็ได้สำหรับคันนี้ แต่ประตูนั้นอาจจะยาวไปพอสมควรเวลาใช้งาน อาจจะต้องระวัง

ในยามค่ำคืนตัวรถนั้นไม่ได้มีแสงสีอะไรเยอะครับสำหรับรุ่นนี้ไฟตกแต่งถือว่าน้อยพอสมควร เป็นไฟสีแดงไม่สามารถปรับอะไรได้เป็นแค่แดงกับสีขาวเท่านั้น จะเห็นว่าหน้าจอตรงกลางมีขนาดใหญ่พอสมควรแต่เป็นแนวยาวก็สามารถกลมกลืนได้อยู่เหมือนกัน ส่วนคอนโซลกลางนั้นเป็นไฟแดงทั้งหมด พร้อมกับมีไฟ Ambient ส่องลงมาสีแดงด้วยเช่นกันไฟ ภายในนั้นไม่หวือหวาเท่าไรอาจจะเป็นที่ยุคสมัยนั้นและการออกแบบที่เน้นการขับขี่ด้วยเลยไม่ได้มีแสงรบกวนเยอะ ทำให้พวกปุ่มทั้งหลายรวมถึงไฟส่องต่างๆนั้นยังคงเป็นสีแดง และเรือนหน้าปัดด้วยเช่นกันสำหรับรุ่นนี้

แสงสียามค่ำคืนนั้นจริงๆถ้าคนที่ไม่ชอบอะไรเยอะหรือเน้นขับมากๆอาจจะชอบการออกแบบแบบนี้แน่นอนเพราะมันเป็นความรู้สึกที่ทำให้เราสามารถจดจ่อกับถนนได้มากขึ้นแสงสีแดงไม่รบกวนสายตาและให้อารมณ์สปอร์ตได้ดี ตัวรถมีไฟส่องเท้ามาให้ และ ไฟตรงประตูมาให้ด้วยเช่นกันครับ ส่วนไฟเพดานยังคงเป็นโทนสีส้มทั้งหมด จริงๆถือว่าตัวไฟส้มไฟแดงนั้นยังคงเข้ากันกับภายในสีแดงอยู่ ไม่ได้โดดหรือเด่นไปมากนักให้ความรู้สึกหรูหรา และ สปอร์ตไปได้ในตัว ตัววัสดุภายในเน้นโทนสีดำ เงิน แดง ก็ยังคงเด่นและไม่ได้ดูตกยุคไปซะทีเดียวสำหรับ 430i Convertible

มุมมองพื้นที่ภายในตัวรถนั้นในตัวเบาะหน้านั้นรูปทรงสปอร์ตพอสมควรและเอาจริงๆถือว่าพื้นที่ด้านหลังนั้นใช้งานได้ดีกว่าที่คิดการรองรับบริเวณศรีษะอะไรนั้นใช้งานได้ ตัวแอดมินเองสูง 180 ก็พอนั่งไหวเหมือนกัน และมีที่วางแขนอะไรมาให้ใช้งานพร้อมที่วางแก้วครับ มุมมองก็ไม่ได้อึดอัดอะไรเท่าไรแม้จะปิดหลังคาก็ตามเพราะว่ามีพื้นที่สูงพอสมควรในด้านหลัง และในด้านหน้าก็มีพื้นที่เหนือศรีษะให้พอใช้งานเหลือๆครับ อีกทั้งมุมมองกระจกก็ไม่ได้แคบด้วยเช่นกันในด้านข้างและในด้านหน้า ยังคงเน้นความโปร่งโล่งเป็นหลักให้คนนั่งรู้สึกสบายไม่อึดอัดในการขับขี่

ตัวเบาะนั่งพื้นที่ภายในรุ่นนี้ถือว่าเป็นอีกจุดที่สบายกว่าที่คิดไว้เพราะด้วยรูปทรงตัวรถที่ค่อนข้างเตี้ยแบนทำให้คิดว่าภายในนั้นจะเล็กแต่เอาจริงๆนั้นไม่ต่างกับ Series 3 เลยแม้แต่น้อยครับแต่ตัวเบาะนั้นมีความกระชับมากกขึ้น สามารถปรับบีบข้างๆได้อีกรวมถึง สามารถยืดส่วนรองขาได้ด้วยทำให้การขับขี่รุ่นนี้ทำได้ดี นั่งกระชับสบาย และตัวเบาะก็ไม่ได้แน่นมากเกินไปทำให้รู้สึกสบายและไม่ได้แข็งแบบรถแข่งพวกนั้นครับ การรองรับต้นขาอะไรทำได้ดีรวมถึงมุมมองการขับขี่ไม่ได้เตี้ยมากเกินไปด้วย ทางด้านเบาะนั่งนั้นต้องบอกว่าส่วนตัวชอบและลงตัว ส่วนในด้านหลังเนื่องจากเป็นรถยนต์แนวนี้อาจจะมีข้อจำกัดอยู่บ้างครับแต่ก็ยังรองรับได้กลางๆเน้นนั่งไประยะใกล้ได้สำหรับผู้ใหญ่ แต่ถ้าสำหรับเด็กหรือว่าวัยรุ่นนั้นสบายๆไม่มีปัญหาเลย พร้อมกับมีลำโพง แอร์หลัง ที่วางแก้วตรงกลางพร้อมใช้งาน

