BYD เป็นรถยนต์ไฟฟ้าอันดับต้นๆในจีน และ ในช่วงหลังๆเองนั้นในตลาดโลกเรียกได้ว่าก็เติบโตขึ้นเรื่อยๆ ทั้งเรื่องของเทคโนโลยี มอเตอร์การใช้งานต่างๆคือทำได้ดีมากและในหลายๆค่ายก็มีการจับมือพัฒนาร่วมกันกับทาง BYD มากมายเช่นกันเป็นแบรนด์ที่เติบโตไวมากๆรวมถึงการพัฒนาเรื่องของแบต Blade Battery ที่เป็นเทคโนโลยีอันดับต้นๆของวงการแบตกันเลยทีเดียว และ ในการลุยตลาดเมืองไทยก็เรียกได้ว่าไว และ เร็วในช่วงปลายปีจนมาถึงตอนนี้ก็สามารถโกยยอดจองไปเกือบหมื่นกว่าคัน และ ส่งมอบกันอย่างต่อเนื่องกันทั้งราคาที่จับต้องได้ และ เทคโนโลยีดีไซน์งานออกแบบที่ลงตัว ทำให้หลายๆคนกล้าเปิดใจมากขึ้นกับรถยนต์ไฟฟ้าจีน ในยุคน้ำมันแพงแบบนี้เช่นกันครับและแน่นอนว่ารถไฟฟ้าหลากหลายรุ่นเราจะทดสอบขับยาวไปเพชรบูรณ์ระยะทาง 340 กิโลมาลุ้นกันว่าเหลือแบตเท่าไรแบบไม่แวะชาร์จ ซึ่งเคยทดสอบกันไปก่อนหน้านี้ใน ORA , VOLVO และ คราวนี้ถึงตา BYD Atto 3 กันแล้ว
BYD ATTO 3 EXTENTED RANGE มาพร้อมกับมอเตอร์ไฟฟ้าล้วน 1 ตัวในการขับเคลื่อนล้อหน้าใช้งาน มอเตอร์ Permanent Magnet Synchronous Motor กำลังสูงสุด 150 กิโลวัตต์ หรือ 204 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 310 นิวตันเมตร + แบตเตอรี่ BYD Blade Battery ความจุ 60.48 kWh ขับเคลื่อนล้อหน้า FWD อัตราเร่ง 0-100 km/h ภายใน 7.3 วินาที และตัวรถสามารถทำระยะทางวิ่งสูงสุดต่อการชาร์จ อยู่ที่ 480 กิโลเมตร (มาตรฐาน NEDC) หรือ ระยะทางวิ่งสูงสุดต่อการชาร์จ อยู่ที่ 420 กิโลเมตร (มาตรฐาน WLTP) และทางด้านช่วงล่าง ด้านหน้าเป็นแบบอิสระ MacPherson Strut พร้อมเหล็กกันโคลง และทางด้านหลัง เป็นแบบอิสระ Multi-link พร้อมเหล็กกันโคลง ใช้งานล้อ ขนาด 18 นิ้ว ลาย Two Tone พร้อมกับ ยาง Atlas Batman ขนาด 215/55 R18 ส่วนทางด้านออฟชันเรียกได้ว่าจัดเต็ม ไม่ว่าจะรุ่น Standard . Extend ให้มาเหมือนกันทั้งหมดเลยนั้นเอง ไฟหน้าแบบ LED ระบบไฟสูงอัตโนมัติ HMA ไฟหน้าแบบเส้นยาว รวมถึงไฟท้าย และ ระบบช่วยเหลือการขับขี่ครบๆทั้งหมด และ ACC ต่างๆให้มาแน่นๆ ใช้งานหน้าจอกลาง ขนาด 12.8 นิ้ว ปรับได้ทั้งแนวตั้งและแนวนอน พร้อม ชุดเครื่องเสียง Dirac HD sound® พร้อมลำโพง 8 ตำแหน่ง และ ระบบช่วยเหลือทั้งหมดให้มาครบๆคุ้มค่ามากๆ
- ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปนผันทุกย่านความเร็ว (ACC with Stop & Go)
- ระบบเบรกอัตโนมัติด้านหน้า AEB
- ระบบเตือนการชนด้านหน้า FCW
