MUSTANG ถือว่าเป็นรถยนต์ Muscle Car ที่หลายๆคนนั้นน่าจะรู้จักกันเป็นตำนานรุ่นนึงของทางค่ายนี้เลยก็ว่าได้เพราะว่าเป็นรุ่นที่มีความนิยมอย่างมากในเจนแรกๆ ทั้งรูปทรงและความสวยงามของตัวรถ เรียกได้ว่ากู้ชื่อของค่าย Ford เลยและในครั้งนี้ก็ถือว่าเป็นรุ่นที่ 6 แล้ว ต้องบอกว่ารุ่นที่เป็นตำนาน จะเป็นรุ่น 1 และ รุ่นที่ 5 รวมถึงรุ่นที่ 6 ที่ยังคงความเป็น Muscle Car ได้และสวยลงตัว ก็ต้องบอกว่ารุ่น 2-4 นั้นแอบไม่ค่อยสวยเท่ารุ่นแรกซักเท่าไรนัก และถ้ามองถึงตัวแบรนด์หลายๆคนนั้น เมื่อเห็นสัญลักษณ์ม้าป่าก็น่าจะรู้จักกันเป็นอย่างดี รวมถึงในยุคใหม่ก็เริ่มใช้ชื่อ Mustang ในการทำรถยนต์ไฟฟ้าของค่ายในชื่อ Mach-E แล้วด้วยเช่นกัน ถือว่าสานต่อได้หลากหลายแนวทางอย่างมาก และในปีนี้ก็ครบรอบ 55 ปีของแบรนด์ Mustang ตัวนี้แล้วจากทางค่าย Ford ถือว่ายาวนานพอสมควร และ เราก็ได้มาอยู่กับ FORD Mustang V8 5.0 NA   รุ่นพิเศษ 55th Anniversary ตัวครบรอบของรุ่น

5.0 V8 NA GT Coupe’ Performance Pack  นั้นจริงๆเป็นสเปกที่ต้องบอกว่าเหมาะสำหรับการขับขี่ทั่วไป และ สายโหดมากกว่ารุ่นน้อง และ พละกำลังเหลือๆ เสียงลั่นๆ สูบน้ำมันหนักๆ ได้ทรงของตัวรถที่เน้นสวยงาม มีความดิบๆ เสียงก็ดุดัน มาพร้อมกับเครื่องยนต์เครื่องยนต์เบนซิน V8 สูบ DOHC Direct Injection Ti-VCT ขนาด 5.0 ลิตร 5,038 ซีซี. กำลังสูงสุด 449 แรงม้า ที่ 7,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 529 นิวตันเมตร ที่ 4,600 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 10 จังหวะ ขับเคลื่อนล้อหลัง พร้อม Limited Slip Differential จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 10 จังหวะ ขับเคลื่อนล้อหลัง พร้อม Limited Slip Differential ส่งกำลังขับเคลื่อนล้อหลัง ความดิบๆตามสไตล์รถมะกันแบบนี้ครับ แน่นอนว่ารุ่น 55 ปีนั้นจะได้จุดที่แตกต่างกับทั่วไปคือ ล้ออัลลอย ขนาด 19 นิ้ว ดีไซน์ใหม่ พร้อมกับ แดชบอร์ดหน้า พร้อมสัญลักษณ์ ” Fifty Five Years “ รวมถึงการใช้งาน เบาะคู่หน้า RECARO แค่นั้นเลย เสียดายว่าไม่มี Badge ในด้านข้างหรือด้านหลังบอกว่าครบรอบ 55 ปีครับ มีแค่ภายในเท่านั้น ส่วนออฟชั่นฟีเจอร์นั้นยังคงเหมือนกับรุ่นปกติทั้งหมด ใช้งาน ล้ออัลลอย ระบบเบรก คู่หน้า Brembo 6 pots เส้นผ่านศูนย์กลาง 36 มิลลิเมตร จานเบรก คู่หน้า ขนาด 380 x 34 มิลลิเมตร ล้อ ขนาด 19 นิ้ว คู่หน้า – คู่หลัง 19″ x 9 J ลายแตกต่างกับตัว 2.3L พร้อมกับ แอปพลิเคชัน Track Apps สนามแข่ง ไฟหน้า Projector Lens แบบ LED เปิด-ปิดไฟหน้า แบบอัตโนมัติ และ ระบบเปิด-ปิดไฟสูงอัตโนมัติ Auto High Beam อีกทั้งยังมี หน้าจอระบบสัมผัส Multi-Touchscreen ขนาด 8 นิ้ว รองรับ Apple Carplay Android Auto และ ระบบเสียง B&O และใส่ระบบช่วยเหลือ ระบบเตือนการชนด้านหน้า Forward Collision Warning System และ ระบบเบรกอัตโนมัติ พร้อมระบบตรวจจับคนเดินถนน AEB with Pedestrian Detection ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน Adaptive Cruise Control และ ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องจราจร Lane Keeping System ถือว่ายังคงจัดเต็มมาให้ครบๆแม้จะเป็นรถสปอร์ตก็ตามครับ และ จุดที่แตกต่างกับตัว 2.3 นั้นจะมี ท่อไอเสีย 4 ท่อ + โหมดปรับระดับความดัง Active Valve Exhaust System 4 ระดับ+ โหมด Good Neighbour Mode ลดเสียงเครื่องยนต์ และ ท่อไอเสีย และ กันชนหลังแบบใหม่ Diffuser ใหญ่กว่าเดิม และ กระจังหน้า + โลโก้ GT หลัง แตกต่างกัน  แต่ที่เหลือเองนั้น จะเหมือนกันทั้งหมดเลยครับ 

สำหรับทางด้านราคา ในรุ่น 5.0 V8 NA GT Coupe’ Performance Pack 4,899,000 บาท พร้อมกับ นำเข้าทั้งคัน CBU จากโรงงาน Flat Rock Assembly Plant : Michigan, USA มาพร้อมแพ็กเกจ ” Ford Five Years Premium Care ” รับประกันตัวรถ Warranty นาน 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร รวมถึง ฟรี ค่าบำรุงรักษา Maintenance ฟรีค่าแรง และ ค่าอะไหล่ ฟรี บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน Roadside Asssistance 24 ชั่วโมง นาน 5 ปี !

