iPad ถือว่าเป็นตระกูลที่ประสบความสำเร็จอย่างมากในตลาด Tablet และถือว่าเป็น Tablet ที่น่าใช้งาน และมีประสิทธิภาพที่ดีที่สุดเมื่อเทียบกับคู่แข่งด้วยกัน หลายๆอย่างนั้นทำออกมาได้ดีตอบโจทย์การใช้งานและระบบในภาพรวมนั้นเรียกได้ว่าหาคู่แข่งได้ยาก รวมถึงฟีเจอร์การรองรับของ iPad OS ก็ออกมาได้พัฒนาดีขึ้นเรื่อยๆจนน่าตกใจ ทางด้านงานออกแบบก็มีการเปลี่ยนแปลงพัฒนามากขึ้น มีหลากหลายเรทราคาให้จับต้องกัน เหมาะสำหรับสายงานมืออาชีพ ไปจนถึง รุ่นเริ่มต้นสำหรับ นักศึกษา และอีกตระกูลนึงที่น่าสนใจนั้นคงหนีไม่พ้น iPad Air รุ่นล่าสุดนั้นเองเน้นความบางเบาใช้งานได้ดี และในรุ่น iPad Air Gen4 นั้นเปลี่ยนแปลงอะไรหลายอย่างทั้ง หน้าจอ งานออกแบบ และ พอร์ตนั้นใช้งาน USB-C แล้วเดินตามรอยรุ่นพี่ iPad Pro และทำให้การใช้งานอะไรหลายๆอย่างดีขึ้นแน่นอน

Apple iPad Air Gen4 นั้นมาพร้อมหน้าจอ Liquid Retina ขนาด 10.9 นิ้ว อีกทั้งยังเปลี่ยนดีไซน์หน้าจอให้มีขอบบางลงอีกด้วย ภายในตัวเครื่องนั้นมาพร้อมชิปประมวลผล Bionic A14 ที่มีขนาดเพียง 5nm เท่านั้น เร็วกว่า iPad Air รุ่นที่ผ่านมา 40% และประมวลผลกราฟิกเร็วกว่าเดิม 30% ทำให้สามารถใช้งานได้อย่างทะลุขีด กล้องหลังนั้นจะใช้ตัวเดียวกับใน iPad Pro คือมีความละเอียด 12MP (f/1.8) ที่รองรับการถ่ายวิดิโอ 4K ที่ 60fps และถ่าย slo-mo ได้ 240fps นอกจากนี้ยังปรับปรุงระบบกันสั่นขณะถ่ายวิดีโอให้มีประสิทธิภาพขึ้นด้วย กล้องหน้ามีความละเอียด 7MP (f/2.2) รองรับ FaceTime HD และ Smart HDR ทำให้ถ่ายในที่แสงน้อยได้ดีขึ้น นอกจากนี้ยังรองรับการถ่ายวิดีโอความละเอียด 1080p ที่ 60fps มาพร้อมพอร์ต USB-C ถ่ายข้อมูลเร็วขึ้น 10x, ลำโพง Stereo ในแนวนอน, มาพร้อมหัวชาร์จ USB-C ความเร็ว 20W, ได้รับการอัพเกรด iPadOS เวอร์ชันใหม่
iPad Air มีตัวเครื่องให้เลือก 5 สีคือ สีเทาสเปซเกรย์, สีเงิน, สีโรสโกลด์, สีเขียว และสีสกายบลู.  ราคาที่วางขายในประเทศไทยเริ่มต้นที่ 19,900 บาท ในรุ่นความจุ 64GB ส่วนรุ่นรีวิวจะเป็น 256GB WIFI 24,900 บาท พร้อมกับ ปากกา 4,490 บาทครับ ทั้งหมดโดนไป 29,390 บาท ในไทยวางขายแล้วเรียบร้อยนะครับผม

UNBOX

สำหรับตัวกล่องนั้นมีความบางขนาดพอดีกับตัวเครื่องเช่นเดิมและใน iPad Air นั้นยังคงมาพร้อมกับที่ชาร์จ USB-C มาให้ในกล่องไม่ได้ตัดออกแบบ iPhone 12 นะครับยังคงแถมมาให้ในกล่องอยู่ ส่วนหูฟังนั้นไม่ได้แถมมาเป็นปกติอยู่แล้วนะครับ แน่นอนว่าตัวกล่องก็โชว์ด้านหน้าเครื่องสวยงาม ขนาดตามของจริงเป๊ะๆเลยนั้นเอง

  • ตัวเครื่อง iPad Air gen 4
  • สายชาร์จ USB-C ไป USB-C
  • Adaptor ชาร์จไฟ 20W แบบ USB-C
  • คู่มือ ภาษาไทย แบบสี
  • สติกเกอร์ Apple 2 ชิ้น

