HyperX แบรนด์ GAMING ที่ถือว่าเรื่องคุณภาพ และ ราคานั้นทำได้ดี จากที่เราเคยรีวิวไปก่อนหน้าในหลายๆรุ่นรวมถึง Cloud Stinger แต่ครั้งนี้มาใหม่ เปลี่ยนแปลงหลายๆอย่างที่ดีขึ้น ที่ชัดเจนที่สุดคงจะเป็นงานออกแบบที่ดูดี ดูทันสมัยมากกว่าเดิม รวมถึงการใช้งาน คุณภาพเสียงต่างๆนั้นดีขึ้นชัดเจน และครั้งนี้มาพร้อมกับ DTS® Headphone:X® Spatial Audio ทำงานร่วมกับ ไดรเวอร์ 40มม. และ ปรับปรุงไมค์ การใช้งานให้ดีขึ้น และ ในตระกูล Core เองนั้นจะเน้นราคาไม่แรง แค่ 1,290 บาทเท่านั้นทำให้ เป็นตัวคุ้มของใครหลายๆคนที่เน้นคุ้มค่าขึ้น

HYPERX CLOUD STINGER 2 CORE เองนั้นเปลี่ยนแปลงหลักๆจะเน้นไปที่งานออกแบบ และ การรองรับเสียงที่ดีขึ้น แต่ ขนาดไดรเวอร์อะไรนั้นไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากนักครับ ยังคงมาพร้อมกับ ไดรเวอร์ 40 มม. แบบไดนามิคพร้อมแม่เหล็กนีโอดีเนียม ความถี่ 10 Hz – 25 kHz ความต้านทาน 32.5 Ω และมีการพัฒนารองรับระบบเสียง DTS headphones: X รวมถึงตัวไมค์ที่ออกแบบใหม่ มีที่กันเสียงกระแทก และ ตัวไมค์แบบใหม่ Bi-directional noise cancelling ที่เสริมเข้ามารวมถึงยังคงโดดเด่นในเรื่อง น้ำหนักที่เบา ใส่สบาย คุ้มค่าเช่นเดิม

HYPERX CLOUD STINGER 2 CORE : 1,290 บาท 

UNBOX

  • ตัวหูฟัง HYPERX CLOUD STINGER 2 CORE
  • สายแปลงแจ็ค 2 หัว
  • คู่มือการใช้งาน
  • ตัวโฟมดักเสียงลมกระแทก ไมโครโฟน
  • รหัส DTS headphones: X ใช้งานตัวระบบเสียง 2 ปี

DESIGN

จุดที่เปลี่ยนแปลงมากที่สุดคืองานออกแบบที่เปลี่ยนไปแบบทั้งชิ้น ทำให้งานดูแพง ดูดีมากกว่าเดิม ส่วนตัวรู้สึกว่าถ้ามองเทียบกับรุ่นก่อนหน้าเองนั้น รุ่นนี้ดูแพงขึ้นเยอะ แม้ราคาเท่าเดิม แต่งานออกแบบดูทันสมัย ดูราคาแพงกว่าตัวมันเองมากๆ อาจจะด้วยการเล่นลวดลายพื้นผิวแบบใหม่ ทรงหูฟังแบบใหม่ที่ดูเล็กและกระชับมากขึ้น แต่ด้วยน้ำหนัก พลาสติกยังคงทำได้เบา และ ใส่สบายเช่นเดิมครับ เป็นเน้นสีดำล้วนๆ และรุ่นนี้จะเป็นแบบสายเท่านั้น 3.5 มม.

