iPhone นั้นได้เปิดตัว iPhone 11 Series ไปแล้วอย่างเป็นทางการแน่นอนว่าในครั้งนี้นั้นได้ทำการเปิดตัวทั้งหมด 3 รุ่นหลักๆจะเป็น iPhone 11 ซึ่งตัวนี้จะมาแทน iPhone XR และ ในอีกรุ่นนั้นจะเป็น iPhone 11 Pro และ 11 Pro Max ซึ่งแน่นอนว่าเป็นตัวเทพที่ต่อจาก iPhone XS ก่อนหน้านี้ ต้องบอกว่ากระแสหลังเปิดตัวนั้นถือว่าน่าสนใจกว่าที่คิดโดยทั้งกล้องและฟีเจอร์ที่ใส่เข้ามาแลเป็นกล้อง 3 ตัวครั้งแรกและเป็นกล้องมุมกว้างด้วยครับ เป็นสิ่งที่หลายๆคนนั้นรอจากทาง Apple เลยก็ว่าได้ แต่เรื่องของการออกแบบเมื่อเห็นจากรูปที่หลุดๆหรือภาพบางส่วนนั้นแอบยังแปลกๆแต่พอเปิดตัวและได้เห็นภาพแบบชัดๆกลับทำได้ดีและสวยกว่าที่คิดไว้และการใช้งานวัสดุการออกแบบทำได้เนียนสวยงามแต่ทางด้านหน้านั้น ยังคงเป็นติ่งหน้าจอแบบเดิม และไม่มีการลดขนาดหรือเปลี่ยนแปลงอะไรเลย ยังคงมีความหนาของติ่งและใหญ่อยู่ทั้งๆที่หลายๆค่ายเริ่มจะปรับลดกันแล้วครับ แต่สเปคนั้นจัดเต็มๆกับ A13 ครับ

 iPhone 11 Pro เป็นตัวที่มีขนาดเล็กที่สุดแต่จะได้สเปคแบบเดียวกับรุ่น Pro Max เลย โดยในรุ่นนี้สีที่เด่นๆคือสีใหม่จะเป็นสี Midnight Green สีเขียวเทาๆ ต้องบอกว่าดูดีและเรียบๆรวมถึงตัวกล้องเม็ดไข่มุกก็ไม่ได้เด่นเกินไปด้วยครับ ทางด้านสเปคนั้นทาง iPhone 11 Pro มาพร้อมกับหน้าจอ 5.8 นิ้ว แบบ Super Retina XDR OLED พร้อมด้วยรองรับ HDR ครับ และยังคงมีติ่งหน้าจอ และรองรับ สว่างสูงสุด 1,200 นิต รวมถึงรองรับ DCI-P3 ครับ ทางด้าน CPU นั้นมาพร้อมกับ A13 Bionic ตัวเทพของค่ายครับ พร้อมด้วย RAM 4 GB STORAGE 64 GB และในรุ่นนี้มาพร้อมวัสดุ กระจกผิวด้านและสแตนเลส สตีล รองรับ IP68 กันน้ำลึก 4  เมตรมากกว่ารุ่นเดิม ได้นาน 30 นาที ทางด้านกล้องหลังนั้นเป็นกล้อง 3 ตัวครั้งแรกของค่ายและมาพร้อมกล้องมุมกว้างแล้วในครั้งนี้ กล้องหลัก 12MP f/1.8 + OIS กล้องมุมกว้าง 12MP f/2.0 120° + OIS  และ Tele x2 12MP f/2.4 ส่วนกล้องหน้านั้น 12MP f/2.2 ครับ ทางด้าน แบตให้มาที่ ขนาด 3,046 mAh และ รองรับ QC 18W+ และ ระบบเสียงลำโพงคู่ Atmos ครับ

iPhone นั้นเปิดราคาสำหรับตัว iPhone 11 Pro มาที่ 35,900 – 64GB/41,900-128 GB/48,900 -256GB ราคาก็ยังคงไม่หนีจากตัวเดิมเท่าไรสำหรับค่ายนี้ครับ ซึ่งตัวรีวิวนั้นโดนมาเป็นตัว 64 GB 

UNBOX

ทางด้านกล่องในรุ่นนี้มาในโทนสีดำ และโชว์ด้านหลังเครื่องแบบเต็มๆ ซึ่งในรุ่นก่อนๆนั้นจะเป็นการโชว์ด้านหน้าซะส่วนใหญ่ครับ แต่พอมารุ่นนี้ได้กลับมาใช้การโชว์ด้านหลังแบบรุ่น iPhone 8 แล้ว ตัวเครื่องสีเขียวโชว์กล้องที่เป็นจุดที่เด่นๆของรุ่นนี้ที่มีการเปลี่ยนแปลงมากที่สุด ส่วนในด้านหลังและด้านข้างก็เขียนรายละเอียด และ ชื่อรุ่นปกติ

