Huawei นั้นได้ทำการเปิดตัวเรือธงประจำปีในตระกูล P ปีนี้และในครั้งนี้มาถึง 3 รุ่นด้วยกันแต่ในช่วงนี้แน่นอนว่าสถานการณ์ช่วงนี้อาจจะต้องลำบากกันนิดหน่อยครับ แต่ทาง Huawei เองก็เดินหน้าเปิดตัวกันเป็นที่เรียบร้อยสำหรับรุ่นนี้ ในครั้งนี้แน่นอนว่าเน้นเรื่องกล้องขึ้นไปอีกทั้งการพัฒนาเซนเซอร์ใหญ่ขึ้น การรองรับการถ่ายที่ดีขึ้นรวมถึง RYYB ที่พัฒนาไปมากกว่าเดิม และการโฟกัสอะไรก็เช่นกันครับ ในส่วนงานถ่ายวีดีโอก็พัฒนามากขึ้น รวมถึงในงานออกแบบหน้าจอขอบโค้งทั้ง 4 ด้านในด้านหน้าที่โค้งด้านบนและล่าง รวมถึงฝาหลังแบบด้านและการเล่นสีที่สวยงามขึ้น และแน่นอนการรองรับการชาร์จไร้สายที่ไวกว่าเดิมมากถึง 27W ในรุ่นนี้ครับและ มี AI เข้ามาช่วยในงานถ่ายภาพต่างๆมากขึ้น รวมถึงการรองรับ 5G WIFI 6+ ในการเชื่อมต่อแบบไร้สายด้วยเช่นกันถือว่าหลายๆอย่างจัดเต็มขึ้นครับ
Huawei P40 Pro นั้นมาพร้อมกับ สเปครองรับ 5G ในไทยได้สบายใช้งาน CPU Kirin 990 5G พร้อมกับ RAM 8 GB STORAGE 256 GB ใช้งาน UFS 3.0 รวมถึงในการเชื่อมต่อรองรับ Wifi6+ ด้วยเช่นกัน ในส่วนของหน้าจอนั้นอัพเกรดมาใช้งานหน้าจอ OLED ขนาด 6.58 นิ้ว (2640×1200พิกเซล) อัตราส่วน 19.8:9, รีเฟรชเรท90Hz เป็นรุ่นแรกที่มีความลื่นไหลสูงสุดของค่ายในตอนนี้ พร้อมกับหน้าจอแบบโค้งลงทั้ง 4 ด้านทำให้การสัมผัสเนียนมากกว่าเดิมแต่พาแนลจอไม่ได้โค้งตามแบบ Mate 30 Pro นะครับรวมถึงปุ่มเพิ่มลดเสียงก็ใช้งานแบบปกติแล้วไม่ได้สัมผัสแบบรุ่นนั้น ส่วนทางด้านแบตให้มาที่ 4,200 mAh ที่รองรับชาร์จเร็วแบบมีสาย 40W และชาร์จเร็วแบบไร้สาย 27W ถือว่าเร็วแรงมากๆ และ ในด้านของกล้องนั้นจะให้มา 4 ตัวกล้องหลัง UltraVision 50MP (f/1.9) ที่มี optical stabilization + เลนส์สำหรับถ่ายวิดิโอและเลนส์กว้าง ultra-wide 40MP + เลนส์เทเล 3x SuperSensing 12MP ในรุ่น P40 Pro Plus หรือ เลนส์เทเล 5x SuperSensing 12MP ในรุ่น P40 Pro + เซนเซอร์ ToF อีกทั้งยังมีเทคโนโลยี Huawei XD Fusion Engine และสามารถซูมแบบดิจิทัลได้ 50x และ กล้องหน้า 32MP (f/2.2) พร้อมระบบสแกนใบหน้าแบบ 3 มิติด้วยไม่ได้ตัดออกไปนะครับ เลยทำให้มีช่วงกล้องสีดำนั้นค่อนข้างยาวและดูใหญ่กว่าตัวอื่นๆ
HUAWEI P40 PRO เปิดราคาในไทยมาที่ 31,990 บาทไทยมาพร้อมกับ RAM 8 STORAGE 256 GB
UNBOX
- ตัวเครื่อง HUAWEI P40 PRO
- หูฟัง USB-C
- ที่ชาร์จรองรับ 40W
- สายชาร์จรองรับ 40W USB-C
- คู่มือที่จิ้มซิม
- เคสใสแข็ง ตัวขายจริงมีนะครับ
ทางด้านหัวชาร์จให้เต็มที่มา 40W แบบ SuperCharge ครับ และ ทางด้านหูฟังแน่นอนว่าเป็นแบบเดียวกับทาง Mate 30 Pro และไม่มีรู 3.5 มม.แล้วนั้นเองครับเลยใช้งานแบบนี้ทั้งหมดแบบในรุ่นก่อนๆรูปทรงแบบเดิมนั้นเอง
DESIGN