EXTERIOR

งานออกแบบภายนอกนั้นทางรุ่น 6 หน้าตานี้จะเป็นรุ่นที่มีการปรับเปลี่ยนหน้าตาเป็น Minorchange  แล้วนั้นเองจะเปลี่ยนแปลงในด้านไฟหน้าเล็กน้อยครับ และข้างใน ส่วนชุดแต่งนั้นจะเป็นชุดแต่ง Performance Pack อยู่แล้วจึงได้ความดุดันความสปอร์ตถือว่าลงตัวมากๆครับ รวมถึงล้อที่ให้สีดำแบบนี้รูปทรงสวยงาม และเสริมให้ตัวรถนั้นดูสปอร์ตมากขึ้น ทางด้านโลโก้ ม้ายังคงโดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์เช่นเดิมพร้อมกับรูปทรงตัวที่มีมัดกล้ามสมกับชื่อ Muscle Car และมีความใหญ่มากๆ แต่ระดับความสูงจากพื้นถือว่าสูงอยู่เหมือนกันขับในไทยสบายๆครับ มาพร้อมกับ ยาว x กว้าง x สูง  4,788 x 1,915 x 1,379 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ  2,720 มิลลิเมตร ค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทาน cd = 0.32 ก็ถือว่ารูปทรงขนาดตัวรถแอบใหญ่เอาเรื่อง เป็นขนาดเป็นสไตล์ของบรรดา Muscle Car ตัวหนาๆหนัก

งานออกแบบภาพรวมนั้นต้องบอกว่าตั้งแต่รุ่นก่อนหน้าจนถึงรุ่นนี้ Gen 5-6 นั้นถือว่าเป็นรุ่นที่ดึงการออกแบบรูปทรงที่สวยและเตะตามากขึ้นอิงจากตำนานรุ่นแรกเลยทีเดียวมีความเป็นสันเหลี่ยมเป็น Muscle Car แบบแน่นๆทั้งเรื่องของรูปทรงและมัดกล้ามเป็นเอกลักษณ์ของรถยนต์แบบนี้ จะเห็นว่าตัวรถนั้นแอบมีความสูงจากพื้นถนนเยอะพอสมควรเหมือนกันไม่ได้เตี้ยมากนัก ก็ถือว่าเป็นข้อดีในการขับขี่บนถนนเมืองไทยเรา แต่ที่เด่นจริงๆคงเป็นรูปทรงกระโปรงหน้ายาวพร้อมกับ หลังคาลาด การวางบอดี้กว้างทำให้บนท้องถนนตัวนี้จะโดดเด่นอย่างมากเช่นกัน รวมถึงการใช้งานสีน้ำเงินตัดกับสีดำทำให้ตัวรถยนต์นั้นดูมีความดุดันมากขึ้นและดูไม่เรียบมากเกินไป ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง  และรุ่น 5.0 นั้นจะได้ 4 ท่อจริง และ กันชนล่างแบบใหม่ใหญ่ ดุดันขึ้น และ โลโก้ GT ด้านหลัง รวมถึง 5.0 ในด้านข้างครับ

เมื่อมองหน้าตรงเราจะเห็นว่าตัวรถมีความดุดัน โหดทั้งเส้นสายกระจังหน้าหรือว่าจะเป็นไฟหน้ากดมุมต่ำทำให้ดูมีความเกรี้ยวกราดมากขึ้น กระจังหน้าพร้อมกับรูปทรงปากคว่ำและม้าตัวโตๆเป็นเอกลักษณ์ที่เด่นที่สุดของค่ายนี้และในชุดแต่งที่มีการเปลี่ยนแปลงทั้งกับชนหน้าบอดี้ และ ฝากระโปรงบอกเลยว่าดูสวยลงตัวมากกว่าเดิม และด้านท้ายนั้นในไทยใจดีใส่ชุดแต่งมาให้ในด้านหลังและสปอยเลอร์ต่างๆทำให้มีความดุดันและไม่โล้นแบบรุ่นทั่วไปเยอะมากเมื่อมองตรงๆทั้งหน้าและท้ายตัวรถจะมีความตีโป่งข้างแบบเด่นๆ ทำให้ตัวรถนั้นดูบึกบึนมากกว่าเดิมชัดเจนมากครับ ในด้านหลังจะมาพร้อมกับท่อคู่ และ ไฟตัดหมอก พร้อมไฟถอยในด้านล่าง และการตกแต่งชายล่างสีดำเล็กน้อยครับ

เมื่อลองมองดูดีเทลในแต่ละจุดนั้นจะเห็นว่าเส้นสายอะไรนั้นเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนเปลี่ยนหน้าตาจะมีความซับซ้อนและคมมากขึ้นกว่าเดิม รุ่น 5.0 เราจะได้พลาสติกดำเงา พร้อมขีดเสริมเข้าเล็กน้อยตรงกระจังหน้าขนาดใหญ่ทรงคว่ำเป็นเอกลักษณ์ของค่ายตระกูลนี้ พร้อมกับโลโก้ม้าขนาดใหญ่ รวมถึงบนฝากระโปรงมีช่องระบายทิศทางลมเสริมเข้ามาทำให้จัดการเรื่องอากาศไหลเวียนได้ดีกว่าเดิม และใส่ช่องดักลมในบริเณใต้ไฟเลี้ยวเสริมเข้ามาอีกเช่นกันรวมถึงลิ้นด้านหน้าสีดำด้านเป็นพลาสติกแอบน่าเสียดายไม่ใช่คาร์บอนครับ และช่องใต้ไฟหน้าด้วยเช่นกันแต่ส่วนใต้ไฟหน้าจะเป็นการตกแต่งสวยๆซะมากกว่านั้นเอง พร้อมกับโคมไฟที่เพรียวบางกว่ารุ่นก่อนเปลี่ยนหน้า และเป็นไฟเดียวกับ 2.3