ด้านข้างเราจะเห็นเลยว่ารูปทรงตัวครอบหูมันสวยขึ้นเยอะจากที่รุ่นก่อน อาจจะดูหนาๆสายเกมมิ่งจ๋ามาก แต่ครั้งนี้เปลี่ยนทั้งหมดทั้งรูปทรง ขนาด งานออกแบบทำให้ดูเป็นหูฟังที่ใส่ได้ง่ายขึ้น สวยขึ้น และ ไลฟ์สไตล์มากกว่าเดิมไม่ดุดัน หนา แบบรุ่นก่อนหน้านั้นเอง และก้านไมค์ก็ทำได้เรียบร้อยขึ้น เมื่อไม่ใช้งานก็เนียนไปกับตัวหูฟังเช่นกันครับ รวมถึงตัวหูฟังเองก้านอิสระมากกว่าเดิม มีความโค้งเว้าและไม่ได้วางหูฟังชิดขอบแบบรุ่นก่อนหน้า ทำให้เวลาใส่ใช้งานดูไม่เกะกะแบบรุ่นก่อนหน้าครับ จุดนี้ถือว่าดูดีส่วนในด้านบนเองมีการเขียน HYPERX และ TEXTURE เพิ่มเข้ามา

แน่นอนว่าถ้าเป็นตัว CORE จะเน้นน้ำหนักเบา ราคาไม่แพงมากนักทำให้วัสดุต่างๆจะเน้นไปที่ผ้ามากกว่าหนังครับ ในด้านบนมีความ หนานุ่มกำลังดี ใช้งานได้โอเคในการทดสอบ รู้สึกว่าหนากว่าตัวแรกและทางด้านตัว ครอบหูก็เป็นวัสดุเดียวกันขนาด และ สามารถครอบหูได้แบบไม่อึดอัดด้วยวัสดุแบบผ้า แต่ตัวก้านเองนั้นเป็นพลาสติกทั้งหมด  ในรุ่นนี้ปุ่มควบคุมจะมีแค่ปรับเสียง แต่เสริมด้วยสีแดงเข้ามาดูเด่นขึ้นใช้งานได้ดีเช่นเดิมครับ จะเห็นเลยว่าทรงมันสวยขึ้น บางขึ้น จากที่รุ่นก่อน เมื่อมองมุมนี้จะรู้สึกเลยว่าหูฟังหนา เกะกะมาก แต่รุ่นนี้ออกแบบหลายๆส่วนให้ดูเบาบางขึ้น

และตัวก้านไมค์เองก็พัฒนาขึ้นไม่ได้ยึดกับด้านข้างแบบรุ่นก่อน ทำให้มันเนียนสวยขึ้น ฝาครอบหูก็เรียบร้อยมากกว่าเดิม แต่การใช้งานโยกเปิด/ปิดเหมือนเดิมครับ แต่เรียบร้อยขึ้นเยอะเมื่อเก็บไปก็เนียนๆเลย ส่วนไมค์เองพัฒนาขึ้นใช้งานไมค์ Bi-directional noise cancelling แถมให้ที่กรองเสียงลมเข้ามาให้ทำเวลาใช้งานจะไม่มีเสียงลมกระแทกกับตัวไมค์นั้นเอง ถือว่าจุดนี้ใส่เข้ามาให้ดูดีขึ้นเยอะมากๆ และใช้งานทำให้เสียงมันนุ่มและกรองได้เยอะขึ้น

แต่ส่วนที่ชอบมากที่สุดเลยคือตัวครอบหูที่เป็นการออกแบบใหม่ทั้งหมด แม้โลโก้จะเล็กลงกว่าเดิมเล็กน้อยแต่การทำโลโก้ให้เหมือนกับอลูมิเนียมมากกว่าสีพ่นแบบรุ่นก่อน ทำให้มันดูแพงขึ้น เข้ากับพื้นหลัง TEXTURE ที่เล่นลวดลายได้ดีมาก ขอชื่นชมงานออกแบบตัวนี้เลยว่าพัฒนาได้ตรงจุด เพราะว่ารุ่นก่อนๆหลายคนอาจจะมองว่ามันไม่สวยเท่าไร