งานออกแบบนั้นจะเป็นการเปลี่ยนงานออกแบบอีกครั้งจากรุ่นก่อนหน้าทัั้งรูปทรงดีไซน์และวัสดุ ฝาหลังในครั้งนี้ใช้งานฝาหลังกระจกแบบด้านพร้อมกับเล่นแสงสะท้อนได้ดีงามมากครับ เด่นและสวยแบบเรียบๆโทนสีเงินอมฟ้าจางๆนิดหน่อยเล่นแสงสีได้ดี กล้องหลังวางไว้มุมซ้ายบนทรงที่เหลี่ยมใหญ่เอาเรื่องและนูนพอสมควรครับ ส่วนการวางกล้องแบบนี้มันไม่ค่อยเป็นเอกลักษณ์ตัวเองเท่าไรนักยังคงก็ชอบดีไซน์ Mate ที่ยังเด่นและไม่เหมือนใครได้ดีกว่า ส่วนน้ำหนักมีพอประมาณไม่ได้เบามากแต่ก็ใกล้ๆกับ P30 Pro แต่หนักกว่า Mate 30 Pro ครับ ส่วนงานประกอบวัสดุ ความเนียนสมมาตรถือว่าทำได้ดีจับแล้วเนียนเวลาใช้งานหน้าจอโค้งทั้ง 4 ด้านก็เลื่อนปุ่มโฮมอะไรได้เนียนนิ้วมาก
หน้าจอนั้นเปลี่ยนการออกแบบใหม่หมดขอบโค้ง 4 ด้านพร้อมหน้าจอเจาะรูพร้อมสแกนใบหน้า หน้าจอให้ OLED ขนาด 6.58 นิ้ว (2640×1200พิกเซล) อัตราส่วน 19.8:9, รีเฟรชเรท90Hz 531 nits DCI-P3 and sRGB รองรับ HDR 10+ พร้อมกับสัมผัสที่ค่อนข้างติดนิ้วและลื่นไหลพอสมควรเลย
หน้าจอในด้านหน้านั้นต้องบอกว่าถ้ามองตรงๆแบบในภาพนั้นจอจะค่อนข้างบางมากขอบบางกว่ารุ่นอื่นชัดเจนแต่ถ้ามองแบบ ISOMETRIC หรือเอียงๆจะหนาเพราะว่าขอบดำหน้าจอมันโค้งลงข้างเครื่องเลยหลอกตาว่ามันดูหนานั้นเองครับ แต่จริงๆถ้ามองตรงๆจะไม่หนามากนักบางกว่าตัวอื่นพอสมควรเลย แต่เพียงเพราะรุ่นอื่นมันขอบเครื่องกินมาข้างบนเลยทำให้มุมเอียงๆมันดูไม่หนานั้นเองครับ
ขอบด้านล่างนั้นอย่างที่แจ้งถ้าดูแบบมุมนี้จะหนาพอสมควรแต่ถ้าหน้าตรงจะได้ประมาณภาพแรกนั้นเองครับ ขอบโค้งลงมาข้างล่างทำให้การใช้งานมันลื่นไหลและเลื่อนใช้งานเต็มหน้าจอได้สะดวกมากขึ้นแต่เรื่องฟิล์มบอกเลยว่ายาก
ส่วนขอบบนนั้นจะบางกว่าข้างล่างชัดเจนและมองตรงๆก็บางกว่าครับแน่นอนว่าลำโพงแทรกตรงสีดำเช่นเดิมพร้อมกับกล้องหน้าคู่ที่รองรับการถ่าย 32MP F2.0 และมี IR สแกนใบหน้า 3 มิติด้วยเช่นกันครับในรุ่นนี้เหมือนรุ่น Mate
ขอบด้านล่างยิ่งชัดเจนครับ จะเห็นว่าขอบหน้าจอมันกินลงมาจริงๆแต่ดีที่ขอบมุมเครื่องยังมีเฟรมหุ้มไว้อยู่ครับ ด้านล่างนั้นจะเป็น ถาดซิม Nanosim รองรับ 5G ทั้งคู่ และ รูไมค์ รวมถึง USB-C และ ลำโพงหลักของตัวเครื่องครับ
ในด้านซ้ายนั้นจะเห็นว่าไม่มีปุ่มอะไรทั้งนั้นและขอบหน้าจอจะโค้งลงมาเยอะพอสมควร แต่จะไม่ได้โค้งชันเท่าตัว Mate 30 Pro นะครับตัวนั้นจะโค้งเยอะกว่ามาก ส่วนขอบเครื่องปัดเงาสวยงามและฝาหลังก็โค้งมารับเช่นกันครับ
ด้านบนนั้นจะเห็นว่ามี IR ในการควบคุมเครื่องเสียง แอร์พวกนี้เป็นรีโมทในตัวให้อยู่ไม่ตัดไปไหน และมีรูไมค์ตัดเสียงมาให้ด้วย และจะเห็นเช่นกันว่าหน้าจอขอบโค้งลงมาในส่วนนี้ด้วยครับเรียกได้ว่าโค้งทุก 4 ด้านของจริงเลยแหละ แต่จะโค้งลงมาไม่เท่ากับขอบด้านล่างนะครับเลยทำให้ขอบด้านล่างนั้นดูหนากว่าด้านอื่นๆเพราะมันโค้งลงมาเยอะสุดเลย
ขอบเครื่องด้านขวานั้นจะเป็นปุ่ม Power และปุ่มเพิ่ม ลดเสียงของตัวเครื่องครับ จะไม่ได้ใช้แบบสัมผัสแบบรุ่น Mate 30 Pro แล้วนะ เปลี่ยนมาใช้งานแบบธรรมดาแทนแล้ว อาจจะด้วยซีรีย์ที่แตกต่างกันเลยมีความแตกต่างกันอยู่ครับ
ฝาหลังอันนี้ดูดีและชอบมากคือมันไม่ใช่แค่กระจกด้านธรรมดาแต่มันมีการเล่นเลเยอร์แสงเข้ามาเยอะทำให้แสงกระทบได้สวยและสะท้อนได้สวยครับ คือมีความสะท้อนแบบพวกโครเมี่ยมแต่เป็นแบบด้านถือว่าออกแบบไล่สีและแสงดีมากส่วนการสแกนนิ้วแน่นอนว่าไปบนหน้าจอแล้วครับและ กล้องนูนพอสมควรเลยนะและทุกอย่างอยู่ในกรอบทั้งหมด