กระจกมองข้างในรุ่นนี้ยังคงไม่มีกล้องรอบคันใส่เข้ามาครับ แต่จะเป็นการออกแบบที่มาพร้อมกับไฟเลี้ยวในตัวรวมถึงตัวยิงไฟลงพื้นสำหรับเวลากลางคืน ทางด้านล้อนั้นเป็นล้อสีดำจากโรงงานในขนาด 19 นิ้วพร้อมกับยาง michelin Pilot Sport 4S  ขนาด 255/40 ZR19 และ  Brembo 6 pots เส้นผ่านศูนย์กลาง 36 มิลลิเมตร+ จานเบรก คู่หน้า ขนาด 380 x 34 มิลลิเมตร  นั้นเองส่วนตัวชายล่างตรงกลางนั้นจะเป็นชุดแต่งสีดำมาตรฐานเป็นพลาสติกสีดำด้านเช่นเดียวกับในด้านหน้า ทำให้มันมีมัดกล้ามเด่นขึ้นและดูสปอร์ตมากกว่าเดิม และ โลโก้ 5.0 เด่นๆบอกเลยว่าแรง แตกต่างกับรุ่น 2.3 เพราะว่ารุ่นนั้นด้านข้างจะเรียบๆไม่มีโลโก้อะไรเลยนั้นเองครับ

ชายด้านล่างนั้นเราจะเห็นว่าท่อไอเสียยังคงใช้งานท่อไอเสียจริง 4 ท่อใหญ่ อยู่แม้จะไม่ได้มีรูปทรงแปลกๆมากนักแต่ความดิบความที่ใช้งานท่อจริงๆเริ่มหายากขึ้นทุกวันในบรรดาค่ายรถยนต์จุดนี้ถือว่าชอบครับ พร้อมกับเซนเซอร์ด้านหลัง และไฟทับทิมในด้านล่างเสริมเข้ามาให้ ส่วนโลโก้ในด้านหลังส่วนบนนั้นตัว 5.0 นั้นจะเป็น GT ครับทำให้มันค่อนข้างเป็นจุดหลักๆในการมองว่าตัวไหนรหัสเครื่องไหนนั้นเอง พร้อมกับวงกลม และพื้นหลังสีดำตัดกันได้อย่างลงตัวเลยทีเดียวครับ ส่วนชายด้านล่างนั้นจะเป็นไฟถอย 2 ดวงพร้อมกับไฟตัดหมอกตรงกลางเสริมเข้ามาและ ครีบรีดอากาศหลัง นั้นใหญ่กว่าตัว 2.3 และ ลึกกว่าชัดเจนครับเป็นจุดที่แตกต่างกับอีกส่วนนึงหลักๆเทียบกับรุ่นเล็ก 2.3

ไฟท้ายยังคงเป็นเอกลักษณ์ MUSTANG ดั้งเดิมในรุ่นแรกไฟท้ายแนวตั้งทั้ง 3 ขีดมองจากไกลก็ยังทราบเลยว่าเป็น ม้าป่า และแม้ว่า Mustang จะมีหลุดแนวทางออกไปบ้างแต่ก็กลับมาพร้อมกับงานออกแบบที่หายไปในรุ่นหลังๆและพัฒนาต่อมาจนถึงรุ่นนี้ได้ดี พร้อมกับไฟเบรกและไฟเลี้ยวในตัว ไฟเบรค 3 ช่อง และผสมกับไฟเลี้ยวมุมรถมีมิติสวยงามและเป็นไฟท้ายที่สวยมากๆคันนึงในท้องถนน ส่วนไฟหน้ามีความเพียวมากขึ้นจากรุ่นก่อนหน้า พร้อมกับไฟ LED ตัวหลัก และไฟ DRL 3 ขีดเอกลักษณ์ใส่เข้ามาให้ แต่น่าเสียดายว่าเป็นแค่ DRL เท่านั้นส่วนไฟหรี่จะเป็นส่วนขีดเส้นด้านล่างใต้ไฟเลี้ยว และไฟตัดหมอกในส่วนล่างเช่นกัน จริงๆน่าจะทำ DRL ให้เป็นไฟหรี่ในตัวน่าจะดีกว่า

ยามค่ำคืนนั้นเป็นจุดที่สวยงามอย่างมากในด้านท้ายรถเมื่อเปิดไฟครบทุกดวง ไฟท้ายโดดเด่นมาแต่ไกลทำงานร่วมกับไฟเบรกดวงที่ 3 ข้างบนพร้อมกับไฟตัดหมอกในด้านล่างทำให้ตัวรถนั้นดูเด่นมากเช่นกัน เรียกได้ว่ายามกลางคืนไฟท้ายทำได้ดีมากๆ ส่วนไฟหน้านั้นอาจจะไม่ได้หวือหวามากเท่าไรนัก เป็นไฟตัดหมอกและไฟขีดเส้นส่วนด้านล่างสีขาวพร้อมกับไฟใหญ่ที่รองรับระบบไฟสูงอัตโนมัติ Auto High Beam มีความสว่างระดับนึงเลยทีเดียวครับแต่ถ้ามองเทียบกับแสงความคมเทียบกับบรรดารุ่นใหม่ๆจริงๆนั้นไฟหน้าตัวนี้แอบยังไม่คมหรือว่าทะลุได้โหดเท่าไรนักครับ