  • ตัวเครื่อง iPhone 11 Pro
  • ที่ชาร์จ USB-C 18W PD
  • สายชาร์จ USB-C ไป LIGHTING
  • หูฟัง Lighting
  • คู่มือ และ ที่จิ้มซิม

ตัวชาร์จอันนี้เห็นแล้วน่าจะดีใจแทนกับสาวกครับ เป็นครั้งแรกที่ iPhone แถมที่ชาร์จแบบไวมาให้แล้ว !! แม้จะไม่ได้ไวเทพมากเมื่อเทียบกับ Android หลายๆตัวที่ไป 50W 40W กันหมดแล้วแต่ก็ยังดีกว่าตัวเดิมที่ให้มาเยอะครับ ในการชาร์จครั้งนี้จะใช้สาย USB-C ไป Lighting ไม่ได้เป็น USB-A แบบรุ่นก่อนๆแล้ว และก็มีขนาดใหญ่กว่าเดิมเล็กน้อยครับ รวมถึงรูปทรงที่เปลี่ยนไปด้วยนั้นเอง

DESIGN

มาที่งานออกแบบกันเลยต้องบอกว่าเป็นรุ่นที่เสียงบ่นน่าจะเยอะมาก ตั้งแต่เห็นรูปหลุดกันกับเจ้ากล้องหลัง 3 ตัวเม็ดไข่มุกที่ออกมาค่อนข้างแปลกและเด่นเกินหน้าเกินตามือถือมากๆครับ การจัดวางของมันเอาจริงๆมันไม่ค่อยสวยและไม่ลงตัวมากนักแต่พอตอนเปิดตัวออกมานั้น การใช้วัสดุ เงา ด้าน ผสมกัน และเมื่อดูรวมๆกลับดูดีกว่าที่คิด แต่ก็ยังไม่ได้สวยลงตัวทีเดียวครับ จุดนี้ยังคงดีไซน์ไม่ลงตัวเท่าไร แต่ชอบในแง่ของการใช้สีเขียวสีใหม่ที่ค่อนข้างสวยและเป็นแบบด้านมันทำให้ในภาพรวมมือถือมันดูสวยและเด่นกว่าเดิม และกลบกล้องแปลกๆไปได้ครับ ส่วนทางด้านขอบเครื่องใช้ สแตนเลสสวยงามและเงาเหมือนเดิมครับ ครั้งนี้สีเขียวก็ทำโทนออกมาได้ดูดีสวยจริงๆ แต่เรื่องของหน้าจอนั้นขอบ่นเลยว่ายังคงมีติ่งหนาๆใหญ่ๆไม่ได้มีการพัฒนาอะไรในส่วนนี้เลย และ น้ำหนักเครื่องแอบหนักเมื่อเทียบกับขนาดของมัน ครับ และความบางไม่ได้บางหรือเบากว่ารุ่นก่อนเลย

มาที่ด้านหน้ากันเลย ด้านหน้านั้นการออกแบบเหมือนเดิมทั้งหมด ถ้ามองแค่ด้านหน้าไม่รู้เลยว่ารุ่นใหม่ครับมาพร้อมหน้าจอ 5.8 นิ้ว Super Retina XDR OLED รองรับ 800 nits ดีกว่าเดิมครับในแบบปกติ

ในส่วนของขอบด้านล่างและขอบข้างๆนั้นยังคงทำได้บางเท่ากันเหมือนเดิมและถือว่าเป็นจุดที่หลายๆค่ายนั้นทำกันยังไม่ค่อยได้ครับในส่วนนี้ทำให้มันค่อนข้างสมมาตรและสวยในส่วนนี้ การควบคุมก็เป็นแบบ Gesture ปกติของค่ายนี้ครับผม

ในส่วนของขอบด้านบนนั้นจะเป็นติ่งหน้าจอแบบมหึมาของค่ายที่ยังคงเป็นแบบเดิมกับ iX iXS ก่อนหน้านี้ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงเลย แอบเสียดายจริงๆเพราะติ่งมันหนาใหญ่มากครับ แต่ก็ยัดมาด้วยเซนเซอร์ สแกนใบหน้า 3 มิติ และพวกเซนเซอร์วัดแสงอะไรอีกมากมาย และกล้องหน้า 12MP f/2.2