- ระบบเตือนการชนด้านหลัง RCW
- รบบแจ้งเตือนมุมอับสายตาด้านข้าง BSD
- ระบบเตือนมีเมื่อรถวิ่งเข้ามาขณะเปิดประตู DOW
- ระบบเตือนเมื่อออกนอกเลน LDW
- ระบบรักษารถให้อยู่ในเลน LKA
- ระบบเตือนเมื่อมีรถวิ่งเข้ามาขณะถอยหลัง RCTA
- ระบบช่วยเบรกอัตโนมัติเมื่อเสียงต่อการชนด้านหลัง RCTB
มาพร้อมกับราคา 2 รุ่นย่อย ต่างกันแค่ระยะทางการขับขี่
- Atto 3 Standard Range วิ่งได้ 410 กม. NEDC : 1,099,900 บาท
- Atto 3 Extended Range วิ่งได้ 480 กม. NEDC : 1,199,900 บาท
EXTERIOR
แน่นอนว่างานออกแบบภายนอกค่าย BYD ถือว่าเป็นค่ายรถยนต์จากจีนที่ออกแบบได้เรียบหรูแต่สวย เส้นสายไม่รกและมีดีไซน์แนวทางเป็นของตัวเองหลายๆรุ่นมากไม่ได้เลียนแบบใคร แม้ในยุคแรกๆของค่ายอาจจะมีบ้างแต่เข้าสู่ยุคใหม่พัฒนาเปลี่ยนแปลงขึ้นชัดเจนครับตัวรถคันนี้มาในขนาด B-SUV ประมาณ HR-V , CROSS เป็นต้น และพร้อมกับมิติตัวรถ ความยาว 4,455 มม. และ กว้าง 1,875 มม. รวมถึงมีความสูง 1,615 มม. ซึ่งคันนี้จะได้เปรียบที่ฐานล้อยาวพอสมควรที่ 2,720 มม. และ ใต้ท้องรถนั้นไม่มีแบตห้อย และปลอดภัยที่ 17.5 เซนติเมตรเลยทีเดียว
สิ่งที่โดดเด่นที่สุดของ BYD แน่นอนว่ารุ่นนี้คือไฟหน้าและหลังที่โดดเด่นเวลากลางคืน ส่วนเส้นสายรอบตัวรถมีความคลีน แต่ก็เสริมลูกเล่นบางส่วนตามเสา C และด้านหน้าและท้ายรถบ้างที่ค่อนข้างชอบคือคันนี้เราได้สีขาว ที่ไม่ขาวเท่าไรนัก ตัวรถบางสภาพแสงจะออกเทาๆ ในชื่อ Frost White และเราจะเห็นความโค้งเว้าของตัวรถเวลาเล่นกับแสงได้ดี รวมถึงในหน้ารถสื่อถึงความเป็นรถยนต์ไฟฟ้าล้วนที่ไม่ต้องมีช่องดักลมอะไร และเน้นการตกแต่งเป็นหลักส่วนด้านท้ายโดดเด่นด้วยไฟแนวยาว และชุดกันชนเสริมเข้ามา และ ยังมีใบปัดน้ำฝนหลังมาให้อยู่ในรถแนว SUV ต้องยอมรับว่ามันเป็นรถที่ดีไซน์ สวย และลงตัวที่สุดคันนึงในบรรดารถยนต์ไฟฟ้าด้วยกันในเรตราคาใกล้ๆกันทั้งหมด
เส้นสายไฟท้ายแนว Lightbar ตามสมัยนิยมเราจะเห็นว่าไฟมีความคมสวยและเป็น Full LED ทั้งหมดเสริมกับไฟตัดหมอกล่างตรงกลางตัวรถ แต่จุดที่แอบแปลกๆคือชื่อเต็มๆของแบรนด์ จริงๆถ้าใส่แค่ BYD อาจจะดูเรียบสวยกว่านี้ ส่วนด้านหน้าเองนั้นเราจะเห็นเลยว่าไฟกระจังหน้าใส่เข้ามาให้สวยงามเวลาเปิดไฟกลางคืน แต่ถ้าขับกลางวันจะติดแค่ซ้าย และ ขวา เท่านั้นครับพร้อมกับโลโก้ BYD และ เส้นสายไฟเชื่อมยาวทั้งสองข้าง เซนเซอร์รอบคัน กล้องรอบคันมีมาให้ครบ รวมถึงไฟส่องพื้นตรงกระจกมองข้าง และ NFC เวลาใช้งาน การ์ดแตะแทนกุญแจรถก็ยังใส่เข้ามาให้