ทางด้านไฟที่เสริมเข้ามาในด้านข้างตัวรถเวลาปลดล็อกนั้นเรียกได้ว่าไม่มีใครเหมือนเลยจริงๆ ไฟส่องสว่างข้างตัวรถ Pony Puddle Lamps ทั้ง 2 ข้างในส่วนใต้กระจกมองข้างของตัวรถ แม้ว่าจะไม่ได้เน้นในเรื่องของความสว่างมากนักแต่เมื่อปลดล็อกแล้วเด่นสะดุดตาแน่นอนครับ แต่น่าเสียดายน่าจะใส่ไฟตรงมือจับหรือส่องพื้นเพิ่มเข้ามาให้อีกครับ

INTERIOR

ภายในนั้นต้องบอกว่าเป็นการออกแบบที่สวยกว่ารุ่นก่อนๆชัดเจนมาก มันเป็นรุ่นที่อิงเอกลักษณ์จาก Mustang 1st gen ได้แบบลงตัว และพัฒนาต่อจากรุ่น เจน 5 ได้แบบคลาสสิกมากขึ้นเสริมด้วยหน้าจอและแอร์ช่องกลางแบบคลาสสิกผสมกับหน้าปัดแบบ Full Digital แต่เส้นสายกราฟิกนั้นยังคงมีความดิบๆเช่นเดิมเป็นงานออกแบบภายในที่ส่วนตัวค่อนข้างชอบทั้งหน้าตาและการใช้งาน และการที่ไปอิงความคลาสสิกรุ่นแรกได้ดีมากๆ แต่แอบบ่นในเรื่องของ วัสดุงานประกอบที่มันเป็นความเมกันมากไปหน่อยจะดิบๆไม่ได้เน้นฟิลลิ่งของการสัมผัส หรือพื้นผิวอะไรเท่าที่ควรครับ ซึ่งจุดนี้ต้องยอมรับเลยว่าบรรดาค่ายยุโรปนั้นจะทำวัสดุ ฟิลลิ่งลวดลายได้ดีกว่าค่ายมะกันแบบชัดเจนมาก

ภายในไม่ต้องเน้นตกแต่งอะไรให้เยอะแต่คงความเป็นมะกันสไตล์ได้อย่างแท้จริงช่องแอร์กลาง เล่นกับวัสดุสีเงินด้านสะท้อนแสงมีมิติสวยงามพร้อมกับอุโมงค์กลางแบบดิบๆวัสดุจริงๆน่าจะใช้งานวัสดุนิ่มหรือ Soft touch มากกว่านี้เพราะตรงอุโมงค์กลางหรือส่วนอื่นๆเป็นวัสดุแข็งทั้งหมดเลยจุดนี้แอบเสียดายในความพรีเมี่ยมของจุดสัมผัสหลายๆที่แต่การออกแบบสีดำตัดกับสีเงินก็เสริมให้ตัวรถดูดีขึ้นเช่นกัน การจัดวางตำแหน่งหน้าจอตรงกลางแอบต่ำไปนิดหน่อยในการใช้งานแต่ด้วยตำแหน่งเบาะนั่งนั้นก็ถือว่ากำลังมองเห็นได้อยู่ครับรองรับสัมผัสและ Android auto – Apple Carplay ในขนาด 8 นิ้ว รองรับระบบเสียงค่ายแบรนด์พรีเมี่ยมอย่าง Bang & Olufsen ลำโพง 12 ตำแหน่ง พร้อม Subwoofer / Amplifier เสียงดีงามมาก รวมถึงให้ระบบปรับอากาศ แยกอิสระซ้าย-ขวา Dual Zone

ในรุ่นครบรอบ 55 ปีนั้นจะมีจุดแตกต่างกันหลักๆกับรุ่นปกติครับในเรื่องของ ล้ออัลลอย ขนาด 19 นิ้ว ดีไซน์ใหม่ที่เราเห็นเป็นสีดำลวดลายใหม่พร้อมกับ แดชบอร์ดหน้า พร้อมสัญลักษณ์ ” Fifty Five Years “ เขียนชัดจนในที่นั่งข้างคนขับครับ และเบาะคู่หน้าอันนี้สำคัญเลยเพราะว่ารูปทรงแบบใหม่ในแบรนด์ดัง  RECARO และนั่งสบายมากๆ ส่วนเรื่องของเครื่องเสียงนั้นถือว่าให้มาดีอยู่แล้วในแบรนด์ดัง B&O พร้อมกับ ซัพและแอมป์แยกบอกเลยว่าคุณภาพ

พวงมาลัยมาพร้อมกับปุ่มเยอะมากๆคันนึงเลยจริงๆทำให้รองรับการควบคุมค่อนข้างครบแล้ว แน่นอนว่ารุ่นนี้รองรับ Adaptive Cruise Control สบายๆครับถือว่าออฟชั่นดีอยู่ในด้านขวาจะเป็นการควบคุมหน้าจอหลักและเข้าโหมดต่างๆ ส่วนในด้านซ้ายนั้นจะเป็นควบคุมเครื่องเสียง และ ระบบควบคุมความเร็ว การปรับระยะห่างจากรถข้างหน้า รูปทรงพวงมาลัยแน่นอนว่าเน้นความคลาสสิก ไม่ได้มีการตัดขอบอะไรตัวรถก็ขึ้นลงได้ง่ายอยู่แล้ว ทรงสวยใหญ่กำลังดีขับถนัดมือครับจุดนี้ไม่มีปัญหาเลยแต่อยากได้วัสดุหนังกลับหรืออะไรที่ดูดุดันมากกว่านี้น่าจะลงตัวเลยแหละ ส่วนหน้าปัดขอชื่นชมว่า FORD เป็นค่ายที่ทำหน้าปัดได้คุ้มที่สุดแล้วในบรรดารถที่เคยเห็นมา มันไม่ใช่แค่การเปลี่ยนสี หรือ รูปทรงแต่มันเปลี่ยนไปได้ทั้งหมด ทั้งหลากหลายโหมดแบบคุ้มค่ามากๆ มีโหมดนับถอยหลังสนามแข่งหรือว่าจะเป็นดูวัดรอบเด่นๆ ดูความร้อน ของลูกสูบต่างๆหรือจะเป็นน้ำมันเรียกได้ว่าละเอียดไม่ต้องแต่งจอเพิ่มอะไรเลยแม้แต่น้อย และรองรับการปรับแต่งสีได้เยอะมากๆ แยกเป็น 2 โซนหลักๆในหน้าปัดครับ แต่เส้นสายตัวเลขจะออกดิบๆนะ

