Apple ได้ทำการเปิดตัว iPhone 12 Series ทั้งหลากหลายรุ่นเช่น iPhone 12 / 12 Mini / 12 Pro / 12 Pro Max เรียกได้ว่าจัดเต็ม และครั้งนี้เราจัดรุ่นเทพ 12 Pro Max มาให้ชมกัน มาพร้อมกับหน้าจอ Super Retina XDR ที่ผลิตด้วยกระจก Ceramic Shield ซึ่งเป็นเทคโนโลยีใหม่ของ Corning ที่ทนทานต่อการตกมากกว่าเดิมถึง 4x นอกจากนี้ตัวเครื่องยังกันน้ำและกันฝุ่นมาตรฐาน IP68 ที่สามารถกันน้ำได้ 6 เมตรเป็นเวลา 30 นาที กล้องหลังมีจำนวน 3 ตัว กล้องมุมกว้าง 12MP และกล้อง Ultra-wide 12MP  สำหรับ iPhone 12 Pro Max กล้องตัวที่สามจะใช้เป็นกล้องเทเลโฟโต้ 12MP เช่นเดียวกันแต่สามารถซูมแบบ optical ได้ 5x และทั้งคู่ยังมาพร้อมเซนเซอร์ LiDAR สำหรับตรวจจับความลึกเพื่อใช้งาน AR และถ่ายภาพ Night mode portrait ด้วย ยังรองรับการใช้เคสหรือแท่นชาร์จไร้สายผ่านแม่เหล็กที่ด้านหลังตัวเครื่อง โดยใช้ฮาร์ดแวร์ที่ชื่อว่า MagSafe ซึ่งสามารถชาร์จแบตได้โดยไม่ต้องถอดเคสได้ด้วย ถือว่าเป็นรุ่นที่มีการปรับเปลี่ยนอะไรหลากหลายอย่างมากขึ้นรวมถึงดีไซน์เหลี่ยม แต่ที่น่าเสียดายคือ ในกล่องนั้นไม่ได้แถม  หูฟัง ไม่แถม Adaptor ชาร์จไฟมาให้แล้วแอบเสียดายอย่างมาก ในรุ่นนี้

Apple iPhone 12 Pro Max นั้นเป็นรุ่นที่จอใหญ่และสเปกแน่นที่สุดในบรรดาตระกูลนี้ มาพร้อมกับการใช้งาน CPU Apple A14 Bionic 5nm ตัวล่าสุดพร้อมกับคะแนนที่เร็วแรงเอาเรื่อง และใช้งานหน้าจอ  OLED Super Retina XDR ขนาด 6.7 นิ้ว (2,778×1,284พิกเซล) รองรับ HDR, Dolby Vision, ใช้กระจก Ceramic Shield แต่น่าเสียดายว่ายังเป็น 60Hz ครับ ส่วนงานออกแบบก็เป็นแบบเดิมเป๊ะๆ พร้อมกับกล้องหลัง  กล้องหลังมุมกว้าง 12MP (f/1.6) ที่รองรับ Sensor-shift OIS + กล้อง Ultra-wide 120 องศา 12MP (f/2.4) + กล้องเทเลโฟโต้ 12MP (f/2.2) สำหรับถ่าย portrait และซูมเข้าแบบ optical ได้ 5x,แบบ digital ได้ 12x และสามารถถ่ายภาพ Night mode portrait และจับระยะต่างๆได้ด้วยเซนเซอร์ LiDAR scanner อีกทั้ง กล้องหน้าก็ให้มาที่ 12MP เช่นกันพร้อมกับ FACE ID และเซนเซอร์ตรวจจับระยะต่างๆ แน่นอนว่ายังคง กันน้ำและกันฝุ่น IP68 แต่กันน้ำได้ลึกกว้ามาตรฐานทั่วไป พร้อมกับ ใช้งานลำโพงคู่ และ พอร์ตยังคงเป็น Lighting และจุดเด่นๆเลยคือการรองรับ 5G พร้อมใช้งาน ส่วนทางด้าน แบตเตอรี่ความจุ 3,687mAh รองรับการชาร์จไว 20W สูงสุดครับตัวนี้ ส่วนทางด้านงานออกแบบนั้นกลับไปใช้งานออกแบบเหลี่ยมๆตามสไตล์ยุคก่อนหน้าแต่เปลี่ยนวัสดุแบบใหม่ กล้องให้ใหญ่ขึ้น และ ขอบเครื่องแบบสแตนเลสขัดเงาสวยงามครับ และเท่าที่ทดสอบนั้นไม่เจออาการบาดมืออะไรนะครับตัวนี้

iPhone 12 Pro MAX เปิดราคามาที่ RAM 6GB 128GB 39,900 บาท // RAM 6GB 256GB 43,900 บาท  // RAM 6GB 512GB  51,900 บาท