หน้าปัดในรุ่นนี้ยังคงมีความคลาสสิก และใช้งานแบบเข็มล้วนๆไม่ใช่หน้าปัดแบบดิจิทัลอะไรครับอาจจะดูย้อนยุคไปนิดหน่อย แต่ก็พอเข้าใจได้ด้วยเจนและปีของมันที่ออกมานานแล้ว หน้าปัดนั้นเน้นความดิบๆสีแดงทั้งหมดไม่มีการเล่นสีสันอะไรมากนัก พร้อมกับเข็มวัดรอบในด้านขวา และ เข็มความเร็วในด้านซ้ายสุดที่ 260 กม/ชม. และยังคงมีเข็มน้ำมัน และ ความร้อนมาให้ พร้อมหน้าจอ MID ในด้านขวาล่างที่จะโชว์ข้อมูลต่างๆของตัวรถ และเกียร์รวมถึงโหมดการขับขี่ ส่วนคอนโซลกลางเน้นใช้งานง่ายเป็นปุ่มทั้งหมด แยกแอร์ซ้ายขวา มีที่ใส่ CD พร้อมกับไฟโทนสีแดง

CONSUMPTION 

อัตราการกินน้ำมันในการทดสอบนั้นจะเน้นการขับขี่ทั้ง 2-3 รูปแบบและในการขับทั้งในเมืองและนอกเมืองรวมถึงขับแบบโหดๆทดสอบทั้งหมดถือว่าด้วยพละกำลังเทียบกับการกินน้ำมันนั้นถือว่าเป็นปกติของรถยนต์สปอร์ตแนวนี้ครับ ในการทดสอบขับทางไกลแบบใช้งานโหมดพื้นฐาน ไม่ได้เปิดโหมด Sport นั้นจะสามารถทำได้อัตราการกินน้ำมันประมาณ 13-14 กม/ลิตร ถือว่าประหยัดพอสมควรแม้จะเป็นรถแนวนี้แต่อันนี้ทดสอบขับไม่ได้เร่งแซงอะไรมากและขับชิลๆทั่วไป 90-100 ไม่มากกว่านี้ในระยะทางไกลครับ แต่ถ้าในเมืองนั้นจะทำได้ประมาณ 12 ประมาณนี้ครับในเมืองเจอรถติดหรือว่าขับในเมืองที่มีรถเยอะครับ ส่วนถ้าใครสายโหดนั้นขับแบบกระแทกแรงๆ สายโหดในการเปิดโหมด. Sport+ เท่าที่ลองขับและใช้เกียร์ M หลายๆรอบลากรอบสูงๆนั้นทำให้การกินน้ำมันนั้นสามารถแตะไป 9-10 กม/ ลิตร ได้เลยก็ต้องบอกว่าตามประสิทธิภาพและความแรงของตัวรถครับ ใครสายขับโหดๆก็เป็นข้อแลกเปลี่ยนกัน แต่ทั้งนี้การขับขี่แต่ละคนมีความแตกต่างกันอย่างแน่นอนครับอันนี้เป็นอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยที่ทดสอบกัน

ENGINE AND DRIVE

เครื่องยนต์ในรุ่นนี้ยังคงใช้งานเครื่องยนต์ เบนซิน 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร 1,998 ซีซี. TwinPower Turbo กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 82.0 x 94.6 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 10.2 : 1 กำลังสูงสุด 252 แรงม้า ที่ 5,200 – 6,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 350 นิวตันเมตร ที่ 1,450 – 4,800 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ ZF STEPTRONIC ขับเคลื่อนล้อหลัง พร้อมด้วย ในรุ่น M Sport นั้นจะมี Paddle Shift มาให้ใช้งานพร้อมกับ ระบบควบคุมพวงมาลัย และ ช่วงล่างที่เซ็ตมาให้สปอร์ตมากกว่าตัว LUXURY ด้วยเช่นกันครับ แน่นอนว่าทางด้านเครื่องยนต์ถือว่าเหลือๆในการใช้งานจริงด้วยขนาดตัวรถที่ไม่ได้ใหญ่โตมากนักทำให้สามารถพาเข้า 430I CONVETIBLE M SPORT คันนี้พุ่ง 0-100 ได้ประมาณ 6 วิเท่านั้นรวมถึง สามารถเร่งแซงอะไรได้ทันใจพอสมควรในแต่ละอัตราเร่ง รอบต่างๆนั้นแรงบิดมาตั้งแต่รอบต่ำเลยทำให้การดึงนั้นรู้สึกได้ชัดเจนอีกทั้งขับได้สนุก ทันใจมากๆ