ส่วนตัวชอบงานออกแบบทั้งหมด ทั้งตัวเกียร์หรือว่าการเสริมสีเงินรอบๆคันแต่จุดที่ไม่ค่อยเน้นของบรรดาค่ายรถมะกันจะเป็นเรื่องของความประณีต หรือ วัสดุของที่ใช้งานนั้นไม่ค่อนพรีเมี่ยมหรือสัมผัสดีเท่าไรนัก เป็นพลาสติกแข็งๆเยอะมากและลวดลายหรือพื้นผิวมันดูราคาถูกไปพอสมควร รวมถึงสวิตช์ต่างๆของไฟเพดานพวกนี้ไม่ค่อยสมราคานัก แน่นอนว่าการใช้งานมันไม่มีปัญหา แต่ความรู้สึกกับรถราคาหรือระดับนี้น่าจะเน้นในเรื่องนี้มากกว่านี้ครับ เช่นตัวอุโมงค์กลางที่เห็นที่มาพร้อมกับที่วางแก้วนั้นเป็นวัสดุพลาสติกขึ้นลายทั้งหมดไม่ได้มีความนุ่มอะไรเลยแม้แต่น้อยครับ

ทางด้านเบาะด้านหน้ามาพร้อมกับเบาะ RECARO รูปทรงสวยงามมีความหนานุ่มนั่งสบายและทรงดี บอกเลยว่าทรงเบาะนั้งสบายมากๆคันนึงในบรรดาคู่แข่ง มีความกระชับแต่ก็รองรับการขับขี่ทั่วไปได้สบายครับ เบาะคู่หน้ามาพร้อมกับ ปรับด้วยไฟฟ้า 6 ทิศทาง ครับและดันหลังอะไรได้ด้วยนะ แต่พนักผิงยังคงปรับมือเพราะต้องหลบให้คนขึ้นนั่งด้านหลังนั้นเอง ถือว่าขึ้นลงอะไรนั่งสบายมากๆคันนึงและพื้นที่วางขาเหลือเยอะมาก แต่ Headroom นั้นน้อยพอสมควรและที่คาดเข็มขัดนั้นแน่นอนว่าไม่มีตัวยื่นออกมาให้อาจจะลำบากนิดหน่อยแม้จะมีล็อกสำหรับใส่สายแต่ก็ไม่อยู่เท่าไร

เบาะด้านหลังนั้นถือว่าเล็กมากๆไม่สามารถนั่งได้สำหรับแอดมินหรือแม้แต่วัยรุ่นเนื่องจากพื้นที่เหนือศรีษะนั้นเอียงและเตี้ยมากๆส่วนตัวแอดมินนั่งเองนั้นต้องเอียงหัวนั่งจริงๆครับและพื้นที่วางขานั้นน้อยมากเช่นกันแนะนำว่าเป็นที่วางกระเป๋านั้นจะดีที่สุดและเป็นเรื่องปกติเลยในเรื่องของบรรดารถยนต์ Coupe พวกนี้ครับและหลังคาแบบ Fastback แต่ถ้าจำเป็นจริงๆตัวเล็กแอดให้เพื่อนนั่งกลับมาจากเขาใหญ่ได้แบบสบายๆนะ ไม่ได้บ่นอึดอัดอะไรครับในด้านหลัง

ห้องสัมภาระนั้นถือว่าเยอะและลึกมากๆ ความจุมากถึง 408 ลิตร รองรับการใส่กระเป๋าเดินทางหรือใส่ของได้ดีอยู่ครับจุดนี้ และจะเห็นว่ามีการพับเบาะได้รวมถึงในด้านข้างเราจะเห็นตู้ซับใส่เข้ามาให้แน่นๆเลยเรื่องเสียงเลยโดดเด่นเป็นพิเศษ และในด้านล่างไม่มีล้ออะไหล่มาให้แล้วนะ อาจจะเน้นเรื่องพละกำลังน้ำหนักมากกว่าตัว 2.3 นั้นเองครับตัวนี้

แม้ว่าจะเป็นรถแบบดิบๆแต่ก็ยังไม่ทิ้งเรื่องของความสวยงาม ภายในยามค่ำคืนนั้นใส่ไฟสีๆเข้ามาให้และปรับได้เยอะมากๆ เช่นเดียวกับสีหน้าปัดต่างๆเลยครับ และ แสงสีนั้นมีให้หลากหลายที่ด้วยนะไม่ว่าจะเป็น ที่วางแก้วน้ำ ขอบประตู ไฟตรงมือเปิดด้านใน ไฟส่องเท้าต่างๆ แต่จะไม่ได้มีบนคอนโซลอะไรมากนักครับ แต่ยังดีที่ปรับแต่งได้เยอะเช่นกัน ส่วนไฟห้องโดยสารนั้นเป็นสีส้มหลอดไส้ธรรมดาและ ปุ่มอะไรดูธรรมดาไม่สมกับราคา 5 ล้านเท่าไร แต่เน้นใช้งานง่ายๆ ครับ ทำให้กลางคืนแสงสีสวย แต่ไม่ได้เยอะมากนัก จริงๆแค่นี้ก็เพียงพอแล้วนะดีกว่าไม่ใส่อะไรเข้ามาให้เลย