ขอบเครื่องด้านล่างนั้นเป็นที่อยู่ของ รูลำโพงหลัก และรูไมค์ในด้านขวา รวมถึงจะเห็นช่อง Lighting ตรงกลางของเครื่องครับ และขอบเครื่องค่อนข้างเงาเป็นวัสดุ สแตนเลส และสมมาตรกันทั้ง 2 ข้างครับ

มาที่ขอบเครื่องด้านขวากันบ้าง ด้านขวานี้จะเป็นปุ่ม Power หลักๆของเครื่องมีขนาดใหญ่พอสมควร และ ถาดใส่ซิม แบบ 1 SIM ครับ และ อีกซิมจะเป็นแบบ eSIM นะครับในรุ่นนี้

ในส่วนเครื่องด้านซ้ายนั้นจะเป็นที่อยู่ของตัวปุ่ม เพิ่ม ลด เสียงของเครื่อง และ สวิทช์หลักๆในการเปิดปิดเสียงที่เป็นเอกลักษณ์ของค่ายนี้มาตั้งแต่ยุคแรกครับ และจะเห็นเลยว่าเครื่องค่อนเงาและสมมาตรกันทั้งหน้าและหลังไม่ได้มีส่วนโค้งอะไรแต่อย่างใด

ขอบเครื่องด้านบนนั้นจะไม่มีอะไรพิเศษครับ จะเห็นตัวขีดเสาสัญญาณของเครื่อง และ เห็นว่าตัวกล้องนั้นก็ยังคงนูนออกมาจากเครื่องและฝาหลัง แต่ก็น้อยลงกว่ารุ่นก่อนแล้ว จริงๆก็ยังถือว่าเสี่ยงต่อการเป็นรอยอยู่ดี

ในด้านหลังเครื่องการวางกล้องยังคงตำแหน่งมุมซ้ายบนของเครื่อง ตั้งแต่รุ่นแรกๆก็ยังคงอิงการวางไว้มุมนี้แต่ที่เปลี่ยนนั้นจะเป็นการเปลี่ยนกล้องหรือจำนวนกล้องมากกว่าครับ ครั้งนี้มาในดีไซน์ที่แปลกตาและไม่ลงตัวเท่าไร เป็นวงกลม 3 วงในกรอบสี่เหลี่ยม และมีไฟแฟลช และ ไมค์แทรกอยู่ครับ แต่ที่อยากให้สังเกตกัน คือวัสดุของฝาหลังทั้งหมดนั้นเป็นแบบกระจกด้าน แต่ตรงส่วนกล้องนั้นเป็นกระจกเงาถือว่าเป็นการเล่นวัสดุที่สวยมากๆและทำได้ดี แต่กล้องยังคงแอบไม่ลงตัวอยู่ครับในส่วนนี้ แต่พอมันเป็นสีเขียวก็พอไหวอยู่แต่ถ้าสีขาว หรือ ทอง อาจจะเด่นกว่านี้พอสมควรครับ

กล้องหลังในรุ่นนี้มาพร้อมกับกล้องหลัง 3 ตัวเป็นครั้งแรกของทางค่ายและมาพร้อมกับ ระยะที่แตกต่างกันทั้งหมด 3 ระยะครับ เป็น มุมกว้าง มุมปกติ และ เทเล จะมาพร้อมกับกล้องหลักคือ 12MP F1.8 รองรับ OIS และ กล้องมุมกว้างนั้น 12 F2.4 และ กล้อง เทเล 12 F2.0 มาพร้อม OIS  และ ไฟแฟลช 2 สี พร้อม รูไมค์ขนาดใหญ่ในด้านหลังครับ ส่วนกล้อง 3 วงนั้นยังคงนูนกว่าตัวเครื่องพอสมควร

SPEC

  • หน้าจอแสดงผลขอบโค้งแบบ Super Retina XDR ขนาด 5.8 นิ้ว ความละเอียด 1125 x 2436 พิกเซล อัตราส่วนในการแสดงผลแบบ 19.5:9
  • CPU Apple A13 Bionic
  • RAM 4 GB 
  • STORAGE  64 GB, 256GB หรือ 512GB
  • กล้องดิจิทัลด้านหน้าความละเอียด 12 ล้านพิกเซล F2.2 
  • กล้องหลัง Triple Camera  กล้องตัวแรกเป็น Wide-Angle Camera ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล รูรับแสงขนาด F1.8 พร้อมระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบ OIS, กล้องตัวที่สองแบบ Telephoto Camera ความละเอียด 12  ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง F2.0 และกล้องตัวที่สามเป็น Ultra Wide-Camera ความละเอียด 12  ล้านพิกเซล มุมมอง 120 องศา รูรับแสงกว้าง F2.4 ไฟแฟลช
  • โหมด Night Mode สำหรับถ่ายภาพเวลากลางคืน
  • รองรับ Face ID การสแกนใบหน้า
  • ส่วนการเชื่อมต่อยังเป็น Lightning
  • แบตเตอรี่ความจุ 3,046 mAh 
  • ระบบการชาร์จ 18W และ ชาร์จไร้สาย
  • ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ iOS 13
  • ระบบเสียงรองรับ HDR10, Dolby Vision และ Dolby Atmos
  • ตัวเครื่องมีคุณสมบัติในการป้องกันน้ำและป้องกันฝุ่น ที่ระดับ IP68 
  • มีให้เลือกด้วยกันทั้งหมด 4 สี ได้แก่ Space Gray, Silver, Gold, Midnight Green
  • ขนาด: 144 x 71.4 x 8.1 มิลลิเมตร
  • หนัก: 188 กรัม