การออกแบบตรงนี้ก็แน่นอนว่ารวมไว้ให้ทั้งหมดทั้ง เซนเซอร์ ไมค์ แฟลชทั้งหลาย และ กล้อง 4 ตัวที่มี กล้องหลัง UltraVision 50MP (f/1.9) ที่มี optical stabilization + เลนส์สำหรับถ่ายวิดีโอและเลนส์กว้าง ultra-wide 40MP + เลนส์เทเล 3x SuperSensing 12MP ในรุ่น P40 Pro Plus หรือ เลนส์เทเล 5x SuperSensing 12MP ในรุ่น P40 Pro + เซนเซอร์ ToF อีกทั้งยังมีเทคโนโลยี Huawei XD Fusion Engine และสามารถซูมแบบดิจิทัลได้ 50x แต่ความนูนนั้นก็เอาเรื่องเหมือนกันครับเพราะตัว Periscope นั้นมันมีระยะของมันพอสมควรเลย
SPEC
- หน้าจอ OLED ขนาด 6.58 นิ้ว (2640×1200พิกเซล) อัตราส่วน 19.8:9, รีเฟรชเรท90Hz
- ชิปเซต Kirin 990 5G
- RAM 8GB + ความจำ 128/256GB
- Android 10 ที่ครอบด้วย EMUI 10.1
- ซิมคู่ 5G Dual
- กล้องหลัง UltraVision 50MP (f/1.9) ที่มี optical stabilization + เลนส์สำหรับถ่ายวิดีโอและเลนส์กว้าง ultra-wide 40MP + เลนส์เทเล 3x SuperSensing 12MP ในรุ่น P40 Pro Plus หรือ เลนส์เทเล 5x SuperSensing 12MP ในรุ่น P40 Pro + เซนเซอร์ ToF อีกทั้งยังมีเทคโนโลยี Huawei XD Fusion Engine และสามารถซูมแบบดิจิทัลได้ 50x
- กล้องหน้า 32 Mp (f/2.2) ที่มีเซนเซอร์อินฟราเรดตรวจจับความลึก
- ขนาดตัวเครื่อง: 158.2 x 72.6 x 8.95mm, น้ำหนัก203กรัม
- WiFi 6, NFC,GPS, AGPS. Glonass, Galileo, QZSS, Bluetooth 5.1 – 3G / 4G / 5G
- แบตเตอรี่ความจุ 4200mAh ที่รองรับชาร์จเร็วแบบมีสาย 40W และชาร์จเร็วแบบไร้สาย 27W
- มีให้เลือกในสีเงิน, ทอง, ขาว และดำ
PERFORMANCE
ทางด้านประสิทธิภาพนั้นรุ่นนี้ต้องบอกว่าแรงอีกรุ่นที่ใช้งาน CPU Kirin 990 5G Octa Core GPU Mali-G76 MP16 แน่นอนว่าเรื่องความแรงนั้นทำได้ดีอยู่แล้วทำคะแนน Geekbench ไปที่ 749 2915 และ ในด้านหน่วยความจำเป็น UFS 3.0 ทำการอ่านเขียนไปที่ 1792 / 396 ครับ เขียนจะน้อยหน่อย ส่วน Antutu ทำได้ 465644 และในด้านของความปลอดภัยอะไร Divevine ไม่มีการโชว์เลย และ ลงแอพ Netflix อะไรก็เปิดไม่ได้นะครับ
SYSTEM UI
ทางด้านหน้าตา ยังดีว่ายังใช้งาน Android 10 ครับเลยยังพอใช้งานได้ไม่เลวร้ายไปซะทีเดียว แต่ที่ชอบคือ UI หน้าตา EMUI 10.1 ไม่รกแล้วแต่ตัวแอพไอคอนก็ไม่เรียบซะทีเดียว ไม่มีเลขมุมแอพ ไม่มี Appdrawer และ การแจ้งเตือนไม่เด้งเลยครับถ้าใช้งานพวก Facebook หรือ แอพอื่นๆที่ลงเพิ่มคือไม่เห็นแจ้งเตือนเลยไม่เด้งเลย
หน้าตา Quick setting ลากลงมา อะไรปกติครับมีการเปลี่ยนหน้าตาไอคอนที่เรียบและสวยงามขึ้น รองรับการปรับแต่งมากมาย และสามารถใช้งาน 2 หน้าจอได้ครับสามารถเลือกแอพอะไรได้ปกติเลย แบ่งหน้าจอได้เอาข้อนิ้วลากแบ่งหน้าจอ หรือ เวลากดเคลียร์แอพและกดแบ่งหน้าจอได้ครับ
คีย์บอร์ดนั้นยังคงใช้ของ SwiftKey ครับรองรับภาษาไทยปกติ เมนูไทยมีในเครื่องปกติครับ หน่วยความจำ 256GB นั้นเหลือใช้งาน 220GB และ RAM 8GB นั้นเหลือใช้งานประมาณ 3.5GB ครึ่งๆของที่ให้มาครับ