ตัวล้อเป็นล้อจริงไม่ใช่ฝาครอบ มาพร้อมกับเล่นลวดลายและสีสวยงามเป็นล้อติดรถที่ดูดีมากๆคันนึง ใช้งานล้ออัลลอย ขนาด 18 นิ้ว ยางขนาด 215/55 R18 แน่นอนว่าตัวล้อนั้นไม่มีปัญหา แต่ยางติดรถค่อนข้างไม่ดีเท่าไร แก้มนิ่มเกินไป และ ทำให้ตัวรถเกิดอาการย้วยได้ง่ายมากๆแม้จะเติมลมมากถึง 40 ก็ตามทำให้การขับขี่ตัวรถเวลาเปลี่ยนเลนไวๆ มีอาการยวบ และ ย้วยชัดเจนในการขับขี่ความเร็วสูง หรือ ในหลายๆจังหวะ แก้ปัญหาด้วยการเปลี่ยนยางให้แก้มแข็งขึ้น หรือ แบรนด์ที่เราคุ้นเคยกันทดแทนได้ ส่วนที่ชาร์จจะอยู่ฝั่งหน้าด้านขวาของตัวรถ รองรับกระแสไฟสูงสุด 80kW ทำให้ในการชาร์จ DC ใช้เวลาแค่ 30 นาทีจากแบต 30-80% และ เสียบ Wallbox ทั่วไป 7kW ใช้เวลา 8 ชั่วโมง 30 นาทีนั้นเอง และยังรองรับ V2L จ่ายไฟออกนอกรถเสียบปลั๊กทั่วไปได้เลยและให้หลังคากระจกบานใหญ่โตมากๆ พร้อมสามารถเปิดปิด ได้ และยังคงมีม่านบังแดดใส่เข้ามาให้อยู่ถือว่าออฟชันแน่นๆครับ
ไฟหน้ามาพร้อมกับ FULL LED รองรับการทำงานไฟสูงต่ำ อัตโนมัติเท่าที่ลองใช้งานถือว่าความไวกำลังดีแต่มีบางจังหวะอาจจะต้องดูดีๆบ้างเพราะหลบค่อนข้างช้ากว่าที่คิด แต่ความสว่างพื้นฐานรองรับได้ดีในการเดินทางต่างจังหวัด และ สามารถปรับระดับไฟหน้าได้ รวมถึงไฟท้ายแบบเส้นสวยงามเวลากลางคืน พร้อมไฟเลี้ยวแบบวิ่ง และ ยังให้ตัดหมอกหลังด้านล่างมาให้ที่สว่างสะใจ ใช้งานเวลาเจอฝนตกหนักๆและเจอหมอกหนาได้ เพราะไฟพวกนี้สามารถทำให้รถมองเห็นได้ และเน้นๆว่าไม่ควร และ ห้ามให้เปิดไฟฉุกเฉินเวลาขับเวลาเจอฝนตกหนัก ให้ใช้ตัดหมอกหลังแทนครับ
INTERIOR
งานออกแบบภายในเป็นจุดที่มีเสียงแตกกันเยอะแน่นอนว่าการที่ออกแบบมาแบบนี้ คนชอบก็คือชอบไปเลย ไม่ชอบก็คือแบบน่าเกลียดไปเลยครับ ในยุคหลังๆรถยนต์หลายๆค่ายต้องยอมรับว่าหน้าจอเข้ามามีส่วนเยอะมากและลดทอนปุ่มลงไป และ BYD ก็เช่นกันหน้าจอกลางโดดเด่นปรับหมุนได้ แต่ที่เด่นกว่านั้นคือเส้นสายรอบๆ แสงสีรอบๆที่ได้รับแรงบันดาลใจมากจากโรงยิม เครื่องดนตรี หรือ อาจจะเป็นท้องปลาวาฬผสมกันไปด้วยตรงสีขาวๆ และเส้นสายที่เยอะ โค้งแบบนี้หลายๆคนอาจจะไม่ชอบเท่าไรนักดูเป็นของเล่นไปนิด ส่วนตัวผมว่าไม่ค่อยถูกใจเหมือนกัน แต่ถ้ามองในการใช้งาน ออฟชันที่เสริมมา หรือ แสงสี ความหวือหวาของตัวแสงสีเล่นอะไรทำให้มันพอดูมีอะไรมากขึ้นเวลากลางคืนนั้นเอง แต่ทุกสีจะได้ภายในแบบนี้ทั้งหมดไม่มีตัวเลือกสีดำ หรือเปลี่ยนสีเดียวได้ในวัสดุสีภายในคันนี้ครับ