PERFORMANCE

ประสิทธิภาพแน่นอนว่าค่ายนี้เราคงไม่ต้องห่วงครับนำสบายๆแรงมาโดยตลอดเลยคือทาง Apple A13 Bionic เป็น  CPU ที่แรงที่สุดในตอนนี้เลยแหละทำคะแนนไปได้ 520224 คะแนนด้วย RAM 4GB เท่านั้นแต่เนื่องด้วยระบบอะไรจัดการได้ดีเลยทำให้มันเร็วและไหลลื่นที่สุดเลยครับ ส่วนทางด้านความปลอดภัยคงไม่ต้องถามเยอะรองรับสูงสุด Dolby Vision สบายๆ DRM L1 ปกติ ทางด้าน 3 มิตินั้นทำได้ 5325 คะแนนจาก 3D Mark Slingshot และ ความเร็วในการอ่านเขียนนั้นทำได้ 312 MB/s เป็น UFS แต่ยังไม่ใช่ UFS 3.0  ในภาพรวมนั้นค่ายนี้จะเป็นแบรนด์ที่ไม่ได้เน้น สเปคหวือหวา แต่ด้วยระบบความแรงอะไรของมันมันใช้งานได้ ลื่นไหล และเสถียรมากๆเป็นอันดับต้นๆของบรรดาค่ายมือถือเลยแหละครับ

SYSTEM UI 

หน้าตากันบ้างสำหรับหน้าตาของ iOS 13 เป็นตัวล่าสุดที่ปล่อยออกมามีความคลีนสวยงามมากกว่าเดิม ไอคอนอะไรต่างๆได้ถูกพัฒนาให้ดูดีและใช้งานง่ายขึ้นการจัดวางดูดีสวยงามกว่าเดิมครับ แน่นอนว่าเป็น UI ที่อิงการใช้งานจากรุ่นเดิมๆมาโดยตลอดทำให้ผู้ใช้งานหลายๆคนนั้นไม่อยากขยับไปแบรนด์อื่น ด้วย IOS 13 นั้นการควบคุมทั้งหมดพวก QuickSetting หรือ Control Center นั้นจะปัดจากมุมขวาแทนครับ ไม่ใช่ปัดจากด้านล่างแล้ว ส่วนการแจ้งเตือนก็ปัดตรงกลางปกติ สามารถตั้งค่า เปิดปิด อะไรได้หลากหลายเหมือนเดิมครับ แต่พวกการแบ่งหน้าจอยังไม่รองรับในตอนนี้ และที่เด่นๆคือการจัดการแอปในการใช้งานแม้จะเป็น 4GB Ram ก็ยังแบ่งจัดการอะไรได้ดีมากๆถือว่าระบบฉลาดพอสมควรครับ ส่วนการควบคุมนั้นยังคงใช้งานปัดขึ้น ซ้ายขวาเหมือนเดิมกับรุ่นก่อนหน้าที่ไม่มีปุ่ม Home ครับ

อีก 1 จุดเด่นคือโหมดกลางคืน ที่ไม่ใช่ Night Shift แต่เป็น Dark Mode ที่จะทำให้หน้าตาทั้งหมดกลายเป็นสีดำ และมาพร้อมกับธีมสีดำทั้งหมดในหลายๆแอปรวมถึงการตั้งค่า ใช้งานทั้งหมดเลย ทำให้ภาพรวมนั้นดูมืดและถนอมสายตาไปในตัว และรุ่นนี้ใช้งานจอ OLED เลยทำให้ภาพนั้นดำสนิทและใช้งานได้สวยและมีผลเรื่องแบตเล็กน้อยครับ