ENGINE

เครื่องยนต์ตัวนี้บอกเลยว่าสมกับเป็น MUSCLE CAR จริงๆ จะเป็นไม่กี่รุ่นในตลาด และ ในโลกที่ใช้งาน NA ตรงๆไม่มีเทอร์โบอะไรเสริม ทำให้ตัวนี้ใช้เครื่องยนต์เบนซิน V8 สูบ DOHC Direct Injection Ti-VCT ขนาด 5.0 ลิตร 5,038 ซีซี.กำลังสูงสุด 449 แรงม้า ที่ 7,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 529 นิวตันเมตร ที่ 4,600 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 10 จังหวะ ขับเคลื่อนล้อหลัง พร้อม Limited Slip Differential จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 10 จังหวะ ขับเคลื่อนล้อหลัง พร้อม Limited Slip Differential ส่งกำลังขับเคลื่อนล้อหลัง ในส่วนของอัตราเร่ง 0-100 ประมาณ 5 วิครับตัวรถจะเน้นไปในทางที่การส่งกำลังไปล้อหลังแบบดิบๆแรงบิดมาเยอะๆทำให้เกิดอาการท้ายปัดหรือออกตัวล้อฟรีได้ง่าย ก็เป็นส่วนที่ยังคงให้การขับขี่นั้นมีความสนุกและแรงมากๆกว่าตัว 2.3 รู้สึกเลยว่าต้องระวังในการขับขี่มากๆ และเสียงเครื่องดังสนั่นลั่นบ้านไม่ต้องไปทำอะไรเพิ่มก็ลั่นแล้วครับ สามารถเลือกโหมดการขับขี่แบบสนามได้ทั้ง Track – Drag ต่างๆ และการเปลี่ยนเกียร์เมื่อเปิดโหมดพวกนี้คือกระชากดึงสนุกมากจริงๆ เปลี่ยนเกียร์ทีแรงบิดส่งไปที่ล้อ ช่วง เกียร์ 1-4 บอกเลยว่าเปลี่ยนเกียร์ที มีเสียงล้อฟรีได้เลยครับบอกเลยสุดมากๆ และต้องระวังมากๆ อีกทั้งยังมีโหมดทำล้อฟรี Burnout ให้มากับตัวรถ และ สามารถ Drift ได้ง่ายมากเช่นกันถือว่าจัดเต็มจริงๆ

การขับขี่ในรุ่นนี้แน่นอนว่าแม้จะเป็นตัวแรงแต่เรื่องระบบช่วงล่างด้านหน้า อิสระ McPherson Strut พร้อมเหล็กกันโคลง และใน ช่วงล่างด้านหลัง อิสระ Integral-link พร้อมคอยล์สปริง และ เหล็กกันโคลง พร้อมกับ เฟืองท้ายแบบ Limited Slip นั้นเหมือนกัน แต่จะเปลี่ยนแปลงในเรื่องของ ระบบเบรก คู่หน้า Brembo 6 pots เส้นผ่านศูนย์กลาง 36 มิลลิเมตร จานเบรก คู่หน้า ขนาด 380 x 34 มิลลิเมตร ล้ออัลลอย ขนาด 19 นิ้ว คู่หน้า 19″ x 9 J – คู่หลัง 19″ x 9.5 J ยาง Michelin Pilot Sport 4S คู่หน้า 255/40 ZR19 – คู่หลัง 275/40 ZR19 แต่เบรคด้านหลังนั้นจะคล้ายกับตัว 2.3 ครับไม่ได้หนีกันซักเท่าไรนัก จะเห็นว่าห้องเครื่องนั้นแน่นมากๆ เต็มพื้นที่แต่การเก็บงานพวกนี้อาจจะไม่ได้เนียนเหมือนรถญี่ปุ่นหรูๆ หรือ รถยุโรปเท่าไรนักโชว์เหล็ก สายไฟโล่งๆ และ ฝากระโปรงหน้าไม่มี โช๊คอะไรมาให้เลยเป็นก้านดึงเกี่ยว แอบน่าเสียดายกับรถยนต์ในราคาแตะ 5 ล้านแบบนี้ครับระบบมือล้วนๆ

DRIVING

การขับขี่ตอนแรกที่ได้ไปลอง 2.3L นั้นมันรู้สึกว่ายังมีความขาดหายไปอะไรหลายๆอย่างในตัวรถ ดูไม่ค่อยสมกับเป็นรถ อเมริกัน เท่าไรและยิ่งในชื่อ Mustang ด้วยแล้ว แต่พอได้มาลอง 5.0 นั้นต้องบอกเลยว่ามันคือรถที่เป็น American Muscle แบบ 100% ทุกอย่าง ทุกการขับขี่คนที่ชอบการขับขี่นั้นน่าจะหลงรักคันนี้แน่นอน ตั้งแต่สตาร์ทเครื่องที่มาพร้อมเสียงการทำงาน 8 สูบ และเครื่อง 5.0แบบนี้ และเสียงท่อที่ปรับแต่งได้จากโรงงานทำให้เสียงนั้น ลั่นสะใจ ตื่นกันทั้งซอย และ เสียงการเร่งอะไรนั้นทุกอย่างตอบสนองได้ดีไปทั้งหมด รวมถึงการเปลี่ยนเกียร์ที่เนียนมากขึ้น ไหลลื่นมากกว่าเดิม แม้จะไม่มีเสียง After Firing อะไรให้มาให้ตอนเปลี่ยนเกียร์แอบน่าเสียดายแต่รุ่นนี้ก็ยังคงดุดัน ในเรื่องของการขับขี่ อัตราเร่ง การควบคุมที่ดิบๆเวลาเข้าโค้ง หรือ เร่งแซงอาจจะต้องระวังนิดหน่อยตัวรถนั้นมีความใหญ่โตพอสมควร และ การขับขี่จริงๆสายมุดอะไรอาจจะไม่ได้เหมาะเท่าไรนักตัวรถจะแอบใหญ่ๆ ทำให้มันไม่ได้คล่องตัวเท่าที่ควร และ การขับขี่สนุกหรือว่าการเข้าโค้ง เปลี่ยนเลนต่างๆนั้นเรียกได้ว่าลืมภาพจำ รถมะกันเก่งทางตรงไปได้เลยตัวนี้ขับสนุกขึ้นเยอะมากๆ และ ได้เครื่องแรงๆใหญ่ๆแบบนี้บอกเลยว่าเป็นรถที่ขับสนุกคันนึง