SPEC

  • ไดรเวอร์: 40 มม. แบบไดนามิคพร้อมแม่เหล็กนีโอดีเนียม
  • ฟอร์มแฟคเตอร์: สวมเหนือหู, แบบครอบเต็ม, ปิดด้านหลัง
  • ความถี่: 10 Hz – 25 kHz
  • ความต้านทาน: 32.5 Ω
  • ความไว: 95 dBSPL/mW ที่ 1 kHz
  • T.H.D.: ≤ 2%
  • ประเภทกรอบ: พลาสติก
  • วัสดุรองหู: โฟมและวัสดุผ้าเนื้อนุ่ม
  • ไมโครโฟน ส่วนประกอบ: ไมโครโฟนอีเล็กเตรทคอนเดนเซอร์
  • รูปแบบขั้ว: สองทิศทาง พร้อมระบบตัดสัญญาณรบกวน
  • ความถี่: 100 Hz – 15.6 kHz
  • ความไว: -40.5 dBV (1 V/Pa ที่ 1 kHz)
  • การเชื่อมต่อและคุณสมบัติเด่น
  • การเชื่อมต่อสัญญาณเสียง: ต่อสายขนาด 3.5 มม. (CTIA 4 ตอน)
  • ระบบเสียงเซอร์ราวด์เสมือนจริง: เฮดโฟน DTS:X
  • ระบบควบคุมเสียง: ระบบควบคุมเสียงในตัว

SOUND

เสียงเวลาเล่นเกมตัวนี้มาพร้อมกับไดรเวอร์ 40มม. เท่าเดิมแต่รองรับ ระบบเสียงเซอร์ราวด์เสมือนจริง เฮดโฟน DTS:X แบบ Spatial Audio ด้วยถือว่าเป็นจุดที่น่าสนใจในการใช้งานจริงๆครับ รุ่นนี้สามารถใช้งานเสียงในย่านต่ำ หรือเสียงจำพวกเสียงเบส เสียงระเบิด เสียงย่านต่ำนั้นมาดีเลยแหละ ซึ่งรุ่นก่อนหน้าจุดนี้ก็เด่นอยู่แล้ว ทำให้รุ่นนี้ยังคงพัฒนาต่อเนื่องจากรุ่นเดิมคือมีมวลกำลังดี และเสียงแน่นกว่าเดิมกระแทกกำลังดีไม่ปวดหัว ถ้าพูดในภาพรวมเสียงจะเด่นเรื่องของมิติเสียง และ เสียงรายละเอียดต่างๆนั้นชัดเจนและแยกได้ดีครับ เพราะอาจจะทำออกมาเน้นเล่นเกม เสียงคนพูดชัด เสียงเดินอะไรทิศทางทำได้ชัดในหลายๆเกมที่รองรับ หรือ เกมที่เน้นเรื่องทิศทางเสียงแยกได้ดีถือว่าลงตัว

เสียงเวลาฟังเพลงนั้นอาจจะไม่ได้เป็นหูฟังที่ทำออกมาสำหรับฟังเพลง แต่ถ้าเอามาใช้งานทั่วไปหูฟังตัวเดียวใช้ ภาพรวมถือว่ายังพอไหว อาจจะด้วยรูปทรง และ ไดรเวอร์ใหญ่ทำให้มันรองรับการใช้งานได้อิสระหลากหลายด้วยเช่นกันครับ ในการฟังเพลงแน่นอนว่าเสียงร้อง เสียงพูดจะเด่นชัดกว่า มิติเสียงมาดี แต่เสียงย่านโทนต่ำอาจจะมาน้อยไปหน่อย หรือ เสียงโทนต่ำมากๆเวลาฟังเพลงที่เน้นเรื่องเบสอาจจะไม่ได้กระแทกเน้นสะใจฟังสนุกมากแต่ก็พอเข้าใจ เพราะว่ารุ่นนี้จะเน้นไปทางหูฟังเกมมิ่งนั้นเอง ซึ่งถ้ามองเอกลักษณ์เสียงยังคงมีความคล้ายกับรุ่นพี่ในรุ่นก่อนๆเช่นกัน

เสียงไมค์เองนั้นถือว่าพัฒนาได้ดีขึ้นในการเปลี่ยนรูปทรงใหม่ ใช้เทคโนโลยีใหม่ และ ตัดเสียงรบกวนได้ดีขึ้นอีกทั้งมีตัวกรองเสียงไมค์ เสียงลมได้ดีขึ้นด้วยเช่นกันแน่นอนว่าทำให้เรื่องไมค์นั้นน่าจะเป็นจุดที่พัฒนาดีขึ้นแตกต่างกันรุ่นก่อนหน้าชัดเจน ทั้งการออกแบบ และ การใช้งานจริงๆ และ โยกก้านเพื่อ เปิด ปิดไมค์ได้เหมือนเดิม เสียงไมค์จะเน้นไปทางเสียงใส ชัดเจนเน้นความชัดของเสียงมากกว่า แต่เรื่องความทุ้มหรือโทนย่านต่ำอาจจะไม่ได้เยอะมากเท่าไรนัก