และสำหรับทางแอดเองได้ซื้อปากกามาเพิ่มเติมครับสำหรับใช้งานที่สะดวกมากขึ้น ในราคา 4,490 บาท มาพร้อมกับกล่อง แยกและมีคู่มือแยกมาให้ต่างหาก แค่นั้นไม่มีอะไรเพราะว่าในการชาร์จใช้งานนั้นจะเป็นแบบแปะกับตัวเครื่องนั้นเอง ไม่ต้องเสียบสายชาร์จ หรือ เสียบท้ายเครื่องแบบรุ่นก่อนๆแล้วจุดนี้ถือว่าเป็นการออกแบบที่ทำได้ดี

DESIGN

งานออกแบบในรุ่นนี้มีความคล้ายกับทาง iPad Pro รุ่นพี่ชัดเจน รวมถึงดีไซน์แบบเหลี่ยมๆนั้นเริ่มส่งไปยัง iPhone 12 แล้วด้วยเช่นกันทำให้เรื่องของงานออกแบบทั้งหมดมีความเข้ากันมากขึ้น ดีไซน์ดูเรียบร้อยและใช้งานได้ถนัดมากขึ้น ตัวเครื่องมีความเหลี่ยมสันชัดเจน ฝาหลังแบบเรียบๆทั้งหมดพร้อมกับวัสดุอลูมิเนียมทั้งหมดชิ้นเดียวกันหมดเลยนั้นเอง มาพร้อมกับ กล้องหลัง 1 ตัว และ สแกนนิ้วที่ขอบเครื่อง อีกทั้งมาพร้อมกับสี ฟ้า เขียว ใหม่สวยงามเลยแหละ แต่สีฟ้านั้นบอกเลยว่า ของจริงมันแทบจะอ่อนจนไปทางสีเทาด้วยซ้ำครับ แอบเสียดายนิดหน่อยสีฟ้าค่อนข้างอ่อนมาก

หน้าจอในรุ่นนี้มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่มาพร้อมกับงานออกแบบแบบเดียวกับรุ่นพี่มีขอบบางเต็มหน้าจอสวยงามครับ พร้อมกับ หน้าจอแบบ Retina True Tone ขนาด 10.9 นิ้ว (2360 x 1640 พิกเซล), P3 Color Gamut, ความสว่าง 500 nits, 264 PPI  ถือว่าในเรื่องของสเปกนั้นรองรับการใช้งานได้ดีแม้จะไม่ได้เทพเท่ารุ่นพี่แบบ 120Hz นะครับแต่ในการใช้งานจริงก็สวยงามและสีสันอะไรใช้งานได้ดีเลยแหละ แต่สู้แสงอาจจะไม่โหดมากนัก

ขอบเครื่องด้านบนนั้นจะเป็นที่อยู่ของกล้องหน้า และ เซนเซอร์ต่างๆครับไม่ได้มีลำโพงอะไรแทรกมา เพราะไปอยู่ขอบเครื่องทั้งหมด ส่วนขอบเครื่องทั้งหมดนั้นความหนาจะเท่ากันทั้ง 4 ด้านสมมาตรและลงตัวในการจับถือใช้งานครับ

ขอบเครื่องด้านล่างนั้นจะขนาดเท่ากับด้านอื่นๆพอสมควรเลยแหละ ถือว่าดีที่ไม่ได้บางมากเกินไปและยังมาพร้อมกับพื้นที่ในการจับถืออยู่บ้าง ถ้าบางกว่านี้ในการจับถือ Tablet นั้นบอกเลยว่าลำบากกว่านี้แน่นอน จุดนี้ถือว่ายังดีอยู่

ขอบเครื่องด้านบนนั้นเราจะเห็นว่ามีไมค์รับเสียง ตัดเสียงมาให้ และเป็นรูลำโพงทั้งหมด ซ้ายขวา แต่ในการใช้งานจริงๆนั้น รูที่เป็นลำโพงจริงๆจะอยู่ด้านขวาในภาพเท่านั้นนะครับ ตัวครับแน่นอนว่าทำได้ดีพอสมควรเลยแหละ ส่วนสแกนนิ้วนั้นเป็นที่เดียวกับปุ่มเปิดปิดหน้าจอเลยนั้นเอง

ขอบเครื่องในด้านซ้ายนั้นไม่มีช่อง หรือว่าปุ่มอะไรทั้งนั้นครับ เป็นแบบเรียบๆเลยจะเห็นว่าตัวเครื่องมีความเรียบและแบนและแน่นอนว่ามีความเหลี่ยมสันชัดเจน ส่วนงานออกแบบแบบนี้นั้นจะเสี่ยงต่อการงอง่าย หรือ ยาก ต้องรอติดตามครับ