SCREEN

ในส่วนของหน้าจอนั้นในรุ่นนี้ยังคงมีหน้าจอขนาดเท่าเดิมกับ 5.8 นิ้วแต่มีการอัพเกรดการแสดงผลที่ดีขึ้น หน้าจอสว่างขึ้น โดยมาในชื่อ Super Retina XDR แบบ OLED ทั้งหน้าจอ ขนาด 5.8 นิ้ว รองรับ HDR ความละเอียด 2436 x 1125 พิกเซลที่ 458 ppi อัตราส่วนคอนทราสต์ 2,000,000:1 (ทั่วไป) รองรับการแสดงผล True Tone และ DCI P3 รวมถึงความสว่างรองรับสูงสุดที่ 800 Nits และ 1,200 Nits ในโหมด HDR จุดนี้ก็ถือว่าเป็นจุดที่สว่างกว่ารุ่นเดิมและเป็นจุดที่พัฒนาขึ้นครับ ในจอของ iPhone นั้นยังคงเด่นในเรื่องของขอบหน้าจอส่วนด้านล่างที่ขนาดเท่ากับข้างๆและด้านบน แม้อาจจะไม่ได้บางสุดๆแต่ความสม่ำเสมอเลยทำให้มันดูลงตัวเหมือนกันครับและรวมถึงความแม่นยำของหน้าจอที่สัมผัสได้ติดนิ้วและใช้งานได้ดีร่วมกับ UI ของมันเลยให้ประสบการ์ณที่ดี

มุมมองของหน้าจอนั้นทำได้ดีมากๆ สามารถมองได้สบายๆและความสว่างในการสู้แสงนั้นทำได้ดีในภาพคือทดลองเปิด HDR ดูนะครับจะเห็นว่ามิติของภาพสวยและคมชัด สว่างมากๆ และในเรื่องของการสัมผัสหน้าจอนั้นตัวนี้ 120Hz ในการสัมผัสครับแต่ ตัว Refresh Rate ของหน้าจอนั้นยังคงเหมือนรุ่นเดิม แน่นอนว่าการสัมผัสมันติดนิ้วได้ไวมากๆและเป็นจุดที่หลายๆค่ายยังทำได้ไม่ดีเท่า แต่ก็มีใกล้เคียงกันหลายตัวแล้วในตอนนี้ แต่ที่ขอบ่นเลยคือติ่งหน้าจอนั้นยังคงหนามากๆ และ ไม่ได้มีการลดพื้นที่หรือออกแบบให้เล็กลงกว่านี้เท่าไรครับ

FACE ID นั้นถือว่าเป็นระบบที่เปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ถ้าหากใครจำกันได้ตอน iPhone X นั้นเองและได้พัฒนาและดีขึ้นเรื่อยๆครับแต่ขนาดติ่งหน้าจอยังคงหนามากพอสมควรเลย แต่แลกกับมาด้วยความแม่นยำ และใช้งานได้ปลอดภัยที่สุดคงต้องยอมค่ายนี้ครับ และใช้งานระบบสแกนแบบ 3 มิติทั่วใบหน้าทำให้มันแม่นยำกว่ารุ่นอื่นๆเยอะมาก ส่วนพวก Android ที่ใกล้เคียงจะมีของ HUAWEI – PIXEL นั้นเองที่หลักๆจะยังคงใช้ระบบ 3 มิติทำให้ปลอดภัยกว่าแบบ 2 มิติครับ ส่วนเรื่องความเร็วนั้นยังคงประทับใจ แค่เหลือบมองก็ติดแล้วและยกขึ้นมาก็สามารถสแกนใบหน้าได้เลยครับ

SOUND

ระบบเสียงนั้นค่ายนี้ได้ตัดรู 3.5มม.เป็นค่ายแรกๆเลยก็ว่าได้ครับแต่ก่อนหน้าก็มีบางค่ายชิงตัดออกไปก่อนแล้วบางตัว แน่นอนว่าในตอนแรกหลายๆคนบ่นแต่ตอนนี้กลับตัด 3.5มม.กันหมดแล้วตามมากันทั้งหมดเลยไม่เว้นแม้แต่ Pixel ที่เคยแซว iPhone ไปตอนนั้นในแง่ของการใช้งานแน่นอนว่าลำบากขึ้นแต่หลังๆมันเข้าสู่ยุคไร้สายกันหมดแล้วครับเลยทำให้มันกลายเป็นเรื่องปกติแล้วในตอนนี้ ระบบเสียงนั้นรุ่นก่อนๆทาง iPhone นั้นไม่ได้เน้นแต่ที่รู้สึกได้คือชิพเสียงนั้นมีคุณภาพมาโดยเสมอตั้งแต่ยุคแรกๆ และในรุ่นนี้ก็ยังคงทำได้ดีแม้จะไม่ได้โหดมากแต่ก็ดีกว่าเรือธงตัวอื่นๆครับ โดยทดสอบผ่านตัวแปลงของเดิม และ หูฟังมากับเครื่อง เสียงที่ได้นั้นรู้สึกได้เลยว่ามันอิ่ม และมีมิติพอสมควรไม่แบนไม่แห้ง เสียงมีน้ำนวลดีเลยแหละ รายละเอียดดีเสียงไม่แหลมจัด แต่เรื่องเบสนั้นจะอ่อนพอสมควรเบาๆบางๆไม่กระแทน เสียงจะแนวๆผู้ดีนิดหน่อยครับ ส่วนกำลังขับนั้นทำได้ดีพอสมควรแต่อาจจะไม่ได้โหดสุดเท่าที่เคยลองมานัก