UNBOX

กล่องที่บางขึ้น สวยขึ้น ของน้อยลง ! ในรุ่นนี้เรียกได้ว่าเป็นที่ ฮือฮามากๆตัวนึงในการตัดหูฟังออกไป ไม่ให้มาในกล่องแล้ว รวมถึง ไม่มีที่ชาร์จ หรือ Adaptor ใส่เข้ามาให้แล้ว มีแค่สายแถมเข้ามาเท่านั้น และ สติกเกอร์เหลือ 1 ชิ้น โดยเป็นเหตุผลการรักษ์โลก จริงๆแอบฟังไม่ขึ้นถ้ามุมมองของแอดอยากให้ใช้งานได้หลากหลาย กล้าที่จะเปลี่ยนมาใช้งาน USB-C ให้เหมือนทุกคนน่าจะช่วยได้อีกเยอะกว่าหลายเท่าตัวครับ แอบขอบ่นนิดหน่อย และ สาย USB-C ไป Lighting ก็ใช้กับหัวแถมเก่าๆไม่ได้ด้วยนะ ต้องใช้หัวที่รองรับ USB-C แบบใหม่

  • ตัวเครื่อง iPhone 12 Pro MAX
  • สติกเกอร์ Apple
  • สายชาร์จ USB-C ไป ยัง Lighting
  • คู่มือ และ ที่จิ้มซิม

DESIGN

งานออกแบบมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุดตั้งแต่ยุค iPhone 6 ไม่ใช่แค่หน้าจอหรือฝาหลังแต่ครั้งนี้เป็นการปรับมาใช้งานออกแบบเหลี่ยมๆแบบในยุค iPhone 4 – 5s อีกครั้งนึงเป็นการย้อนกลับไปในยุคคลาสสิกอีกครั้ง แน่นอนว่าแม้จะกลับไปดีไซน์เดิมแต่ก็เปลี่ยนแปลงวัสดุมาใช้สแตนเลสคล้ายกับรุ่น 11 Promax และเพิ่มสีน้ำเงินเข้ามาใหม่แน่นอนว่าการออกแบบเหลี่ยมๆทำให้แอบจับยากและถือยากเมื่อเทียบกับขนาดและน้ำหนักของมันอยู่บ้าง แต่ความสวยงามของตัวเครื่องหน้าหลังเรียบๆแบบนี้เป็นสิ่งที่ห่างหายไปนานมากๆสำหรับค่ายนี้ ส่วนงานประกอบสวยงามแน่นเช่นเดิม แต่น้ำหนักบอกเลยว่า แอบหนักในการถือใช้งานนานๆและเมื่อมีเคสยิ่งทำให้หนักกว่าค่ายอื่นๆแบบชัดเจน

ทางด้าน หน้าจอ OLED Super Retina XDR ขนาด 6.7 นิ้ว (2,778×1,284พิกเซล) รองรับ HDR, Dolby Vision, ใช้กระจก Ceramic Shield เป็นกระจกที่แข็งแรงที่สุดของค่าย และขอบอะไรบางขึ้นเยอะมากไม่มีขอบโค้งอะไรทั้งนั้นเป็นหน้าจอแบบเรียบๆทั้งหมดก็ถือว่าสวยงามไปอีกแบบ แต่ดีไซน์ติ่งหน้าจอยังใหญ่และเกะกะมากๆ

ขอบด้านล่างค่ายนี้ยังคงทำได้บางเท่ากับส่วนอื่นๆและยังคงสวยงามอีกทั้งยิ่งได้หน้าจอแบบนี้ทำให้มันเรียบเนียนไปทั้งหมดสวยงาม และ ปุ่มการควบคุมเป็น Gesture ตามสไตล์ของค่ายนี้เช่นเดิมครับถือว่าเต็มหน้าจอใช้งานได้ดี

ขอบด้านบนนั้นจริงๆตำแหน่งติ่งหน้าจอยังคงใหญ่ เกะกะเช่นเดิมพร้อมกับกล้องหน้า 12MP และ ลำโพง รวมถึงเซนเซอร์ทั้งหมดในการใช้งาน สแกนใบหน้า 3 มิติ FACE ID รวมถึงเซนเซอร์ในการใช้งานด้านอื่นๆทั้งหมดครับ