ขอบเครื่องในด้านล่างนั้นเราะจะเห็นว่ามาพร้อมลำโพงอีก 1 ตัว ในด้านซ้ายในภาพ แต่การเจาะรูแบบเดียวกันทั้งหมด อีกข้างไม่ได้มีลำโพงแต่อย่างใด อีกทั้งพอร์ตการเชื่อมต่อได้พัฒนามาใช้งานแบบ USB-C เช่นเดียวกับตัว Pro แล้วด้วยถือว่าเป็นจุดหลักๆที่พัฒนาขึ้นมาแบบชัดเจน

ส่วนขอบเครื่องในด้านขวานั้นเราจะเห็นว่ามี ปุ่มเพิ่ม-ลดเสียงเสริมเข้ามาในด้านบนตำแหน่งกำลังดีใช้งานง่าย และแถบตรงกลางนั้นที่เห็นในภาพจะเป็นจุดที่เชื่อมต่อกับปากกาแบบแม่เหล็ก ช่วยในการชาร์จไฟเข้าปากกาและพกพา

ในด้านหลังนั้นมาพร้อมกับวัสดุอลูมิเนียมทั้งหมดพร้อมกับสีแบบด้านแน่นอนว่า กล้องหลังตัวเดียวพร้อมกับไมค์อัดเสียง ไม่มีไฟแฟลช รวมถึง โลโก้ตรงกลาง และส่วนล่างนั้นจะเป็นแถบแม่เหล็กสำหรับใช้งานกับ Magic Keyboard นั้นเอง งานออกแบบนั้นไม่ได้แตกต่างหรือหนีจากรุ่น Pro มากนักแต่ถ้าหากเทียบกับรุ่นก่อนถือว่าเปลี่ยนแปลงเยอะ

สำหรับตัวกล้องนั้นมาพร้อมกับกล้องตัวเดียว นูนขึ้นมาพอสมควรไม่ได้มีการใส่ไฟแฟลชอะไรมาให้ เป็นปกติของ Tablet และ มาพร้อมกับกล้องตัวเดียวกับ iPad Pro ก่อนหน้านี้เลยนั้นเองใช้งานกล้องหลัง กล้องหลัง 12MP (f/2.4), เลนส์ 5P, ฟิลเตอร์ อินฟราเรด (Hybrid IR) คุณภาพถือว่าทำได้ดี รองรับการถ่าย 4K 60FPS ได้ด้วย

งานออกแบบส่วนล่างนั้นมีการเขียนว่า iPad พร้อมกับแถบ 3 จุดที่เราจะเห็นว่าเป็นจุดที่ไว้เชื่อมต่อกับเคส คีย์บอร์ดหรือการใช้งาน Magic Keyboard  และ Smart Keyboard Folio  รุ่นใหม่ของทางค่ายด้วยเช่นกันครับ

ทางด้านปากกาในรุ่นนี้จะใช้งานกับ Apple Pencil รุ่นที่ 2 ได้ทันทีแต่ปากกานั้นต้องซื้อเพิ่มในราคา 4,490 บาทนะครับเป็นสีขาวทั้งด้ามพร้อมกับเขียน Pencil ในด้านหลังและวัสดุสีขาวด้านทั้งหมด รองรับการใช้งานสั่งงานสัมผัสบนตัวปากกาและยังรองรับการเขียนองศาอะไรได้เนียนและลื่นไหลอย่างมาก พร้อมกับแม่เหล็กสำหรับแปะติดกับ iPad รวมถึงเป็นการชาร์จไฟเข้าไปในตัวด้วยเช่นกันถือว่าพัฒนาปากกาออกมาได้ดีขึ้นชัดเจนจากรุ่นแรกที่เสียบชาร์จเอา

SPEC

  • หน้าจอ Retina True Tone ขนาด 10.9 นิ้ว (2360 x 1640 พิกเซล), P3 Color Gamut, ความสว่าง 500 nits, 264 PPI
  • ชิปประมวลผล A14 Bionic 5nm
  • ความจำภายใน 64GB/256GB
  • iPad OS 14
  • กล้องหลัง 12MP (f/2.4), เลนส์ 5P, ฟิลเตอร์ อินฟราเรด (Hybrid IR)
  • กล้องหน้า 7MP (f/2.0) FaceTime HD, มาพร้อมแฟลช Retina
  • ไมโครโฟนคู่, ลำโพง Stereo
  • รองรับ Wi Fi 802.11ax Wi-Fi 6 (2.4GHz and 5GHz); HT80 with MIMO, Bluetooth 5.0
  • ปุ่มสแกนนิ้วด้านบน
  • ขนาดตัวเครื่อง: 247.6 x 178.5x 6.1 มม.; น้ำหนัก: 458 กรัม
  • แบตเตอรี่ใช้งานได้ติดต่อกัน 10 ชั่วโมงในการเปิดเว็บไซต์ด้วย Wi-Fi, ดูวิดีโอ, ฟังเพลงต่างๆ
  • USB-C