การสแกนนิ้วบนหน้าจอ สแกนใบหน้านั้นให้มาครบสามารถทำงานได้ดีทั้งคู่ แอปสามารถโคลนอะไรได้ปกติ และ Gesture รองรับเหมือนเดิมทั้งตอนปิด หรือ เปิดหน้าจอ การใช้ข้อนิ้วเคาะก็ยังมีมาให้ครบๆครับเหมือนรุ่นก่อนหน้า
Gesture ในอากาศตัวนี้รองรับการทำงานสั่งงานด้วยมือ ทำได้ 3 อย่างหลักๆคือ แคปหน้าจอ / เลื่อนขึ้น / เลื่อนลง โดยจะใช้งานได้ตอนแสงสว่างเพียงพอ แต่ถ้ามืดๆกลางคืนนั้นหมดสิทธ์ และรองรับปากกาด้วยนะของ M-Pen ครับใช้ได้ทั้งหมดเลยเอาของ Mateก่อนหน้ามาใช้ก็ได้เช่นกัน รวมถึงตัวควบคุมก็ปรับเปลี่ยนได้3แบบครับ
THEME
ธีมตัวนี้รองรับการเปลี่ยนปรับแต่งหลากหลายมีทั้งเสียตังค์และไม่เสียเงินปรับได้หลักๆคือ ฟอนต์ หน้าตาแอป พื้นหลัง และ Always On Display ครับซึ่งถือว่าในรุ่นก่อนๆนั้นปรับอะไรได้ไม่เยอะในหน้าจอนี้แต่ครั้งนี้ก็ปรับได้หลากหลาย
HMS
แน่นอนว่าทาง Huawei ยังคงไม่มี Google Service นะครับในตอนนี้เลยทำให้ในการใช้งานแอปอะไรพวกนี้ในบางส่วนจากทาง Google จะยังไม่รองรับเต็มที่เช่น Line หรือ พวกแอปจากทาง Google เองหรือเช่น NETFLIX ครับและในการโหลดแอปนั้นต้องผ่านทาง Huawei App Gallary นั้นเองจริงๆนั้น ก็มีแอปเยอะขึ้นครับทั้งพวก ธนาคารก็เริ่มมีมาครบแล้วครับ และพวกแอปอื่นๆก็เริ่มมาเยอะขึ้นแต่แน่นอนว่าในความหลากหลายก็อาจจะสู้ Google Play Store ยากเหมือนกัน ส่วนในการลง GMS จริงๆมันอาจจะทำได้แต่ไม่แนะนำครับทั้งเรื่องความปลอดภัย
- APK นั้นมีความเสี่ยงคือเราไม่รู้ว่ามันแฝงอะไรมาบ้าง !
- APK พัฒนาเพื่อรองรับ GMS ทำให้แอปโหลดได้ลงได้แต่เข้าไม่ได้ ไม่รองรับมีเยอะมาก
- ใครซื้อแอพหรือซื้ออะไรในแอพไว้ มาเครื่องนี้คือหายหมดนะครับเพราะมันไม่มี Google บัญชีของเรา!
- แอพที่โหลดมาแต่ใช้ข้อมูลของ Google เช่นแอพนำทาง หรือพวกสั่งของ Grab พวกนี้จะใช้งานแผนที่ไม่ได้
- All Member หรือ Netflix และแอปอีกหลายๆตัวก็ยังไม่สามารถใช้งานได้ รวมถึง Line ก็ไม่ได้เช่นกัน
- แต่พวกแอป Facebook / IG / Spotify / Joox / WhatsApp พวกนี้สามารถใช้งานได้ปกติครับ
- Youtube สามารถใช้งานได้ผ่านพวก Tubemate ครับ
- แอพแต่งรูปเช่น Lightroom สามารถใช้งานได้แค่ไม่มี Google Login
แต่ยังพอมีหวังนิดหน่อยคือ GOOGLE CHROME / GOOGLE MAPS ใช้งานได้แต่ไม่ครบทุกฟีเจอร์
ซึ่งอันนี้เราลองแบบไม่ปรับแต่ง ลงอะไรเองนะครับ คือซื้อมาใช้งานกันเลยแบบไม่ต้องไปลง GMS อะไรให้ยุ่งยาก แต่ถ้าใครลงเองพอทำได้ก็จะแก้ปัญหาทั้งหมดได้
APP GALLARY ติดเครื่อง แทน PLAYSTORE
ในส่วนของ APP Gallary นั้นต้องบอกว่ามันมาแทน Playstore แต่ต้องขอพูดกันตรงๆเลยว่ายังค่อนข้างห่างไกลมากๆ แอปยังน้อย และ แอปที่ใช้งานทุกวันนี้อาจจะยังหาไม่ได้เลยครับ ทั้งพวก Social / ฟังเพลง / Netflix อะไรพวกนั้นไม่มีเลยถ้ามองว่าแอปที่นิยมในไทยนั้นยังน้อยมากๆแต่มากกว่าเดิมตอน Mate30 Pro เยอะเลยครับ เช่นพวกแอป ธนาคารนั้นเหมือนจะมีครบทุกธนาคารแล้วครับ และมีแอปเข้ามาเยอะขึ้นแต่พวก LINE GRAB หรือแอปสั่งอาหารทั้งหมดจะไม่รองรับและยังไม่ขึ้นนะครับ แต่อนาคตนั้นยังคงมีมาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆและทาง Huawei เองก็ทราบจุดนี้ครับ เห็นบอกว่าจะมี LINE ตัวเต็มมาแล้วแต่ก็รอดูกันไปเพราะตอนนี้ใช้ได้แค่ LINE LITE เท่านั้นเองครับ