พวงมาลัยสีน้ำเงินปาดขอบล่างรูปทรงแปลกตาและไม่ค่อยเห็นในคันอื่นๆเท่าไรพร้อมกับปุ่มควบคุมหน้าจอกลาง หน้าจอคนขับ และ ปุ่มควบคุมระบบ ACC ต่างๆมาให้ครบ และสั่งงานค่อนข้างง่ายจับกระขับกำลังดี ส่วนเกียร์คันนี้ยังคงมีมาให้อยู่แบบคันโยกคล้ายบนเครื่องบินเป็นไฟฟ้าทั้งหมด และ จอดรถโดยการกดตรงกลาง รวมถึงบรรดาปุ่มต่างๆยังคงใส่มาให้ทั้ง เครื่องเสียง ไฟฉุกเฉิน เปลี่ยนโหมดการขับขี่ รีเจน เปิดปิด Blindspot ต่างๆยังถือว่ามีปุ่มให้ใช้งานง่ายอยู่บ้างอันนี้ดี ส่วนช่องแอร์ดีไซน์แปลกตาอยู่ส่วนล่าง แอร์โซนเดียว และ ที่ชาร์จไร้สายใต้ช่องแอร์อีกทีครับ
แน่นอนว่าจุดเด่นมากๆคือ BYD จะมาพร้อมหน้าจอที่หมุนได้ แต่คันนี้จะได้หน้าจอเล็กกว่าที่เมืองจีนเล็กน้อยครับมาพร้อมกับหน้าจอกลาง ระบบสัมผัส Touchscreen ขนาด 12.8 นิ้ว และ หน้าจอกลาง หมุนแนวตั้ง – แนวนอน ด้วยระบบไฟฟ้า Intelligent Rotating รองรับ Spotify และ Apple Carplay แบบมีสาย ซึ่งตอนนี้ต้องใช้สาย USB-A และมีปัญหาคือ เสียบใช้งานแล้วแบตลดลงเรื่อยๆอยู่ครับ จุดนี้เป็นข้อเสียหลักๆเลยนั้นเอง แต่ก็ยังดีที่มีแผนที่นำทางในตัวรถ รวมถึง แอปต่างๆในตัวโดยการใช้งานซิมในตัวรถนั้นเอง สัมผัสตอบสนองได้ไว และมี UI ICON ลัดทำออกมาได้ดี แต่จอคนขับแอบเล็กไปให้มาที่ 5 นิ้ว แต่ก็สู้แสงได้ดีแสดงผลส่วนที่สำคัญเท่านั้นเท่าที่ใช้งานไม่ติดอะไรในส่วนนี้ครับ แค่บางครั้งเวลากลางคืนอาจจะแยงตาไปนิดนึงแม้จะหรี่แสงสุดแล้วก็ตามในส่วนหน้าจอคนขับนี้
ด้วยความเป็นรถไฟฟ้าทำให้คอนโซลออกแบบเล่นอะไรได้เยอะมีที่วางของเยอะแยะมากและคันนี้จัดการได้ดีพอสมควรอีกทั้ง ดีไซน์ที่เปิดประตูรถที่เนียนซ่อน ลำโพงไว้ในตัวบางคนก็หาที่เปิดยาก แต่ต้องบอกว่าเป็นรถที่ดีไซน์ได้แหวกแนวมากๆคันนึงที่ผมเคยทดสอบเลย และแสงสีไฟรอบๆต่างๆคือเยอะและหวือหวามากสำหรับคันนี้ และที่ขอชมมากๆคือกล้องรอบคันชัดมากๆทั้งกลางวันกลางคืน รวมถึงมีกล้องหน้ารถในตัว ไม่ต้องไปซื้อแยกแถมสว่างชัดมุมกว้าง บันทึกทุกอย่างทั้งการเปิดไฟ เบรก การเร่งทั้งหมดข้อมูลแบบกล่องดำเลยทีเดียวดูได้เลยในตัวรถพร้อมบันทึกให้ทันทีตลอดเวลาแค่ใส่เมมเข้าไป รวมถึงกล้องรอบคัน มุมมองเยอะแยะ และแสดงผลจำลองภาพใต้ท้องรถได้ด้วย