ขอบเครื่องอย่างที่บอกไปนั้นจะเป็นขอบเงาสะท้อนแสงสวยงามทั้งหมด แต่เราจะถ่ายให้เห็นพอร์ตต่างๆมาให้เน้นชัดๆครับซึ่งของจริงจะเงาแบบกระจกเลยแต่จะเป็นสีน้ำเงิน ในด้านล่างนั้นจะเป็น รูไมค์ และ ลำโพงในด้านขวาครับ พร้อมกับยังคงใช้งาน Lighting และไม่ได้ปรับไปใช้งาน USB-C แบบ iPad ซะทีแอบน่าเสียดายมากๆครับ

ขอบเครื่องด้านซ้ายนั้นเราจะเห็นตัว Slider ที่เปิดกับปิดเสียงทื่เป็นเอกลักษณ์มานานมากๆของค่ายนี้ พร้อมกับ ปุ่มที่เป็นเพิ่ม ลด เสียง  และ ถาดซิม 1 ซิมใส่เข้ามา และรองรับ eSIM ในตัวเครื่องมาให้เรียบร้อยสำหรับโมเดลไทย

ด้านขวานั้นจะเห็นว่าตัวเครื่องหน้าจอนั้นมีความเรียบแบนทั้งหมด ไม่มีส่วนโค้งนูนอะไรทั้งนั้นและมีปุ่ม Power เปิดปิดมาให้ในด้านขวาตัวเครื่อง พร้อมใช้งานและจะเห็นขีดเสาสัญญาณปกติครับ วัสดุขอบเป็นสแตนเลสปัดเงาทั้งหมด

ฝาหลังนั้นมาพร้อมกับสีน้ำเงินเข้มๆสวยงามเป็นการเล่นลวดลายวัสดุฝาหลังแบบด้านพร้อมกับพื้นผิวสัมผัสสวยงามเล่นกับแสงคล้ายกับกระจกฝ้าครับ ทำให้ค่อนข้างสวยเลยนะ คล้ายๆกับ 11 Pro แต่กล้องหลังใหญ่ขึ้น มีเซนเซอร์แทรกเข้ามามากขึ้นครับ และการวางกล้องหลักยังคงเป็นเม็ดไข่มุก 3 ก้อนอยู่ และ โลโก้ APPLE ตรงกลางเครื่องฝาหลังจริงๆถือว่าสวยและเรียบแต่น้ำหนัก ความเหลี่ยมของตัวเครื่องเป็นจุดที่อาจจะไม่ค่อยชอบเท่าไรนัก มีน้ำหนัก 226 กรัมเลยทีเดียวตัวเครื่องเปล่าๆ แอบหนักไปจริงๆ งานออกแบบฝาหลังยังต่อยอดจากเดิมครับไม่หนีกัน

กล้องหลังนั้นเป็นจุดที่น่าบ่นจริงๆคึอการออกแบบ 3 เลนส์นูนแบบนี้แยกกันทำให้มันมีส่วนช่องว่างระหว่างเลนส์เยอะมากทำให้ฝุ่นเข้าไปเกาะได้ง่ายและเช็ดออกได้ยาก จริงๆน่าจะทำให้มีฝากระจกครอบแบบ 4 เหลี่ยมจะดีกว่าครับ ส่วนตรงกล้องนั้นจะเป็นวัสดุแบบเงาตัดกับฝาหลังได้ดี พร้อมกับแทรกเซนเซอร์ LiDAR เข้ามามุมขวาล่างและมีรูไมค์ ส่วนกล้องหลังนั้นมาพร้อมกับ 3 ตัว ความละเอียดเท่ากันทั้งหมด  มุมกว้าง 12MP (f/1.6) ที่รองรับ Sensor-shift OIS + กล้อง Ultra-wide 120 องศา 12MP (f/2.4) + กล้องเทเลโฟโต้ 12MP (f/2.2) สำหรับถ่าย portrait และซูมเข้าแบบ optical ได้ 5x,แบบ digital ได้ 12x และสามารถถ่ายภาพ Night mode portrait ได้ด้วยเซนเซอร์ LiDAR scanner ในการจับระยะที่ดีมากขึ้นกว่าเดิม และ ปรับปรุงเซนเซอร์ให้ดีขึ้นด้วยครับ