SCREEN
P40 Pro เป็นสมาร์ทโฟนเครื่องแรกของ Huawei ที่มีหน้าจออัตราการรีเฟรชที่มากกว่ารุ่นก่อนๆ ด้วยขนาดหน้าจอ 6.58 นิ้ว Flex OLED มีความละเอียดสูง 2640×1200 และ 90Hz อัตราการรีเฟรชที่ค่อนข้างคมชัด กล้อง selfie 32MP พร้อมโฟกัสอัตโนมัติ อัตราส่วนหน้าจอ 19:8:9 ทำให้การแสดงผลสี DCI-P3 HDR และลดแสงสีฟ้า พร้อมทั้งใส่เทคโนโลยีช่วยสำหรับการปลดล๊อคใบหน้าแบบ 3 มิติ และ ขอบหน้าจอค่อนข้างบางมีเพียง 1.7 มม มุมขอบเป็นแบบโค้งมนทั้ง4ด้าน และขอบด้านบน ด้านล่างหน้าจอบางแค่ 2.4 มม นับว่าแตกต่างจากรุ่นก่อนอย่างเห็นได้ชัดเลยครับแต่ในเรื่องของการติดฟิล์มอาจจะต้องดูว่าจะมีปัญหาเหมือนหน้าจอโค้งในรุ่นอื่นๆหรือไม่ครับ
หน้าจอนั้นมีการพัฒนาที่ดีขึ้นในแง่ของความลื่นไหลจากที่ได้ใช้งานจริงๆก็รู้สึกแตกต่างกับรุ่นก่อนหน้าแบบชัดเจนครับยิ่งใครที่ถือ 30 Series มาก่อนหน้านี้ก็รู้สึกได้ถึงความลื่นไหลมากขึ้นแน่นอนติดนิ้วมากขึ้นส่วนเรื่องของความละเอียดนั้นมากกว่าเดิมด้วยเช่นกันทางด้านหน้าจอนั้นให้มิติแสงสีอะไรสวยและสามารถปรับแต่งได้ครับ การสู้แสงในเวลากลางวันนั้นถือว่าสู้ได้ดีระดับนึงแต่อาจจะไม่ได้โหดมากนักให้เท่าๆกับตัว Mate30 Proในเรื่องของความสว่างและมืดสุดทำได้ดีใกล้กันครับ ส่วนหน้าจอโค้งต่อการใช้งานจริงนั้นแน่นอนว่าถ้าเราไม่มีฟิลม์ ไม่มีเคส เวลาใช้งานปุ่มโฮมการปัดของอะไรซ้ายขวาล่างถือเนียนมากๆขอบโค้งมันเนียนมากเวลาเลื่อนปัดไปมาครับ แต่ถ้าติดฟิลม์ เคสอาจจะทำให้ใช้งานความรู้สึกไม่ดีเท่าแบบเดิมๆ และแน่นอนขอบโค้งลง 4 มุมแบบนี้เรื่องฟิลม์อาจจะต้องดูกันอีกทีครับ
FINGERPRINT
การสแกนนิ้วยังคงเป็นแบบ Optical เหมือนในรุ่นอื่นๆแต่ถ้าใครสังเกตจะเห็นว่าสแกนนิ้วแสงนั้นป็นสีขาวแล้วจากที่รุ่นก่อนๆจะเป็นสีเขียวทั้งหมด และรวมถึง Mate30 Pro ก็สีเขียวครับแน่นอนว่าสีขาวมันเทคโนโลยีที่ใหม่กว่าเลยทำให้ไวกว่าในการใช้งานด้วยครับ ทำให้ในด้านความเร็ว และ รองรับการใช้งานแบบมือเปียกนั้นเองครับ ถือว่าเป็นจุดที่ดีและใช้งานได้โอเคกว่าที่คิดเลยแหละใช้งานได้ขณะจอปิดและสามารถแตะได้เลยครับไม่ต้องกดปุ่มเปิดเครื่องก่อน ส่วนความไวนั้นยังคงทำได้ดีและเป็นรุ่นที่ไวกว่ารุ่น P30 PRO – MATE 30 PRO ด้วยเช่นกันครับในรอบนี้
SOUND
เสียงนั้นเป็นอีกจุดที่ทางค่ายนี้อาจจะไม่ได้เน้นอะไรมากครับทั้งในด้านลำโพง และ หูฟัง ในรุ่นนี้ไม่มีรู 3.5มม.แล้วครับมาพร้อมหูฟังแบบ Type-C และผมไม่เห็นตัวแปลงมาให้นะครับในรุ่นนี้ ส่วนเรื่องของเสียงนั้นในเรื่องของ Software กันก่อนมีตัวปรับเสียง Dolby Atmos มาให้ครับสำหรับเสียงดูหนัง เล่นเกมต่างๆเสียงยังคงคล้ายๆรุ่มเดิมไม่ได้โดดเด่นมากนัก เสียงกลางๆ กำลังขับกลางๆครับ เบสพอมีฟังสนุก เสียงร้องชัด เสียงแหลมเด่นและแอบจัดไปหน่อย การที่ตัดรู 3.5มม.ออกไปนั้นก็น่าเสียดายไปนิดหน่อยแต่คงจะพยายามดันไร้สายเข้ามามากขึ้นครับ แต่ถ้าสายฟังเพลงนั้นก็สามารถหา DAC ตัวแปลงอะไรมาต่อเพิ่มได้สำหรับฟังเสียง 3.5มม. และ คุณภาพเสียงจะดีขึ้นแล้วแต่ DAC ที่เข้ามาต่อได้เลยครับก็เป็นอีกทางเลือกสำหรับสายฟังเพลง