ส่วนหูฟังนั้นยังคงเป็นทรงเดิมที่คุ้นเคยและยังใช้แบบเดิมทั้งหมดเลยเป็นหูฟังทรงสีขาวมาพร้อมกับทรง Earbuds ที่ใส่สบายๆ ออกกำลังกายง่ายและมีไมค์ ปุ่มควบคุมมาให้ทั้งหมด สายสีขาวอาจจะเลอะง่ายนิดหน่อยครับ หัวเป็นแบบ Lighting เหมือนกับรุ่น 7+ เลยไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรครับ เสียงก็เหมือนเดิมเลยเรียกได้ว่าเดิมๆมาานานมากไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรเท่าไรสำหรับหูฟังครับ เสียงฟังได้กลางๆทั่วไป รายละเอียดดี ฟังง่ายๆ เบสไม่ค่อยมานัก เอามาใช้แก้ขัดได้แต่ถ้าสายฟังเพลงอาจจะไม่ได้ดีเท่าไรนัก แต่มันเป็นหูฟังที่ใส่ออกกำลังได้ดีเลยแหละ น้ำหนักเบา ใส่สบายเสียงชัด ด้วยรูปทรงของมัน และ เสียงคุยอะไรชัดเจนดีครับ แต่ถ้าใครชอบเบสแน่นๆตัวนี้อาจจะไม่ได้เน้นจุดนั้น

SPEAKER 

ลำโพงในรุ่น XS Max ได้ตำแหน่งลำโพงที่ดีสุดในบรรดา Smartphone ไปในปีที่แล้วครับ แต่มารุ่นนี้เหมือนลำโพงจะไม่ได้แตกต่างกันเท่าไรนัก ลำโพงรุ่น XS Max ยังแอบทำได้ดีกว่าด้วยนะอันนี้แอดมินไปเทียบ 11Pro Max มาแล้วก็เรียกได้ว่าพอๆกันเลยครับในเรื่องมิติเสียง ความดังสะใจต่างๆไม่ได้ดีขึ้นมากนักแต่เมื่อเทียบเรือธงหลายๆตัวมันก็ยังคงทำได้โดดเด่นเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน เป็นลำโพงคู่รองรับ Dolby Atmos +Spatial Audio ครับสำหรับรุ่นนี้

GPS

ในเรื่องของการนำทางนั้นค่ายนี้สบายๆอีกแล้วไม่เจอปัญหาอะไรครับใช้งานนำทางได้สบายๆแม่นยำไม่หลุดไม่เอ๋ออะไรเลย ทั้งใช้งานของ Google Maps และ จากทาง Apple เองครับสามารถใช้งานได้ดีทั้งความเร็วสุด หรือ ใต้ทางด่วน อุโมงค์อะไรเรื่องการนำทางนั้นไว้ใจได้เลยและด้วยราคาของมันเลยทำได้สมราคาและดีสุดในบรรดามือถือ

BATTERY 

การใช้งานแบตรุ่นนี้ถือว่าอึดขึ้นแต่ก็ไม่ได้เยอะจากรุ่นเดิมมากเท่าไรนักครับโดยใช้งานไปทั้งหมด 10 ชั่วโมงก็เหลือๆประมาณ20-30% ครับใช้งานทั่วไปทั้งวันเลยแน่นอนว่าการจัดการแบตค่ายนี้อึดอยุ่ถ้าเป็นรุ่น MAX แต่พอมาเป็นรุ่นเล็กอาจจะไม่ได้อึดมากเท่าไรนัก ถ้าหากใครใช้งานหนักๆเพียงพอทั้งวันได้แบบพอดีๆ ถือว่าเป็นระดับกลางๆของมือถือที่ได้ลองกันมาครับ ส่วนการชาร์จนั้นจะยังคงช้ากว่าคู่แข่งไปเยอะพอสมควร แต่ดีกว่ารุ่นก่อนหน้าเยอะมากกแล้วเพราะครั้งนี้แถมหัวชาร์จแบบไวมาให้แล้วด้วยในกล่องครับเป็น 18W Fastcharging ถือว่าเป็นจุดที่ดีสุดในรุ่นนี้ !