SPEC

  • หน้าจอ OLED Super Retina XDR ขนาด 6.7 นิ้ว (2,778×1,284พิกเซล) รองรับ HDR, Dolby Vision, ใช้กระจก Ceramic Shield
  • ชิปประมวลผล A14 Bionic 5nm
  • RAM 6GB + ความจำ 128GB/256GB/512GB
  • iOS 14
  • กล้องหลังมุมกว้าง 12MP (f/1.6) ที่รองรับ Sensor-shift OIS + กล้อง Ultra-wide 120 องศา 12MP (f/2.4) + กล้องเทเลโฟโต้ 12MP (f/2.2) สำหรับถ่าย portrait และซูมเข้าแบบ optical ได้ 5x,แบบ digital ได้ 12x และสามารถถ่ายภาพ Night mode portrait ได้ด้วยเซนเซอร์ LiDAR scanner
  • กล้องหน้าตรวจจับความลึก 12MP (f/2.2)
  • รองรับ Face ID
  • ขนาดตัวเครื่อง : 160.8 ×78.1×7.4มม.; น้ำหนัก 226 น้ำหนัก
  • กันน้ำและกันฝุ่น IP68
  • ใช้พอร์ต Lightning และลำโพง stereo
  • รองรับเครือข่าย 5G (sub‑6 GHz), Gigabit-class LTE, Wi‑Fi 6 802.11ax, Bluetooth 5.0, NFC, GPS และ GLONASS
  • แบตเตอรี่ความจุ 3,687mAh ที่สามารถใช้ได้ติดต่อกัน 20 ชั่วโมง

PERFORMANCE

ประสิทธิภาพแน่นอนว่ามาพร้อมกับ Apple A14 Bionic 5nm รองรับการทำงานระดับแรงๆได้สบายสามารถทำคะแนนไปได้ 566747 คะแนน Antutu พร้อมกับหน่วยความจำแบบ USF 3.0 การอ่านเขียนไปได้ 1600 และ 1400 เลยทีเดียว ส่วนคะแนน 3 มิติ การ์ดจอนั้นทำได้ดีเมื่อทดสอบกับ 3D MARK และ แน่นอนว่า NETFLIX รองรับความละเอียดสูงสุดพร้อมใช้งาน Dolby Vision HD เลยทีเดียวครับ สบายๆในเรื่องของสเปกและใช้งาน

SYSTEM UI

หน้าตากันบ้างสำหรับหน้าตาของ iOS 14 เป็นตัวล่าสุดที่ปล่อยออกมามีความคลีนสวยงามมากกว่าเดิม และใส่หน้าตาแบบ Widget เสริมเข้ามาในการตกแต่งหน้าจอให้มีความหลากหลายมากขึ้น เปลี่ยนได้เยอะมากๆครับ ไอคอนอะไรต่างๆได้ถูกพัฒนาให้ดูดีและใช้งานง่ายขึ้น การจัดวางดูดีสวยงามกว่าเดิมครับ แน่นอนว่าเป็น UI ที่อิงการใช้งานจากรุ่นเดิมๆมาโดยตลอดทำให้ผู้ใช้งานหลายๆคนนั้นไม่อยากขยับไปแบรนด์อื่น ส่วนอื่นๆนั้นไม่ต่างกันเลยครับ และการแจ้งเตือนยังคงไว้ใจได้และดีกว่ารุ่นอื่นๆแบบชัดเจนเมื่อเทียบกับ Android ด้วยกันนะถือว่าใช้งานสบายๆครับ

ในส่วนของการแจ้งเตือนก็เลื่อนลงมาจากข้างบนมุมซ้ายของเครื่องหรือติ่งหน้าจอปกติ และ ในส่วนของ Control Center นั้นจะเป็นการเลื่อนจากมุมขวาบนนะครับ สามารถปรับแต่งอะไรได้ปกติเลย  ส่วนในการแบ่งหน้าจอนั้นยังไม่รองรับสำหรับ iPhone ส่วนหน้าการเคลียร์แอปนั้นยังไม่มีเคลียร์ทั้งหมดครับต้องปัดไปทีละแอปเหมือนเดิมเลยครับ

ความจุของตัวเครื่องในรุ่นนี้เป็นรุ่นกลางๆ 256GB ครับเหลือให้ใช้งานได้จริงๆ 238 ถือว่าสบายๆ  และทางด้าน RAM 6GB นั้นเหลือใช้งานประมาณ 4.2 GB ครับ และ คีย์บอร์ด นั้นใช้งานของ Apple ครับแบบที่คุ้นเคยกันดีในรุ่นก่อนๆและหลายๆคนก็ชอบตัวนี้พอสมควร ก็ถือว่า สเปกอะไรนั้นรุ่น Pro Max สบายๆใช้งานได้เต็มที่รองรับได้เยอะ