ทางด้านหูฟังในรุ่นนี้เป็นหูฟังทรงเดียวกับในตัว Mate 30 Pro ก่อนหน้านี้เลยครับทั้งรูปทรงรวมถึงคุณภาพเสียงนั้นเป็นแบบเดียวกันเลย มีตัวควบคุมมาให้ในการรับสาย ไมค์ รวมถึงเพิ่ม-ลดเสียงครับ สายทั้ง 2 ข้างยาวเท่ากัน หูฟังตัวนี้เสียงออกกลางๆ เบสไม่แน่น เสียงโทนสูงแหลม โปร่งๆ ไม่ได้เด่นในเรื่องฟังเพลงมากนัก แต่ดีตรงที่ใส่สบายเวลาออกกำลังหรือไปข้างนอกวิ่งพวกนี้ ไม่ร้อนหูแบบพวก inear ค่อนข้างเบา และไม่แน่นเกินไป คุณภาพเสียงเลยลองลงมาเน้นใช้งานคุยโทรศัพท์หรือคนที่ไม่ได้เน้นอะไรมากก็พอไหว หรือใช้เวลาออกกำลังก็จะทำได้ดีครับผมฟังนานๆไม่ล้าเท่าไรแต่แอบไม่ชอบมันติดแหลมไปนิดครับในส่วนของหูฟังแถมในกล่อง
SPEAKER
ในเรื่องของลำโพงตัวนี้ยังคงใช้งานลำโพงเดี่ยวก็แอบเสียดายนิดนึงเพราะเรือธงตัวอื่นๆน่าจะเป็นลำโพงคู่กันทั้งหมดแล้วครับเลยทำให้ลำโพงตัวเดี่ยวนั้นที่สู้ได้ยากจะเป็นเรื่องของ มิติเสียงการแยกซายขวาที่ทำได้ดีกว่านั้นเอง แต่ทาง Huawei เองนั้นก็ต้องบอกว่าเป็นลำโพงเดี่ยวที่พัฒนาขึ้นจากเดิมเยอะยิ่งเอามาเทียบกับ Mate30 Pro ก็ทำให้รู้สึกได้เลยว่าเสียงดีกว่าเดิมดังชัดกว่าเยอะครับแต่ถ้าลำโพงคู่ก็จะได้เปรียบตรงเวลาถือแนวนอนและแยกซ้ายขวาจะแตกต่างกันตรงนี้แต่ถ้าเรื่องของความดังอย่างเดียวอาจจะเทียบกันไม่หนีมากครับแต่มิติเสียงอะไรพวกนี้จะค่อนข้างต่างกัน
GPS
ในเรื่องของ GPS การใช้งานมันก็ดีขึ้นเยอะมากครับจากที่แต่ก่อนนั้นค่ายนี้ชอบโดนบ่นกัน จากที่ลองทดสอบใช้งานจริงรวมถึงในแอพนะครับ ถือว่าทำได้ดีมากๆที่จับได้เจอ 37 จับได้ 37 และ เจอ 39 จับได้ 24 ประมาณนี้ ในที่ร่มหรือใต้ทางด่วน โดยสถานะเหลือง+เขียวค่อนข้างดีและนิ่งครับในการนำทางจริงๆนั้นไม่เจอปัญหาหลุดอะไร นำทางจัดได้ว่าโอเคและไม่ใช่จุดอ่อนแล้วนะครับ ถือว่าไว้ใจได้แล้วในการนำทาง สบายๆเลยครับจับได้เยอะมากๆเท่ากับจำนวนที่เจอเลยแหละ แต่รุ่นนี้มันไม่มี GMS ทำให้การใช้นำทางใน Maps นั้นจะหน่วงและจับได้ช้ากว่าปกติ ในการเปิดแอพแรกๆครับ แต่ถ้าใช้ไปซักพักก็ปกติ การจับมันทำได้ดีแต่ด้วยแอพอาจจะยังไม่ได้รองรับเต็มที่นั้นเอง
BATTERY
ตัวแบต KIRIN นั้นทำมาได้ดีตลอดๆในรุ่นก่อนหน้าครับ และด้วยการใช้ 990 5G ตัวใหม่ยิ่งช่วยในเรื่องนี้ได้สบายและแน่นอนตัวจอแม้จะเป็น 2K 90Hz แล้วก็ถือว่าอึดอยู่ รวมถึงความจุแบต 4,200 จัดหนักจัดเต็มใช้ยังไงก็ไม่หมดง่ายๆ และครั้งนี้รองรับ 40W ทำให้ชาร์จไวมากๆ และ ไร้สายก็ไวมากที่ 27W ครับทำให้สามารถใช้ทั้งวันได้แบบสบายๆ แอดมินใช้ทั้งหมด 11 ชั่วโมง หน้าจอเปิดไปทั้งหมด 8 ชั่วโมง เน้นใช้งานคือ เล่นเกม โซเชียล และ นำทาง หนักๆเลย จริงๆจากที่ลองมาหลายๆตัวเรื่องของอายุการใช้งานแบตค่ายนี้ไว้ใจได้เสมอจากที่ลองๆมาในหลายๆรุ่น Kirin ค่อนข้างประหยัดแบตพอสมควรครับในรุ่นหลังๆ ถือว่าอึดจริงๆและยิ่งนับเป็นหน้าจอ 90Hz แล้วด้วยยิ่งอึดกว่าตัวอื่นที่เคยทดสอบมาเลยครับ รวมถึงในการเล่นเกมก็รักษาความร้อนอะไรได้ดีด้วยนะตัวนี้