PERFORMANCE 

ทางด้านสเปกนั้นมาพร้อมกับ CPU 5nm ตัวใหม่ล่าสุดพร้อมใช้งานเร็วแรงแซงเกินหน้าเกินตาหลากหลายรุ่นอย่างมากครับ แน่นอนว่ารวมถึงในเรื่องของสเปกการใช้งานนั้นรองรับได้ดีด้วยเช่นกัน มาพร้อมกับ CPU Apple A14 Bionic ทำงานร่วมกันกับ RAM 4 GB STORAGE 256GB แบบ UFS 3.0 รองรับการทำงานกับ iPad OS รุ่นใหม่ทำให้ในเรื่องของคะแนนนั้นทำไปได้มากถึง 653783 เลยทีเดียวแตะ 6 แสนได้เลยสำหรับการใช้งานระดับสูงทั้งการตัดต่อวิดีโอได้ในตัว ที่สามารถตัดงาน 4K ได้แบบสบายๆในตัวเองเลย รวมถึงการเล่นเกมประสิทธิภาพสูงได้

STORAGE SPEED

การอ่านเขียนนั้นจากที่ทุกครั้งเราเคยทดสอบ Androbench แต่ครั้งนี้เราทดสอบผ่านทาง Antutu จะเห็นว่าการอ่านเขียนของ iPad Air นั้นมาพร้อมกับ STORAGE 256 GB แบบ UFS 3.0 เลยทีเดียวพร้อมกับการอ่านเขียน 1,497MB/s และ เขียนได้ 1,437MB/s ถือว่ามีความเสถียรในการอ่านเขียน และทำได้ไวไม่ต่างกันเลยครับจุดนี้

SYSTEM UI

iPad OS14 นั้นต้องบอกว่ามีอะไรหลายๆส่วนเข้ามาทำให้การใช้งานนั้นดีขึ้นมากๆ แน่นอนว่ามี Widget เพิ่มเข้ามารวมถึง Scribble ที่ใสเข้ามาในการใช้งานปากกาได้ดีมากขึ้นด้วยเช่นกัน หน้าตาอะไรปรับแต่งได้มากขึ้นนิดหน่อย และความเรียบง่าย ความลื่นไหลของทาง Apple นั้นยังคงเหลือให้ใช้งานและต่อเนื่องจากรุ่นก่อนๆ รวมถึงระบบที่มีการซิงค์ Ecosystem ของตัวเองทั้ง Sidecar ในการทำงานเป็นหน้าจอที่ 2 สำหรับแมค หรือ โยนข้อมูลง่ายๆอะไรได้ดีสำหรับคนใช้งาน MAC iPhone ทั้งหลายทำให้มันเป็นตัวเลือกที่ดีมากๆตัวนึงในตอนนี้ในการใช้งานร่วมกันกับมือถือ หรือ คอมพิวเตอร์ และระบบแบบนี้คู่แข่งยังห่างอยู่เหมือนกันในแง่ของความนิ่งและฟีเจอร์รองรับ

และส่วนนึงที่ชอบมากๆเลยคือการใช้งานปากกาเขียนแทนการพิมพ์ที่รองรับได้แทบจะทุกการใช้งานที่จะเป็นช่องหรือเขียน Note ครับทำให้สะดวกมากๆในการที่เรามีปากกาอยู่และถือใช้งาน เช่นในภาพนั้นจะหาแอปก็ไม่ต้องแตะและใช้คีย์บอร์ดอะไรครับแค่เขียนลงไปได้เลย มันจะแปลงเป็นตัวอักษรให้เราเลย และรองรับได้อิสระเยอะมากๆ   ทั้งการกรอกข้อมูลตามเว็บ หรือ ช่องค้นหาทั่วไปได้เลย หรือจะเป็นการจดเลคเชอร์และแปลงให้เราเองด้วยถือว่าทำได้ดีมาก