ในด้านหลังเองนั้นเราจะได้แอร์หลังพร้อมกับช่องเสียบชาร์จไฟมือถือ USB-A มาให้กับ USB-C และไม่มีอุโมงค์เกียร์มาเกะกะเลยแม้แต่น้อย รวมถึงพื้นที่ข้างหลังคือกว้าง ยาว และโปร่งนั่งสบายที่วางแขนมีตัวล็อกมาให้ใส่แก้วน้ำได้ดี แต่จะวางตามขอบประตูไม่ได้นะเพราะพื้นที่จำกัด + เส้นกีตาร์ 3 โทนเสียงใส่เข้ามาให้อยู่กันของตกได้ระดับนึง
การที่ตัวรถได้หลังคากระจกขนาดใหญ่ทำให้พื้นที่โปร่งโล่งขึ้นมากและเป็นบานที่ใหญ่และลึกที่สุดคันนึงเลยทีเดียวครับเราจะเห็นเลยว่ามันทำให้นั่งสบายและยังมีม่านบังแดดมาให้อยู่รวมถึงโทนสีรถด้านบนมืด ด้านล่างสว่างผสมสีน้ำเงินก็ทำให้รถดูมีสีสันมากกว่าเดิม และดูนั่งสบายเหมือนกันด้วยเส้นสายรอบๆคันตามคอนโซลและเสา B ข้างๆ
TECHNOLOGY
เทคโนโลยีคันนี้ถือว่าเยอะมากเริ่มจากบนกระจกหน้าเราจะเห็นกล้องถึง 2 ตัวคือกล้องหน้ารถสำหรับการบันทึกทุกอย่างแทนกล้องติดรถยนต์ที่เราต้องไปซื้อเพิ่ม และอีกกล้องคือ ADAS ที่จะทำงานร่วมกับระบบช่วยเหลือการขับขี่ทั้งหลายนั้นเองครับทำให้คันนี้จัดเต็มมาให้ทั้งหมด แต่น่าเสียดายไม่มี Rain Sensor มาให้ แต่ระบบทั้งหลายมีมาเยอะมากไม่ว่าจะเป็น
- ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผันทุกย่านความเร็ว (ACC with Stop & Go)
- ระบบเบรกอัตโนมัติด้านหน้า AEB
- ระบบเตือนการชนด้านหน้า FCW
- ระบบเตือนการชนด้านหลัง RCW
- รบบแจ้งเตือนมุมอับสายตาด้านข้าง BSD
- ระบบเตือนมีเมื่อรถวิ่งเข้ามาขณะเปิดประตู DOW
- ระบบเตือนเมื่อออกนอกเลน LDW
- ระบบรักษารถให้อยู่ในเลน LKA
- ระบบเตือนเมื่อมีรถวิ่งเข้ามาขณะถอยหลัง RCTA
- ระบบช่วยเบรกอัตโนมัติเมื่อเสียงต่อการชนด้านหลัง RCTB
รวมถึงเทคโนโลยีการใช้การ์ด NFC แทนกุญแจรถที่เราแค่พกบัตรเล็กๆแบบนี้และขับไปไหนมาไหนได้ ล็อกรถได้ ปลดล็อกรถได้ ง่ายสะดวกมากใส่ในกระเป๋าตังค์ได้เลยอันนี้ถือว่าไว้เวลาเราไปไหนไม่อยากพกกุญแจหนาๆครับเวลาออกกำลังกาย หรือ ไปวิ่งต่างๆช่วยได้ดีมากแถมใช้งานแทนกุญแจหลักได้เลยถ้าสตาร์ตรถภายใน 10 นาทีหลังแตะ
DRIVING
แน่นอนว่าด้านการขับขี่นั้นหลายๆคนได้ลองแล้วประทับใจเพราะมันเป็นไม่กี่ค่ายที่ให้ช่วงล่างหลังแบบอิสระมาให้ระดับราคาแบบนี้ในตลาดเมืองไทย รวมถึงอัตราเร่งแบบรถไฟฟ้าต่างๆคือทำได้ดีมากแต่ก็ยังมีจุดที่น่าเสียดายคือ ตัวยางที่นุ่มแก้มนุ่มไปทำให้ตัวรถภาพรวมค่อนข้างย้วย ยวบ และ โยน เมื่ออยู่กับช่วงล่างที่เน้นความนุ่มสบายแบบนี้ยิ่งไปกันใหญ่ ถ้าเปลี่ยนยางรถคันนี้จะขับดีขึ้นหลายเท่าตัวครับเพราะช่วงล่างทำได้ดีอยู่แล้วในระดับราคาของมัน ทำให้สายซิ่ง หรือ คนขับเร็ว เปลี่ยนเลนไวๆจะไม่ชอบยางและช่วงล่างแบบนี้เลยนั้นเอง