GAMING
เรื่องของการเล่นเกมรุ่นนี้ถือว่าโดยรวมโอเคเลยทีเดียว สิ่งที่มือถือของ Huawei ยังทำได้ดีกว่าคู่เเข่งก็คือทางด้านของการควบคุมความร้อนเเละเรื่องของแบตเตอรี่ เท่าที่ลองรุ่นนี้ถือว่าจัดการความร้อนได้ค่อนข้างดีรวมไปถึงการจัดการพลังงาน อีกอย่างรุ่นนี้เป็น USB 3.1 สามารถเชื่อมต่อกล่องสตีมขึ้น OBS ได้เลย เรื่องของความลื่นไหลก็ทำออกมาได้ดี โดยรวมเรื่องของการเล่นเกมให้ผ่าน เเต่ติดอย่างนึงคือเรื่องของ GMS ที่บางเกมอาจจะยังไม่สามามารถเล่นได้ถ้าไม่ลง GMS ก่อนอาธิ ROV
CAMERA
กล้องของรุ่น P40 Pro และ P40 Pro+ จะมีความพิเศษคือเป็นเลนส์ SuperSensing แบบโคนรุ่นแรก ๆ ในอุตสาหกรรม และการถ่ายภาพจะเป็นการถ่ายเป็น 16 รวมเป็น 1 และมีขนาดพิกเซล 4.48 μm นอกจากนี้ยังสามารถถ่ายวิดีโอในระยะไกลและสามารถซูมเสียงเฉพาะจุดได้อย่างแม่นยำและยังสามารถถ่าย bokeh (ละลายหลัง) ได้แบบ real time ด้วย ในรุ่น P40 Pro จะมีจำนวน 4 ตัวประกอบด้วย
- เลนส์ UltraVision 50MP (f/1.9) ที่มี optical stabilization
- เลนส์สำหรับถ่ายวิดีโอและเลนส์กว้าง ultra-wide 40MP
- เลนส์เทเล 5x SuperSensing 12MP สามารถซูมแบบดิจิทัลได้ 50x
- เซนเซอร์ ToF อีกทั้งยังมีเทคโนโลยี Huawei XD Fusion Engine
สำหรับในการใช้งานถ่ายนั้นก็ถือว่ารองรับได้ดีครับและได้คะแนนการันตีมาแต่ในการใช้งานจริงๆนั้นต้องดูกันอีกทีครับแต่เนื่องจากช่วงนี้นั้นอาจจะออกไปถ่ายอะไรได้ไม่เยอะมากนัก ทางเราเลยเอาตัวอย่างคร่าวๆมาให้ชมกันนิดหน่อย ที่ชอบคือเรื่องของการถ่ายที่เน้นถ่ายง่ายและใครๆก็ถ่ายสวยได้ครับคือเน้นใช้งานง่ายไว้ก่อน แต่สียังคงมีเพี้ยนและพวกดีเทลบางช่วงเวลาซูมจริงๆมันต้องมีอัพเดทอีกรอบครับทางด้านกล้องเลยอาจจะเอาเป็นตัวตัดสินใจยังไม่ได้เท่าไรนัก
PORTRAIT
NIGHTMODE
ZOOM TELE 5X- 10X-50X
SELFIES
ส่วนของกล้องหน้า 32 Mp (f/2.2) ที่มีเซนเซอร์อินฟราเรดตรวจจับความลึก และรองรับในสแกนหน้าอะไรพวกนี้ได้ด้วย ส่วนความคมชัดอะไรถือว่าดีขึ้น โทนสีนั้นสวยงามและดีกว่าเดิมเยอะครับแต่มุมจะค่อนข้างแคบไปหน่อย แต่ถ้าหากใครจำกันได้นั้นกล้องหน้า คมชัดสวยมากกว่ารุ่น P30 PRO และ Mate 30 Pro แบบชัดเจนเลยแหละ ส่วนงานวีดีโอรองรับ 4K 60Fps เลยครับแต่เรื่องของ การกันสั่น มุมมองนั้นยังค่อนข้างแคบอยู่พอสมควรเลยครับรุ่นนี้
VIDEO
ทางด้านงานวีดีโอค่ายนี้ถือว่าพัฒนาได้น่าสนใจมากขึ้นกว่าเดิมแน่นอนว่าแอบเสียดายยังไม่มีพวก กันสั่นพิเศษ หรือ 8K เข้ามาแต่ถ้ามองในแง่ของการใช้งานทั่วไปถือว่ารองรับได้สบายแล้วครับในการถ่ายวีดีโอรองรับมุมกว้างทุกความละเอียดและสามารถปรับเปลี่ยนได้ขณะถ่ายวีดีโอเลยไม่ต้องกดออกและถ่ายใหม่ ส่วนเรื่องคุณภาพถือว่าทำได้ดีมากๆในเรื่องของความคมชัด โฟกัส การกันสั่น หรือจะเป็นเสียงก็ทำได้ดีมาก แต่จะมีเรื่องของโทนสีในเลนส์ระยะปกติที่เพี้ยนได้ง่ายมากในเวลากลางคืนครับ แต่ยอมรับกว่ากลางคืนนั้นเก็บแสงได้ดีมากๆ ดีกว่าตัวอื่นชัดเจน แต่จะมีแค่เรื่องโทนสีเท่านั้นในกล้องหลัก แต่ถ้ากล้องมุมกว้างสีจะค่อนข้างตรงมากๆ น่าจะมีอัพเดทกันอีกทีครับ ส่วนเรื่องกล้องหน้านั้น มุมมองค่อนข้างแคบ แต่รองรับได้ทุกความละเอียดเหมือนกล้องหลังเลย แต่เรื่องของเก็บแสงสี มุมกล้องกันสั่นนั้นยังไม่ได้ดีเท่าไร และใครที่เน้นการถ่ายวีดีโอกล้องหน้ายังไม่ค่อยแนะนำเท่าไรนักครับ