ส่วนหน้าตาการตั้งค่านั้นก็จะเป็นหน้าตาที่คุ้นเคยกันดีจากทาง iOS สามารถปรับอะไรได้หลากหลายและปัดลงมาจากขอบมุมขวาของตัวเครื่องนั้นเอง บอกสถานะแบตอะไรได้ด้วยในจุดนี้ และเข้างานแอปได้ไวมากขึ้น ส่วนหน้าหลักนั้นถ้าปัดไปทางขวานั้นจะเป็นหน้าจอของ Widgets ที่รองรับการปรับแต่งได้อิสระตามการใช้งาน รวมถึงบอกสถานะแบตปากกาตัวเครื่องได้ทั้งหมด หรือถ้ามีหูฟัง นาฬิกา ก็จะบอกทั้งหมดเลย รวมถึงลากเปลี่ยนเพิ่ม ลดได้ทั้งหมดครับ

และจุดที่การซิงค์ของ Apple นั้นมีความลื่นไหลและเนียนมากๆตัวนึงในภาพเช่นการจดงานบน iPad หรือวาดอะไรบนนั้น ถ้าเรามีแมคและเข้าชื่อเดียวกัน เชื่อมต่อเน็ตทั้งคู่ ภาพที่เราวาดหรือจดไว้ใจ iPad นั้นจะมาบนเครื่อง Mac ของเราแบบเรียลไทม์ หรือทันทีเลยทำให้การโอนย้ายไปมาใช้งานหรือก็อปข้อความจาก iPad มานั้นถือว่าสะดวก

SCREEN

สำหรับหน้าจอนั้นที่เปลี่ยนแปลงชัดเจนคงหนีไม่พ้นในเรื่องของงานออกแบบในรุ่นนี้ปรับมาใช้งานหน้าจอแบบเต็มขอบแบบเดียวกับรุ่น iPad Pro แต่หน้าจออาจจะไม่ได้เทพมาก หรือสวยมากนักครับอันนี้เห็นหลายๆคนอาจจะคิดว่าหน้าจะจะได้เป็นตัวเดียวกับ เพราะตัวนี้แสงสี สู้แสงอาจจะไม่โหดมาก หรือไม่ลื่นไหลเท่าตัว Pro นั้นเองครับ แต่ถ้ามองในแง่ของการใช้งานนั้นถือว่ารองรับได้ดีแล้ว รวมถึงการสัมผัสรองรับการใช้งานลื่นไหล ติดนิ้ว และใช้งานร่วมกันกับปากกาได้ดี มุมมองอะไรทำได้ดีด้วยเช่นกัน แสงสีมิติพัฒนาดีขึ้นกว่ารุ่นก่อนหน้าได้ชัดเจนในจุดนี้ส่วนสเปกนั้นมาพร้อมกับ หน้าจอ Retina True Tone ขนาด 10.9 นิ้ว (2360 x 1640 พิกเซล), P3 Color Gamut, ความสว่าง 500 nits, 264 PPI งานออกแบบเต็มจอ พร้อมกับมีพื้นที่วางกล้องหน้ามาให้ตรงขอบด้านบนครับ

หน้าจอนั้นถ้ามองในการรองรับการดูหนัง หรือว่าดูคอนเทนต์อะไรนั้นถือว่ายังสามารถตอบโจทย์ได้ดีนะ สีสันอะไรอยู่ในระดับที่ใช้งานได้ แต่ถ้าถามว่าความสวยอิ่มในการดูหนังนั้นถือว่าธรรมดาแต่ก็ไม่ได้แย่ แต่ถ้าคาดหวังสีสวยๆสดมิติแน่นๆอาจจะไม่ได้ตอบโจทย์การใช้งานเท่าไรนักครับ ถ้าเอามาดูหนังทั่วไปไม่ได้เน้นเสพภาพเยอะมากก็สบายๆครับดีกว่ารุ่นก่อนหน้า หรือรุ่นเล็กอยู่แบบชัดเจน แต่ยังคงไม่เท่าตัว Pro ส่วนเรื่องของมุมมองหน้าจอนั้นรองรับการใช้งานได้ดีปกติไม่มีปัญหาในการมองแม้จะมองเอียงๆก็ตามครับ การสู้แสงอะไรถือว่าเพียงพอต่อการใช้งานทั่วไปได้ครับ