เสียงเครื่องยนต์นั้นอาจจะไม่ได้เร้าใจหรือสะใจมากนักเมื่อนั่งในรถเพราะตัวรถยังคงเก็บเสียงได้ดีมากข้อยกข้อดีให้กับหลังคาแข็งในจุดนี้ทำให้เก็บเสียงเครื่อง เสียงท่อจากภายนอกได้ดีจนแอบดีเกินไปนิดหน่อยถ้าใครที่ชอบฟังเสียงท่อเสียงเครื่อง และในแง่ของเสียงลมนั้นทำได้ดีเช่นกันเมื่อเทียบกับพวกรถเปิดประทุนแบบหลังคาผ้าใบนั้นจะดังกว่าชัดเจนมากครับ และเสียงจากถนนอะไรนั้นซัพได้ดีเสียงยางเสียงร้อยต่อถนนนั้นถือว่าเข้ามาน้อยมากๆทำให้เวลาขับความเร็ว 140 ขึ้นไปแต่ภายในรถก็ยังไม่ดังหรือไม่มีเสียงลมอะไรมากทำให้ขับแล้วไม่รู้สึกว่าขับเร็วเลยสำหรับคันนี้

ในแง่ของช่วงล่างรุ่นนี้จะใช้ระบบ Adaptive M ที่สามารถปรับแต่งได้นิดหน่อยว่าจะเน้นในเรื่องของความสะดวกสบายแบบนุ่มๆนิด หรือว่าจะเป็นแข็งๆตามสไตล์รถสปอร์ตครับก็ถือว่าจากที่ได้ลองนั้นช่วงล่างคันนี้จะอยู่กลางๆที่ระหว่างรถที่โดยสารทั่วไปกับรถยนต์แนวสปอร์ต คือคนขับนั้นจะรู้สึกเลยว่าตัวรถมีความแน่น เฟิร์มไปทั้งคันและไม่ได้กระด้างมากเกินไปด้วย ส่วนคนนั่งจะรู้สึกนั่งสบายไม่ได้กระเด้งกระด้างมากเกินไปอาจ จะด้วยความนุ่มของตัวรถน้ำหนักของรถที่ให้รู้สึกแน่นหนักเวลาขับเร็วเลยไม่ได้รู้สึกโยนหรือไม่มั่นใจเลยสำหรับคันนี้ ทำให้กล้าที่จะขับความเร็วสูงได้โดยที่ทั้งคนนั่ง และคนขับไม่ได้รู้สึกเสียว หรือไม่ปลอดภัยเลยแม้จะขับ 190+ แล้วก็ตามถือว่าเป็นช่วงล่างที่ปรับมาแบบลงตัวในการใช้งานความเร็วสูง หรือแม้จะเป็นการขับที่ทั่วไปที่ถนนประเทศไทยนั้นไม่ค่อยจะเรียบก็ตาม เซ็ตออกมาได้ลงตัวแบบที่ไม่ต้องไปปรับอะไรแล้วสำหรับช่วงล่างคันนี้ตอบโจทย์การใช้งานได้แบบไม่มีปัญหาเลยนั้นเอง

การพวงมาลัยนั้นในรุ่นนี้ถือว่าใช้ตัว Servotronic เข้ามาเสริมแบบสปอร์ตทำให้การควบคุมพวงมาลัยนั้นจะแตกต่างกับตัว LUXURY ครับในแง่ของการควบคุมนั้นจะค่อนข้างกระชับและไวสามารถขับความเร็วสูงและเปลี่ยนเลน 2 เลนได้แบบมั่นใจและคุมอยู่โดยที่ตัวรถก็สามารถตอบสนองต่อพวงมาลัยการควบคุมได้ดีเช่นกัน และทำให้ในการขังในเมืองก็ไม่ได้หนืดหรือหนักมากเกินไปด้วยระบบตัวนี้ที่เสริมเข้ามาแอบดีกว่าที่พวงมาลัยตัว LUXURY เซ็ตมาแบบรู้สึกได้เลย แต่ก็ยังหนักกว่าตัว F30 หรือซีรีย์ 3 อยู่เช่นกันตามสไตล์ของตัวรถครับ รวมถึงการเบรกอะไรก็ไม่ต้องห่วงยังให้ความรู้สึกแน่นและเอาอยู่ ไล่เบรกได้เนียนและไม่ได้ตื้นมากเกินไปด้วย ต้องบอกตรงๆว่าค่ายนี้ยังคงเด่นเรื่องของการขับขี่ เครื่องยนต์และช่วงล่างได้ดี รวมถึงการควบคุมในความเร็วสูงมันขับสนุกอย่างมากทั้งเครื่องยนต์ เกียร์และช่วงล่างที่ออกมาตอบโจทย์คนที่ชอบความเร็ว แต่ก็ยังใช้งานทั่วไปได้ด้วย เป็นอีกรุ่นที่ขับแล้วชอบจริงๆ