ช่วงล่างตัว 5.0 ตัวนี้จะมีความแข็งกระด้างเล็กน้อยแน่นอนว่าไม่สามารถปรับอะไรได้ แต่ถ้ามองเทียบกับบรรดา A5 – S4 พวกนั้น ตัว MUSTANG ก็ยังคงมีความดิบ ความแข็งมากที่สุดอยู่ดีนั้นเองเป็นจุดที่นั่งแล้วรู้เลยว่ามันมีความกระเด้ง กระดอนมากกว่าชัดเจน ขับในถนนเมืองไทยยิ่งชัดเจน แต่แอบรู้สึกว่า C43 ตัวใหม่จะแข็งกว่าเล็กน้อยครับ เรียกได้ว่า Mustang เองนั้นมีความแข็งมากๆคันนึงแต่ก็ยังอยู่ในระดับที่มีความพรีเมี่ยมมากอยู่ไม่ได้ดิบไปซะทีเดียวทำให้ขับทั่วไปได้ระดับนึง และการเกาะถนน การดูดติดถนน แน่นอนว่าขับหลังกับรถแนวนี้การเซตออกมาดีขึ้นจากเดิม เข้าโค้งมั่นใจ ควบคุมได้ดีมากขึ้น และยังมีอาการท้ายปัดๆให้เห็นบ่อยครับถ้าเล่นกับมัน และแอบยวบๆนิดนึงในช่วงเข้าความเร็วสูง หรือวิ่งทางตรงเกิน 160 พวกนี้จะเริ่มรู้สึกได้ว่ามันไม่นิ่งเท่าไร และต้องมีสมาธิมากๆ ในการเติมคันเร่งแรงๆครับเพราะตัว 5.0 นั้นมันแรงบิดเอาเรื่องและท้ายออกได้ง่าย แต่ถ้ามองในแง่รถ มะกัน มันจัดการช่วงล่าง กระจายน้ำหนัก การขับขี่ได้พัฒนาสู้ยุโรปได้ดีกว่าเดิมหลายเท่าแล้วครับ และที่ชอบมากๆคือพวงมาลัยเซตมาคม และหน่วงกำลังดี ตอบสนองได้ดีทั้งการขับเข้าโค้งหรือเปลี่ยนเลนต่างๆจัดเต็มได้ ตอบสนองคนรักความดิบและขับขี่มากๆ

ซึ่งถ้าให้มองเทียบกับตัวอื่นๆต้องอย่าลืมว่า MUSTANG ทั้งใหญ่ ทั้งหนัก ทั้งนี้การเข้าโค้ง การมุด หรือ ขับต่างๆนั้นมันจะมีความใหญ่ของมันเป็นจุดที่ทำให้แตกต่างกับตัวอื่นๆในคู่แข่งด้วยกัน ส่งผลทั้งการควบคุมต่างๆเป็นต้นครับ รวมถึงอัตราเร่งด้วยเช่นกันตัวนี้เร่ง 0-100 แตะ 5 วิได้เลยทำให้มันสนุกกว่าตัว 2.3 แต่หลายๆคนอาจจะมองว่าทำไมเครื่อง 5.0 แต่เลขดูไม่ได้ไวมากนักนั้นเอง แต่เครื่อง NA ทำให้มันกดแล้วมาได้ง่ายและปลายไหลสบายๆ รวมถึง การเปิดโหมด TRACK ทำให้การเปลี่ยนเกียร์ลากไปรอบสุดมากกว่าเดิม เปลี่ยนเกียร์แล้วล้อฟรีแต่ละช่วงเกียร์ได้แบบโหดๆ และ มีแรงดึงได้ดีมากๆ และ ดุดันกว่า 2.3เยอะ รวมถึงต้องมีสมาธิมากกว่าเดิม แต่ก็น่าเสียดายเรื่องการเก็บเสียงการเก็บอะไรต่างๆ เสียงลม ถนน ยังพอมีเข้ามาบ้างไม่ได้เงียบหรือเนี้ยบแบบค่ายยุโรปซักเท่าไร ส่วนทางด้านการขับขี่ จะมีโหมดทั้งหมด 5 โหมด และ ปรับพวงมาลัยได้ทั้งหมด 3 โหมด Comfort พวงมาลัยเบา ขับทั่วไป และ Normal น้ำหนักในระดับกลาง และ Sport หนืดและมีความหน่วงที่สุดในการใช้งานความเร็วสูงๆแต่ก็ไม่ได้ต่างกันชัดเจนมากนักครับ แต่โหมด Sport พวงมาลัยจะคมที่สุดและควบคุมได้โหดมากๆในความเร็วสูง และแน่นอนว่าตัว 5.0 มันคือเติมเต็มจุดด้อยในตัว 2.3 ทั้งเสียงเครื่อง พละกำลัง อัตราเร่งแซง ทุกอย่างลงตัวหมดทำให้ตัวรถเองนั้น
Mustang จะเด่นเรื่องความรู้สึกในการขับขี่ ที่มีความดิบ ท้ายปัดได้ง่ายๆ ช่วงล่างแข็งๆนิดหน่อยเด้งๆ บ้าพลังในบางจังหวะและบอดี้ใหญ่น่าเกรงขาม และการกินน้ำมันที่โหดเหลือเกิน Muscle Car ของแท้ ม้าป่าที่น่าครอบครองมาก