CAMERA 

ในส่วนของกล้องตัวแรกเป็น Wide-Angle Camera ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล รูรับแสงขนาด ƒ/1.8 พร้อมระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบ OIS, กล้องตัวที่สองแบบ Telephoto Camera ความละเอียด 12  ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.0 และกล้องตัวที่สามเป็น Ultra Wide-Camera ความละเอียด 12  ล้านพิกเซล มุมมอง 120 องศา รูรับแสงกว้าง f/2.4 ไฟแฟลช เป็นครั้งแรกที่ใส่มุมกว้างเข้ามาจริงๆถือว่าน่าสนใจเพราะมุมกว้างนั้นในยุคนี้หลายๆค่ายให้กันมาหมดแล้วและทำให้ถ่ายภาพมันสนุกและได้มุมมองแปลกใหม่มากขึ้นครับ รวมถึงการถ่ายวีดีโอด้วย และในเรื่องของกันสั่นก็ได้ใส่ OIS มาให้ ทั้ง 2 เลนส์หลัก ส่วนฟีเจอร์ในการถ่ายก็มีเข้ามาทั้ง Portrait ที่พัฒนาขึ้น และ ฟีเจอร์ Deep Fusion ที่กำลังจะมีใส่เข้ามาในอนาคตครับ ถือว่าเรื่องของกล้องทำได้ดีจริงๆ แต่ที่ลองนั้นยังมีภาพที่ติดอมเหลืองเล็กๆในบางสภาพแสง และ การเบลอถ้าไม่ใช่คนนั้นอาจจะไม่ค่อยเนียนมากนักครับ และที่น่าสนใจนั้นคือ Nightmode ที่ได้ใส่เข้ามาแล้วทำให้ถ่ายกลางคืนได้สว่างมากขึ้น แต่ก็ไม่ได้เวอร์เกินไปอันนี้ชอบมากจริงๆมันสว่างขึ้นแบบ สมจริง ไม่ได้ดันสว่าง เวอร์หรือ ทำให้ภาพนั้นหลอกตามากเกินไปนั้นเองครับ

การซูมของรุ่นนี้นั้นจะเป็นแป้นวงกลมถือว่าออกแบบมาได้ใช้งานง่ายสะดวกครับ แต่ที่บอกว่าซูมไม่มีรอยต่อของเลนส์ยังคงมีอยู่และสะดุดพอสมควรครับเป็นปกติของระยะเลนส์ไม่มีค่ายไหนทำแบบไม่สะดุดได้เลยในตอนนี้ครับ

SELFIES 

การถ่ายกล้องหน้าในรุ่นนี้มาพร้อมกับกล้องตัวเดียวแต่สามารถใช้งานเลนส์มุมกว้างได้ครับปรับให้รับภาพได้กว้างขึ้นนิดหน่อยและมีละลายหลังอะไรมาให้ครบๆพร้อมใช้งาน และใส่ฟีเจอร์ Slowfie ในการถ่ายวีดีโอกล้องหน้าแบบ SLOWMOTION ได้ส่วนคุณภาพอะไรนั้นยังคงรักษามาตรฐานได้ดีคือสมจริง ชัดเจน และไม่หลอกตาครับ มุมภาพกว้างกำลังดี และละลายหลังได้สวยงาม iPhone นั้นถือว่าเป็นค่ายที่ละลายหลังถ่ายคนได้เนียนที่สุดแล้วจริงๆแต่ถ่ายสิ่งของอาจจะไม่ได้ดีเท่าไรนักครับ ไปดูภาพตัวอย่างกันได้เลยจะเห็นว่ามีความจริงเยอะมากแต่ก็ดีกว่ารุ่นก่อนๆแล้วนะ