BMW 430 I CONVERTIBLE M SPORT

” ส่งท้าย CONVERTIBLE หลังคาแข็ง ที่ยังสวยลงตัว และ การขับขี่ที่สนุกสนาน “

เป็นรุ่นที่น่าเก็บสำหรับ Bimmer เป็นรุ่นที่งานออกแบบถือว่าลงตัวที่สุดก็ว่าได้ทั้งในกระจังหน้าและในหลายๆส่วนของตัวรถที่ยังดูแล้วมีความเป็น BMW อย่างชัดเจนทรงไฟท้ายที่เราคุ้นเคยกัน ไฟหน้า พร้อมกระจังหน้าที่ยังไม่ได้ใหญ่ไปมากกว่านี้ รวมถึงการขับขี่ที่ยังตอบโจทย์สำหรับคนที่ชอบการขับขี่ความเร็วสูง หรือเน้นประสิทธิภาพในการขับขี่ค่ายนี้ยังคงไว้ใจได้เป็นอย่างดี รวมถึงจุดแข็งคือเป็นรุ่นที่เป็นหลังคาแบบ Hardtop หรือหลังคาแข็งรุ่นสุดท้ายในตลาด นับในค่ายอื่นๆ หรือจะนับในค่ายตัวเองด้วยเช่นกันเพราะว่ารุ่นใหม่ปรับไปใช้ผ้าใบอีกครั้งครับ ทำให้มันเป็นรุ่นสุดท้ายแล้ว และหลายๆคนนั้นยังคงชอบแบบหลังคาแข็งแน่นอนทั้งความสวย ความแข็งแรงและความเงียบที่มากกว่าผ้าใบรวมถึงการตกแต่งเอาไปทำต่อก็ทำได้สบายๆทั้งระบบช่วงล่างที่รองรับและการควบคุมที่สามารถเอาไปทำต่อได้มากขึ้น สำหรับสายโมต่างๆก็เป็นอีกรุ่นที่เราน่าจะเห็นในการใช้งานแต่งสวยๆเยอะพอสมควร ต้องบอกว่าดีไซน์รุ่นนี้เป็นอีกรุ่นนึงที่สวยแบบอมตะไปแล้ว แต่เรื่องของภายในนั้นอาจจะต้องเข้าใจว่ามันออกมานานแล้วอาจจะไม่ล้ำสมัยมากนัก แต่ถ้าใครที่สนใจแต่เรื่องการขับขี่จริงๆภายในอาจจะไม่ได้เป็นส่วนสำคัญเท่าไรในการตัดสินใจก็เป็นได้สำหรับเจ้า BMW 430I CONVETIBLE M SPORT ในรหัส F33 คันนี้เป็นรุ่นที่ขับได้สนุกและเร้าใจอีกตัว

สำหรับรีวิวนี้เป็นการทำบทความเกี่ยวกับรถยนต์ หรือ สายยานยนต์ของเรา และถ้าหาก มีข้อผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ มีข้อเสนอแนะ หรือข้อนำแนะอะไร ยังไงสามารถแจ้งเราได้เสมอเพื่อการปรับปรุงที่ดีขึ้นครับ เพื่อนๆสนใจอยากให้รีวิวรถรุ่นไหนสามารถ Inbox มาบอกเราได้เลยนะ จะพยายามจัดหามาให้อ่านกันเยอะๆ ขึ้นเรื่อยๆ ครับ … สำหรับ Techhangout Auto !

ฝากไลค์เพจ FACEBOOK เราด้วยนะครับ >>>>>>>>>  TECHHANGOUT

เข้าร่วมกลุ่ม TECHHANGOUT พูดคุยแลกเปลี่ยน ข้อมูล คุยกันเองชิลๆได้เลยที่ — Facebook  Techhangout พูดคุย Smartphone gadget