HUAWEI P40 PRO
” เป็นรุ่นที่เน้นกล้องสุด ดีไซน์แปลกใหม่ในด้านหน้า แบตอึด จอลื่น แต่ยังคงไม่มี GMS “
ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงของตระกูล P ในเรื่องของหน้าจออีกครั้งครับครั้งนี้มาพร้อมกับหน้าจอ 2K 90Hz แน่นอนว่าในเรื่องของความละเอียดก็ทำได้ดีครับรวมถึงความลื่นอย่างมากในการใช้งานสัมผัสหรือการเลื่อนไปมาแน่นอนว่าแม้จะใช้งานหน้าจอ 90Hz แต่ก็ยังคงรักษาความอึดของแบคในเรื่องนี้ได้อย่างดีเหมือนเดิมแม้จะใช้จอที่มีความลื่นไหลมากขึ้นก็ตามครับส่วนทางด้านกล้องก็ยังคงทำได้ดีเช่นเดิมทั้งเรื่องของการซูม คุณภาพและการถ่ายที่เน้นฟีเจอร์เข้ามาช่วยให้ถ่ายง่ายอะไรมากขึ้นและกล้องหน้าที่พัฒนาขึ้นเช่นกันครับ แต่ในเรื่องกล้องยังมีบางจุดที่ยังเพี้ยนอยู่บ้างอาจจะมีอัพเดทกันต่อไปครับ และงานวีดีโอดีขึ้นเยอะในกล้องหลังแต่กล้องหน้านั้นยังไม่เทพเท่าไรนัก ส่วนเรื่องประสิทธิภาพนั้นไม่มีข้อกังวลอะไรสามารถรองรับการใช้งานทำงานได้ดีลื่นไหล และไม่ร้อนครับ จะติดแค่เรื่องGMS ถ้าใครที่เน้นในเรื่องนี้หรือใช้เป็นเครื่องหลักอาจจะต้องดูว่าเรารับได้ไหมกับข้อจำกัดแบบนั้นในตลอดเวลาที่ใช้งาน
ข้อดี
- หน้าจอ 90Hz สวยและลื่นไหล ดีไซน์แปลกใหม่ขอบโค้ง 4 ด้าน
- กล้องหน้า รองรับ IR 3D สแกนใบหน้า 3 มิติ
- การสัมผัสค่อนข้างติดนิ้ว ลื่นไหลอย่างมาก
- แบตเตอร์รี่ยังคงเป็นจุดเด่นของค่ายนี้ อึดมากแม้จะ 90Hz
- ประสิทธิภาพในการใช้งานเร็วแรงเช่นเดิม และ รองรับ 5G
- กล้องหลังยังคงทำได้ประทับใจในหลายระยะซูม และ มุมกว้างสวยคม
- กล้องหน้าคมชัดมากกว่าเดิม รายละเอียดมาดี ไม่หลอกตา
- ลำโพงหลักตัวเดียวแต่ดังกว่า Mate 30Pro หลายเท่า
- ฝาหลัง วัสดุดีไซน์สวย และ แปลกใหม่สะท้อนแสงได้ดี
ข้อสังเกต
- ไม่รองรับ Netflix
- ยังคงใช้งาน HMS ไม่มี GMS
- ลำโพงยังเป็นลำโพงเดี่ยว
- จอโค้ง 4 ด้านอาจจะติดฟิลม์ได้ยากหน่อย
- งานวีดีโอกล้องหน้ายังไม่เด่น
- Software ยังไม่ใช่ขายจริง กล้องยังคงเพี้ยน / ยังไม่มี AI ลบเงา หรือ ลบคนมาให้
สำหรับรีวิวนี้ผมก็ต้องขอตัวลาไปก่อนสำหรับรุ่นอื่นๆก็ติดตามกันได้เลย ถูกใจฝากกดไลค์กดแชร์ด้วยนะครับ มีข้อผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ เพื่อนๆสนใจอยากให้พวกผมรีวิวรุ่นไหนสามารถ Inbox มาบอกเราได้เลยนะ
ฝากไลค์เพจ FACEBOOK เราด้วยนะครับ >>>>>>>>> TECHHANGOUT
เข้าร่วมกลุ่ม TECHHANGOUT พูดคุยแลกเปลี่ยน ข้อมูล คุยกันเองชิลๆได้เลยที่ — Facebook Techhangout พูดคุย Smartphone gadget
Review by Nineztr
*รูปถ่ายจากกล้องมือถือทุกรูป ไม่มีการปรับแต่ง และ สามารถกดดูไฟล์เต็มแบบต้นฉบับได้นะครับ