แต่รุ่นนี้เองก็ยังแอบติดในเรื่องก้านไมค์นั้นแน่นอนว่าเป็นการใช้งานแบบรุ่นเดิมที่พับขึ้นเพื่อปิดไมค์ครับ แน่นอนว่ามันสะดวกต่อการใช้งานได้ดีมากเวลาพับไมค์เร็วๆครับ แต่ในเรื่องของการใช้งานความยาวนั้นระยะ น่าจะยืดมายาวกว่านี้นิดหน่อยครับจะพอดีเลย แต่ งอ อะไรได้ปกติครับ ส่วนตัวไมค์ก็เท่าที่ลองรองรับเสียงได้ดีพอสมควรครับ ตัดเสียงได้ดี และ การที่ให้ที่กรองเสียงลมกระแทกเข้ามาทำให้เวลาจ่อใกล้ปากมากๆเองนั้นเสียงไม่มีลมตีเข้าไปจุดนี้ค่อนข้างดี

HYPERX CLOUD STINGER 2 CORE 

” ราคาคุ้มค่า น้ำหนักเบา ใส่สบาย เสียงดีเช่นเดิม แต่งานออกแบบดีขึ้นหลายเท่าตัว “

แน่นอนว่าตัวนี้เป็นรุ่นเริ่มต้นที่สุดของค่าย HyperX ทำให้ราคานั้นไม่ต้องคิดมากเลย จับต้องได้ง่ายมากๆ รวมถึงงานออกแบบที่สวยขึ้น ทำให้น่าเล่นขึ้นเยอะมาก ส่วนเรื่องฟีเจอร์ เสียงนั้นก็สามารถรองรับ DTS headphones: X ได้ซึ่งเป็นจุดที่แตกต่างกันหลักๆรวมถึงไมค์ตัดเสียงได้ดีขึ้น แม้ไดรเวอร์จะขนาดเท่าเดิมก็ตามแต่ก็มีการปรับปรุงเล็กน้อยในโทนเสียงที่แน่นขึ้น ส่วนการสวมใส่เองนั้นสบาย เบา ตามมาตรฐาน HyperX รุ่น Stinger Core นั้นเอง ทำให้มันเป็นหูฟังสำหรับ คนที่อยากได้หูฟัง Gaming งบไม่แพง เน้นใช้งานเบา ใส่สบาย และ เสียงครบ ไมค์ดีตามราคาของมัน ตัวนี้บอกเลยว่าคุ้มค่าครับ ดีไซน์ไม่หนาแบบรุ่นก่อน ทำให้สาวๆก็สามารถใช้งานได้แบบพอดีไม่ใหญ่ไป

ข้อดี

  • งานออกแบบ พัฒนาขึ้น สวยขึ้น
  • น้ำหนักเบา ใส่สบายยังคงเป็นจุดเด่น
  • ไมค์เสียงใช้งานได้ดี ตัดเสียงลมได้ดี
  • เสียงเล่นเกมทำได้สมราคา และ รองรับ DTS headphones: X
  • DTS headphones: X Software ระบบเสียงในคอมพิวเตอร์ ให้รหัสใช้งานได้ยาวๆ 2 ปี 
  • ราคาไม่แรง แต่คุณภาพถือว่าคุ้มค่า
  • ใส่สบายไม่ร้อน เนื้อผ้าระบายได้ดี เวลาเล่นนานๆ

ข้อสังเกต

  • องศาปรับทิศทางไม่ได้เยอะเท่ารุ่นอื่นๆที่ราคาสูงกว่า
  • ไม่สามารถ บิดตัวครอบหู ซ้ายขวาได้แบบรุ่นปกติ