VIDEO 

งานวีดีโอที่ดีที่สุดในปี 2019 เป็นมือถือที่ถ่ายวีดีโอได้ดีที่สุดในปีนี้ และยกให้เลยถ้าใครเน้นการถ่ายวีดีโอครับ ทั้งกล้องหน้าหลัง การใช้งานเลนส์ 3 ระยะ การกันสั่น ระบบเสียง และคุณภาพไฟล์ที่เอามาดึงสี แต่งสีได้ดีมากๆพร้อมกับไฟล์ที่ยืดหยุ่นที่สุด ต้องยอมรับจริงๆในจุดนี้เพราะมันดีมากจริงๆครับรวมถึงถ่ายได้สูงสุด 4K 60FPS ได้แบบสวยๆนุ่มๆเลย และได้ทั้งกล้องหน้าและกล้องหลังด้วยครับถือว่าโหดเอาเรื่องและยังใช้งาน 3 เลนส์พร้อมกันได้ ในแอปเสริม บอกเลยว่าโหดกว่านี้ก็มีแค่ iPhone 12 แล้วแหละครับ

IPHONE 11 PRO 

” ลงตัว งานดีเช่นเดิม พร้อมการปรับปรุงข้อเสียจากรุ่นก่อน ลงตัวขึ้นมาก “

เป็น iPhone ในรอบหลายๆรุ่นที่แอดมินกล้าแนะนำแบบจริงจังเหนือ Android รุ่นอื่นๆเพราะมันปรับปรุง เปลี่ยนแปลงกล้าใส่อะไรหลายๆอย่างเข้ามาครบๆจากรุ่นเดิมที่บ่นๆกันไปทั้งกล้อง ชาร์จไว อะไรทั้งหลายครับถือว่าลงตัวมากจริงๆ และ กล้องโหดเลยแหละ รวมถึงงานวีดีโอนั้นดีมากกก อีกทั้งระบบยังคงไว้ใจได้และนิ่งๆ แรงเหมือนเดิม พร้อมกับวัสดุที่สวยและตัวจริงมันสวยกว่าตอนรูปหลุดเยอะอยู่นะ เป็น iPhone ที่ลงตัวที่สุดในรอบหลายปีของมัน แต่ยังขัดใจดีไซน์ติ่งด้านหน้ากับฟีเจอร์บางอันน่าจะใส่เข้ามามากกว่านี้ครับ แต่ภาพรวมนั้นประทับใจอยู่สำหรับรุ่นนี้ และถ้าใครอยากลองย้ายจาก Android มาลองครั้งนี้อาจจะถึงเวลาสมควรที่หันมาใช้และถ้าเน้นวีดีโอด้วยแล้วยิ่งตอบโจทย์ แต่ความอิสระบางอย่างอาจจะยังสู้ Android ยังไม่ได้นั้นเอง

ข้อดี

  • หน้าจอทำได้สวย มีมิติ และ สู้แสง รวมถึงระบบสัมผัสติดนิ้วไวมากๆ
  • กล้องหลัง 3 ตัวทำงานได้ดีทั้งเรื่องของมุมมอง และ คุณภาพ
  • กล้องหน้าหลัง ที่ถ่ายวีดีโอที่ดีที่สุดในปี 2019
  • วัสดุคุณภาพยังคงทำได้ดี ผิวสัมผัสดี
  • ขนาดกำลังดี ไม่หนัก ไม่หนาเกินไป สำหรับตัว 11 Pro
  • ระบบ iOS 13 ยังคงทำได้ลื่นไหล และ นิ่ง สวยงามขึ้น
  • ระบบอัดเสียงทำได้ดี
  • ประสิทธิภาพในการใช้งาน เร็ว และ แรง เล่นเกมได้ดี

ข้อสังเกต 

  • ติ่งหน้าจอยังคงมีขนาดใหญ่พอสมควร
  • ดีไซน์กล้องหลังยังไม่ลงตัวเท่าไร
  • ไม่แถมตัวแปลง 3.5มม.
  • ยังคงใช้ Lighting
  • ชาร์จไวสุดยังแค่ 18W

สำหรับรีวิวนี้ผมก็ต้องขอตัวลาไปก่อนสำหรับรุ่นอื่นๆก็ติดตามกันได้เลย ถูกใจฝากกดไลค์กดแชร์ด้วยนะครับ  มีข้อผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ  เพื่อนๆสนใจอยากให้พวกผมรีวิวรุ่นไหนสามารถ Inbox มาบอกเราได้เลยนะ

ฝากไลค์เพจ FACEBOOK เราด้วยนะครับ >>>>>>>>>  TECHHANGOUT

เข้าร่วมกลุ่ม TECHHANGOUT พูดคุยแลกเปลี่ยน ข้อมูล คุยกันเองชิลๆได้เลยที่ — Facebook  Techhangout พูดคุย Smartphone gadget 

Review by Nineztr 

*รูปถ่ายจากกล้องมือถือทุกรูป ไม่มีการปรับแต่ง และ สามารถกดดูไฟล์เต็มแบบต้นฉบับได้นะครับ