TOUCH AND PENCIL

การสัมผัสติดนิ้วนั้นถือว่ายังคงทำได้ดีตามมาตรฐานของทาง iPad และทาง Apple หลายๆรุ่นติดนิ้วมีความลื่นไหลในการใช้งานได้ดีมากๆตัวนึงและด้วยการออกแบบที่เต็มจอมากขึ้นทำให้การใช้งานหลายๆส่วนนั้นทำได้ดีด้วยเช่นกันครับ รวมถึงการใช้งานปากกาแน่นอนว่ารองรับการทำงานได้ดีเลยแหละทั้งตัวฟีเจอร์ปากกาเองรวมถึงความลื่นไหล แต่ถ้าใครเคยใช้ตัว Pro ที่หน้าจอ 120Hz มาก่อนและมาใช้งานตัวนี้แน่นอนว่าย่อมเห็นความต่างกันครับ แต่ถ้ามองเทียบกับหน้าจอรุ่นก่อน มาถึงรุ่นนี้ในตระกูล AIR นั้นถือว่าเป็นการที่พัฒนาขึ้นและได้สัมผัสประสบการณ์ที่เต็มตามากกว่าเดิม ใช้งานปากกาวาดอะไรได้เต็มที่มากขึ้นและงานออกแบบแบบเดียวกับรุ่นพี่ก็สามารถทำให้ใครหลายๆคน ที่งบไม่มากแต่อยากได้หน้าจอเต็มๆ ใช้งานปากกาได้ดีขึ้น รองรับการทำงานอิสระมากขึ้นก็ถือว่าแนะนำ

ปากกานั้นเทียบกันในเรื่องของปากกาล้วนๆเมื่อเทียบกับคู่แข่งต้องบอกกันตรงๆว่า iPadที่ใช้งาน Apple Pencil 2นั้น เป็นปากกาที่ดีอันดับต้นๆในบรรดา Tablet ทั้งความลื่นไหล ความเนียนในการใช้งานทั้งการเขียน การวาดรูป รวมถึงรองรับองศาการเอียงอะไรได้ดีมากๆ และในรุ่นนี้มีทั้งฟีเจอร์แปลงลายมือเป็นตัวอักษร และฟีเจอร์ Scribble ที่เข้ามาช่วยได้เยอะมากรวมถึงการใช้งาน ร่วมกันกับ Mac การซิงค์อะไรก็ทำได้ดีเช่นกัน ทำให้ปากกานอกเหนือจากความเนียนในการใช้งาน ยังคงมีการจับถือได้ค่อนข้างถนัดมือและน้ำหนักไม่เยอะเกินไป รวมถึงรองรับการสั่งงานสัมผัสได้ด้วย และ ชาร์จแบบไร้สายผ่านตรงขอบเครื่องทำให้การใช้งานนั้นไมมีปัญหาเลยในตัวนี้ ทั้งการวาด การไล่น้ำหนัก รวมถึงความต่อเนื่องเวลาเขียน จดงานต่างๆนั้นตอบโจทย์สำหรับ นักศึกษา หรือ สายงานวาดภาพ ออกแบบได้เป็นอย่างดี และ ยิ่งถ้าใครใช้งานร่วมกันกับ Mac จะสามารถทำอะไรได้อีกเยอะในการซิงค์ข้อมูลเข้า

SOUND SPEAKER 

ลำโพงในรุ่นนี้มีการใช้งานลำโพงคู่ ซ้ายขวาเมื่อถือแบบแนวนอนครับ แต่ทางด้านช่องลำโพงนั้นจะมีมาให้ 4 ช่องนะครับ แต่น่าเสียดายว่าลำโพงนั้นไม่ได้ใส่มาให้ 4 ตัวถือว่าแอบเสียดายเหมือนกันน่าจะจัดเต็มมาให้น่าจะดีกว่าส่วนเรื่องของเสียงจะออกลำโพงขอบเครื่องซ้ายขวา ในภาพนะครับแต่เสียงจริงๆนั้นด้วยความดังที่ดังมากระดับนึงทำให้เสียงมันจะออกช่องทั้งบนและล่างแบบนิดหน่อย และรวมถึงส่งผ่านไปทั้งรอบๆตัวเครื่อง จึงทำให้แม้เราจะจับแบบในภาพก็ไม่ได้บังเสียงลำโพงเลยแม้แต่น้อย เสียงยังคงออกมาได้ จะแตกต่างกับรุ่นอื่นๆที่เมื่อเอามือปิดจะไม่ได้ยินเสียงครับ แต่รุ่นนี้ปิดก็ยังสามารถได้ยินเสียงอยู่ เสียงที่ได้นั้นมีความดังกังวานและดีมากๆตัวนึง เสียงแน่นและฟังเพลง ดูหนังได้ดี ถือว่าเป็นลำโพงคู่ที่ดีตัวนึงเลยนั้นเองครับเป็นรองแค่รุ่นพี่ Pro เท่านั้น แต่เสียดายว่าตัวรู 3.5 มม. ออกไปแล้วครับทำให้ต้องใช้ตัวแปลงถ้าจะให้หูฟัง และแอบยุ่งยากแน่ๆ จึงแนะนำให้ซื้อหู TWS ไร้สายใช้งานจะดีที่สุดครับ