CONSUMPTION

อัตราการสิ้นเปลืองสำหรับตัว V8 5.0 NA Performance Pack  นั้นก็เป็นจุดหลักๆที่แตกต่างกับตัว 2.3 แน่นอนว่าเรื่องของการกินน้ำมัน เรียกได้ว่าเททิ้งก็ไม่เวอร์เกินไปครับ เพราะว่าทดสอบจริงๆ ไปกลับพัทยา หมดไป 2000 บาททันที เติม แก๊สโซฮอล 95 นะครับผม สมกับเครื่องใหญ่แบบนี้จริงๆ ทางเราเลยขอทดสอบประมาณ 3 แบบการขับขี่ซึ่งเป็นการขับจริงๆ ไปเที่ยวและขับแบบดุดันทดสอบแบบโหดๆครับ ซึ่งเท่าที่ลองนั้นขับขี่แบบทั่วไปในโหมดปกติ สามารถทำความเร็วได้ 100 ไม่เกินนี้พร้อมกับไม่ได้เร่งแซงอะไรมากนักทำไปได้ 7 กิโลเมตรต่อลิตร แต่ถ้าขับแบบโหดๆเลยเร่งแซงบ่อย เหยียบหนักๆออกตัวล้อฟรี ท้ายปัดบ่อยๆนั้นในการขับขี่ทางไกล ความเร็ว 140+ ทำให้การกินน้ำมันพุ่งไป 5.5 กิโลเมตร ต่อ ลิตรเลยทีเดียว แต่ถ้าขับแบบ พ่อแม่ขับ ทั่วไปสบายๆรถติดในเมืองต่างๆนั้น บอกเลยว่ามี 6-7 กิโลเมตรต่อลิตรได้ทันทีครับ แต่ถ้าแอดมินขับ เฉลี่ย 5-8 วันจะได้ประมาณ 6.5 กิโลเมตรต่อลิตร บอกเลยว่า ยังไงก็ไม่แตะ 2 หลักครับผม ด้วยพละกำลังของมัน น้ำหนักตัวรถเป็นสิ่งที่ต้องแลก

MUSTANG 5.0 V8 NA 55TH ANNIVERSARY 

” AMERICAN MUSCLE ของจริง แรง เสียงกระหึ่ม ขับหลัง ซดน้ำมันแหลก !  “

ถ้ากำลังมองหารถยนต์ที่ขับสนุก และ ชอบความเป็น อเมริกัน แน่นอนว่า MUSTANG คือรถที่หลายๆคนชอบและฝันว่าอยากจะมีซักคันแน่นอน ทั้งเรื่องของตำนานชื่อเสียง และความสวยงามของมันอีกทั้ง ความดิบ พละกำลังที่ไม่ธรรมดาทำให้เป็นรถยนต์ที่ขับสนุกมากๆคันนึงในตลาด และมีความดิบมากเช่นกันในตัว 5.0 เองนั้นจะได้ประสิทธิภาพการขับขี่ที่ยกระดับไปอีกขั้นจากรุ่น 2.3 ทั้งเสียงเครื่อง อัตราเร่ง การขับขี่ทั้งหมดแตกต่างกันชัดเจน และรวมถึงการกินน้ำมันที่ค่อนข้างโหดมากๆ ต้องรับในจุดนี้ได้ด้วยนะ ส่วนการตกแต่งภายในนั้นเหมือนกันทั้งหมด รวมถึงคุณภาพวัสดุที่อาจจะไม่ได้พรีเมี่ยมเท่าที่ควรนักในตัวนี้  ขนาดตัวรถและน้ำหนักเมื่อขับจริงๆ เหมาะแก่การขับทางไกลยาวๆ และเร่งแซงพอสนุกซะมากกว่าครับ เอกลักษณ์การขับหลังยังคงเสริมเข้ามาให้พอสนุกในบางครั้งนั้นเอง ถ้าเหยียบมันก็พร้อมจะโหด และ ควบคุมได้ยากเหมือนกันม้าป่าเลยจริงๆ ถ้ามองในแง่ของ ความเท่โดดเด่นตัวนี้ตอบโจทย์แน่นอน แต่ถ้ามองเรื่องของ วัสดุ งานประกอบ ฟีเจอร์ออฟชั่นอะไรนั้นอาจจะไม่ได้เน้นเท่าไร กล้องรอบคัน หรือ ฟีเจอร์ภายใน ฟิลลิ่งวัสดุพวกนี้ไม่ได้เน้นเลยจริงๆครับ ทำให้มันต้องเป็นคนที่ชอบและรักการขับขี่ รัก MUSTANG ของจริง จึงจะตอบโจทย์ และอยากจะหาสะสมตระกูลนี้รวมถึงเครื่องยนต์ NA V8 5.0 แบบนี้ที่หาได้ยากมากๆแล้ว

สำหรับรีวิวนี้เป็นการทำบทความเกี่ยวกับรถยนต์ หรือ สายยานยนต์ของเรา และถ้าหาก มีข้อผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ มีข้อเสนอแนะ หรือข้อนำแนะอะไร ยังไงสามารถแจ้งเราได้เสมอเพื่อการปรับปรุงที่ดีขึ้นครับ เพื่อนๆสนใจอยากให้พวกผมรีวิวรถรุ่นไหนสามารถ Inbox มาบอกเราได้เลยนะ จะพยายามจัดหามาให้อ่านกันเยอะๆ ขึ้นเรื่อยๆ ครับ … สำหรับ Techhangout Auto !

ฝากไลค์เพจ FACEBOOK เราด้วยนะครับ >>>>>>>>>  TECHHANGOUT

เข้าร่วมกลุ่ม TECHHANGOUT พูดคุยแลกเปลี่ยน ข้อมูล คุยกันเองชิลๆได้เลยที่ — Facebook  Techhangout พูดคุย Smartphone gadget 

By Nineztr