ส่วนอัตราเร่ง 0-100 นั้นทำได้จริงที่ 7.9 วินาที เพราะยางลั่นเสียเวลาไปเยอะแม้จะทดสอบหลายรอบก็ตาม ส่วนอัตราเร่ง 80-120 ทำได้ 4.7 วินาที และ การกินไฟเฉลี่ยในเมืองที่ 13.5 kWh/100km และ ต่างจังหวัดที่ 15.5 kWh/100km ส่วนการเก็บเสียงต่างๆทำได้ดีตามราคาของตัวรถ และ อัตราเร่งถือว่าเพียงพอต่อการใช้งานทั่วไปทั้งในเมืองและต่างจังหวัดแล้วนั้นเอง
แน่นอนว่าหลายๆคนคงอยากรู้ว่าขับทางไกลคันนี้จะสามารถทำระยะได้เท่าไรในความเร็วสูงครับสรุปว่าประมาณ 350 กม.ต่อการชาร์จในการทดสอบของ TECHHANGOUT ขับจริงความเร็ว 100-110 นั้นเองครับ ทำให้เราไปถึงก่อนขึ้นเขาค้อได้สบายๆแบตที่ 4% และมีตารางเทียบอัตราสิ้นเปลืองกับรุ่นอื่นๆรวมถึงแบตที่เหลืออยู่ด้วยเช่นกันครับ
BYD ATTO 3 EXTENTED RANGE
” ขับขี่นั่งนุ่มสบาย คุ้มค่า ออฟชันแน่น ดีไซน์เรียบหรู รถไฟฟ้าตัวคุ้มในเรตล้านต้น “
ถ้าบอกว่ารถไฟฟ้าที่น่าใช้งานที่สุดในงบ 1 ล้านต้นคันนี้เป็นตัวเลือกอันดับ 1 ได้ทันทีเน้น SUV คู่แข่งตรงๆนั้นน้อยมากและคู่แข่งที่น่ากลัวยังไม่เข้าไทยคือ NETA U II นั้นเอง ทำให้ในตลาดนี้ SUV แบบนี้คันนี้กินสบายๆทันทีครับทั้งช่วงล่างการขับขี่ ออฟชันที่ให้มา และ ชื่อชั้นของแบรนด์ แม้ว่าจะมี ORA MG อยู่แต่ก็คนละกลุ่มตลาดกันชัดเจนทั้งดีไซน์ และ รูปทรงของตัวรถจะไปคนละแนวกันทันที ถ้าเน้นความคุ้มค่า ใหญ่ ขนของได้ สูงหน่อยคันนี้คือตอบโจทย์ทั้งหมด มอเตอร์แรงกำลังเหลือๆ แบตเทคโนโลยีใหม่ ไม่ห้อยใต้ท้องรถทุกอย่างแทบจะไม่มีที่ติเลยในแง่ของตัวรถ ถ้ารับได้กับ ภายในของตัวรถ การรออะไหล่ที่นานพอๆกับแบรนด์จีนอื่นๆ และ ช่วงล่าง ยางที่ย้วยไปพอสมควร ถ้าไม่ใช่คนขับรถเร็วก็น่าจะไม่มีปัญหา แต่ถ้าขับต่างจังหวัดบ่อย ขับเร็ว แนะนำเปลี่ยนยางก็เพียงพอแล้วดีขึ้นชัดเจน
สำหรับรีวิวนี้เป็นการทำบทความเกี่ยวกับรถยนต์ หรือ สายยานยนต์ของเรา และถ้าหาก มีข้อผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ มีข้อเสนอแนะ หรือข้อนำแนะอะไร ยังไงสามารถแจ้งเราได้เสมอเพื่อการปรับปรุงที่ดีขึ้นครับ เพื่อนๆสนใจอยากให้พวกผมรีวิวรถรุ่นไหนสามารถ Inbox มาบอกเราได้เลยนะ จะพยายามจัดหามาให้อ่านกันเยอะๆ ขึ้นเรื่อยๆ ครับ … สำหรับ Techhangout Auto !
ฝากไลค์เพจ FACEBOOK เราด้วยนะครับ >>>>>>>>> TECHHANGOUT
เข้าร่วมกลุ่ม TECHHANGOUT พูดคุยแลกเปลี่ยน ข้อมูล คุยกันเองชิลๆได้เลยที่ — Facebook Techhangout พูดคุย Smartphone gadget