FINGERPRINT 

การสแกนนิ้วที่ทาง Apple บอกว่าเป็นสุดยอดนวัตกรรมนั้นจริงๆ การสแกนนิ้วแบบนี้เราจะเจอได้ใน SONY รุ่นก่อนๆหรือจะเป็น รุ่นใหม่ๆก็ใส่เทคโนโลยีนี้ใส่เข้ามาให้แล้วถือว่าเป็นเรื่องพื้นฐานมากๆ และปุ่มนั้นจะเป็นแบบกดลงไปได้ และสแกนนิ้วได้ในตัว จริงๆถ้านวัตกรรมนั้นควรจะใส่ Face ID มาให้ได้แล้วในหลายๆรุ่นครับ ไม่ควรมาแค่สแกนนิ้วอย่างเดียวแล้วในเรทราคาที่เพิ่มมาแบบนี้ ส่วนการสแกนนิ้วนั้นทำได้ไวไม่มีปัญหาอะไร รองรับได้ 5 นิ้วปกติ

BATTERY

แบตนั้นถือว่าเป็นจุดที่ค่อนข้างประทับในจุดนึงของทางด้าน iPad มานานครับทั้งเรื่องของอายุต่อการใช้งานชาร์จ 1 ครั้งรวมถึง การ Stanby ที่ปิดจอแล้วสามารถทิ้งข้ามวันได้ โดยที่เปิดมาอีกวันนึงก็ยังมีแบตเหลือพร้อมใช้งานไม่ได้หายไปเยอะ และรวมถึงการจัดการพลังงานพื้นหลังและใช้งานทั่วไปนั้นสบายๆ จากที่ทดสอบนั้นสามารถใช้งานทั้งวันได้เต็มๆ 9 ชั่วโมง และ แบตกลับมานั้นเหลือประมาณ 30% ครับ และหน้าจอเปิดบ้าง ประมาณ 4-5 ชั่วโมงเลย และสามารถชาร์จไว USB-C 20W PD ได้เลยในตัว และแถมมาให้ในกล่องไม่ได้ตัดออกไปไหนจุดนี้ถือว่าดี และใช้งาน USB-C แบบรุ่นพี่ PRO แล้วทำให้ใช้งานสายชาร์จทั่วไปได้และไม่ต้องไปซื้ออะไรให้ยุ่งยากเลยครับถือว่าดี และอยากให้ iPhone iPad ทุกรุ่นปรับมาใช้ USB-C ซักที จะได้รักษ์โลกตามที่อ้างและเป็นมาตรฐานเดียวกันทั้งหมด

CAMERA

กล้องหลัง 12MP (f/2.4), เลนส์ 5P, ฟิลเตอร์ อินฟราเรด Hybrid IR ถือว่าเป็นรุ่นที่ใส่กล้องหลังมาให้ตัวเดียวกับรุ่นพี่ iPad Pro เลยนั้นเองและในเรื่องของคุณภาพในการใช้งานจริงนั้นถือว่าทำได้ดีเลยแหละแม้จะไม่มีกล้องตัวที่สองหรือการถ่าย บุคคล ละลายหลังอะไรมาให้ครับแต่ก็รองรับการใช้งานทั่วไปได้ดีมากๆเพราะในบรรดา Tablet เองน้อยคนมากที่จะเอามาใช้ถ่ายรูปจริงจัง ส่วนกล้องนั้นรองรับการถ่ายวิดีโอสูงมากถึง 4K 60FPS เลยทีเดียว ส่วนในเรื่องของคุณภาพกล้องหน้าหลังในเวลากลางวันบอกเลยว่าสามารถตอบโจทย์ใช้งาน ถ่ายงานเอาไปใช้งานได้จริง ส่วนกลางคืนนั้น น่าเสียดายว่าไม่มีโหมดกลางคืน หรือ อะไรเข้ามาและอาจจะไม่ได้เด่นเท่าไรนักในสภาพแสงนี้ครับ

IPAD AIR GEN 4

”  iPad ที่ดีตัวนึงในการเริ่มต้นใช้งานที่มากขึ้น ดีไซน์ลงตัว และ ปากกายังคงน่าใช้งาน “

มันคือ iPad ที่ลงตัวในการใช้งานตัวนึง สำหรับคนที่ไม่มีงบไปถึง Pro และไม่ได้ทำงานระดับสูงแบบรุ่นนั้น แต่เอามาใช้งานทั่วไป จดงาน แต่งภาพ ตัดต่อระดับเริ่มต้น หรือจะทำงานระดับสูงก็ได้เพราะ A14 นั้นรองรับได้สบาย รวมถึงการรองรับปากการุ่นใหม่ที่ทำงานสะดวกขึ้นมาก และเป็นรุ่นที่ทำได้ลงตัวทั้งสเปก งานออกแบบ การใช้งาน เหมาะกับคนทั่วไปอย่างมากที่ไม่ต้อง เน้นกล้องมุมกว้าง หรือ จอ เสียงเทพมากแบบรุ่นพี่ แต่แค่ให้ดีกว่า iPad Air หรือ รุ่นทั่วไปนั้นตัว AIR 4 ถือว่าเป็นรุ่นที่พัฒนาขึ้นมาแบบชัดเจน หน้าจอสวยกว่าเดิม ลำโพงคู่ดีกว่าเดิม ออกแบบสวยแบบรุ่นพี่ครับ ส่วนเรื่องการงอนั้นยังไม่เจอปัญหานะครับ และแน่นอนว่าการปรับมาใช้งาน USB-C เป็นจุดหลักๆที่ทำให้มองข้ามรุ่นก่อน หรือ มองข้ามตัว iPad Gen 8 มาเป็นตัวนี้แทน ทั้งการรองรับอุปกรณ์เสริมที่ดีมากขึ้น และใช้งานร่วมกับอุปกรณ์อื่นได้ดีมากขึ้นครับ อีกทั้งระบบ iPad OS ยังคงไว้ใจได้และยกให้เป็น Tablet ที่น่าใช้งานมากๆตัวนึง ทั้งฝั่ง iOS Android เลยจริงๆ แต่ข้อน่าบ่นก็ยังคงมีราคาสูงขึ้นจากเดิม พวกเคส อุปกรณ์เสริมของค่ายเองนั้นก็แอบแพงครับ

แต่ในรีวิวนั้นจะเป็นเคสจากทาง Apple Sheep นะครับ เคสดีราคาไม่แพงเลย แต่เคสหลายๆตัวที่ขายในไทยตอนนี้จะไม่รองรับ การพับแล้วปิดหน้าจอให้ Auto Wake นั้นไม่รองรับนะครับต้องรอ หลายๆเคสแก้ไขกัน รวมถึงสแกนนิ้วบางยี่ห้อนั้นจะลำบากครับ ต้องถามร้านกันดีๆนะ แต่ทางร้านนี้ก็สแกนนิ้วได้ง่ายครับแต่ Auto Wake ยังไม่รองรับนะ แต่ถ้ามองในคุณภาพรวมๆถือว่าใช้งานแก้ขัดไปก่อนครับ เคสอะไรมีความแข็งแรงสวยเลยแหละตัวนี้

ข้อดี

  • หน้าจองานออกแบบมีความสวย เต็มตาและใช้งานได้ดี
  • งานออกแบบตัวเครื่อง สวยกว่ารุ่นเดิมแบบเท่าตัว
  • ประสิทธิภาพ A14 นั้นไร้ข้อติ รองรับการทำงานระดับสูงได้สบาย
  • แบตใช้งานได้อึดกว่าที่คิดและ stanby ได้ดีมาก
  • ปากกายังคงดีอันดับต้นๆ และฟีเจอร์ใช้งานดีขึ้น
  • ระบบ iPad OS ทำได้ดีลื่นไหล และ ฟีเจอร์ใช้งานครอบคลุมมากขึ้น
  • การซิงค์กับ Apple Device ยังคงโดดเด่น
  • ใช้งาน USB-C !
  • ยังคงแถม 20W Adaptor ชาร์จไฟ

ข้อสังเกต

  • ตัวเริ่มต้น 64 แอบไม่เพียงพอ
  • หน้าจอยังไม่เทพเท่ารุ่นพี่เท่าไร แต่ดีกว่าเดิมเยอะ
  • สีฟ้าแอบออกเทา และอ่อนไปมากๆ
  • อุปกรณ์เสริมของ Apple ย้งคงมีราคาสูง
  • ไม่มี Face ID และ รู 3.5 มม.

สำหรับรีวิวนี้ผมก็ต้องขอตัวลาไปก่อนสำหรับรุ่นอื่นๆก็ติดตามกันได้เลย ถูกใจฝากกดไลค์กดแชร์ด้วยนะครับ  มีข้อผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ  เพื่อนๆสนใจอยากให้พวกผมรีวิวรุ่นไหนสามารถ Inbox มาบอกเราได้เลยนะ   ฝากไลค์เพจ FACEBOOK เราด้วยนะครับ >>>>>>>>>  TECHHANGOUT

เข้าร่วมกลุ่ม TECHHANGOUT พูดคุยแลกเปลี่ยน ข้อมูล คุยกันเองชิลๆได้เลยที่ — Facebook  Techhangout พูดคุย Smartphone gadget 

Review by Nineztr 

*รูปถ่ายจากกล้องมือถือทุกรูป ไม่มีการปรับแต่ง และ สามารถกดดูไฟล์เต็มแบบต้นฉบับได้นะครับ