การตั้งค่าอื่นๆนั้นแน่นอนว่าทั้งเรื่องของหน้าจอ โทนสี True Tone หรือ โหมดมืด โหมดกลางคืนนั้นรองรับได้สบายเช่นกันแต่หน้าจอยังคงเป็น 60Hz อันนี้แอบน่าเสียดายมากๆเลยแหละ ส่วนการสแกนใบหน้ายังคงใส่เข้ามาให้ แต่ไม่มีสแกนนิ้วบนหน้าจอ หรือ ขอบเครื่องนะครับ ไม่แน่รุ่นต่อไปอาจจะมีเสริมเข้ามาบ้างแล้ว และการตั้งค่าอื่นๆก็เป็นมาตรฐานของทาง Apple อาจจะไม่ได้มีฟีเจอร์รองรับอะไรมาก

SCREEN

iPhone 12 Pro Max นั้นหน้าจอยังคงใช้งาน OLED แบบ Super Retina XDR ขนาด 6.7 นิ้ว ความละเอียด 2778 x 1284 พิกเซล มีความหนาแน่นพิกเซล 458ppi  ความสว่างของหน้าของจอได้สูงสุด 825 nits ซึ่งมากกว่าเดิมเล็กน้อย และหากใช้ HDR จะพุ่งขึ้นไปได้สูงสุดถึง 1200 nits อันนี้จะเท่ากับตัว 11 Pro MAX แต่พัฒนาเรื่องของงานออกแบบขอบหน้าจอนิดหน่อยค่าการสะท้อนของหน้าจอที่ 4.8% และค่าความเปลี่ยนแปลงของแสงหน้าจอที่ 27% เท่านั้นจากผลการทดสอบของ Displaymate แน่นอนว่าคะแนนเลยทำออกมาได้ดีมากๆครับในเรื่องของ คุณภาพในจอของ iPhone นั้นยังคงเด่นในเรื่องของขอบหน้าจอส่วนด้านล่างที่ขนาดเท่ากับข้างๆและด้านบน แม้อาจจะไม่ได้บางสุดๆแต่ความสม่ำเสมอเลยทำให้มันดูลงตัวเหมือนกันครับและรวมถึงความแม่นยำของหน้าจอที่สัมผัสได้ติดนิ้วและใช้งานได้ดีร่วมกับ UI ของมันเลยให้ประสบการณ์ที่ดี และ สีสันอะไรยังคงแม่นยำมากๆครับ รองรับการแสดงผล True Tone และ DCI P3 ทำให้สีสันนั้นมีความสมจริงและไม่ได้หลอกตาเวอร์มากเกินไป

มุมมองของหน้าจอนั้นทำได้ดีมากๆ สามารถมองได้สบายๆและความสว่างในการสู้แสงนั้นทำได้ดีในภาพคือทดลองเปิด HDR ดูนะครับจะเห็นว่ามิติของภาพสวยและคมชัด สว่างมากๆ และในเรื่องของการสัมผัสหน้าจอนั้นตัวนี้ 120Hz ในการสัมผัสครับแต่ ตัว Refresh Rate ของหน้าจอนั้นยังคงเหมือนรุ่นเดิม แน่นอนว่าการสัมผัสมันติดนิ้วได้ไวมากๆและเป็นจุดที่หลายๆค่ายยังทำได้ไม่ดีเท่า แต่ก็มีใกล้เคียงกันหลายตัวแล้วในตอนนี้ แต่ที่ขอบ่นเลยคือติ่งหน้าจอนั้นยังคงหนามากๆ และ ไม่ได้มีการลดพื้นที่หรือออกแบบให้เล็กลงกว่านี้เท่าไรครับ อีกทั้งยังคงเป็นหน้าจอแบบ 60Hz ไม่ได้มีการอัพเกรดจากรุ่นก่อนหน้าเท่าไรนัก ซึ่งถ้าหากมองคู่แข่งหลายๆตัวก็จะไป 90-120 กันทั้งหมดแล้ว

SOUND

รูหูฟังได้จากเราไปแล้ว และ ก่อนหน้านี้ตัวแปลงได้หายไป และ ล่าสุดหูฟังที่แถมได้หายจากเราไปอีกแล้วทำให้ตอนนี้ในกล่องไม่มีอะไรแถมให้เลยนอกเหนือจากสายชาร์จครับ แน่นอนว่าเป็นจุดที่แอบเสียดายและหลากหลายคนบ่นกันพอสมควร ทำให้ในการใช้งานฟังเพลงนั้นจะเป็นแบบไร้สายเท่านั้น และ ถ้าอยากใช้งานฟังเพลงก็ต้องซื้อตัวแปลง หรือ หูฟังเพิ่มเติมแบบมีสาย หรือ ไร้สาย ซึ่งในภาพของลองใช้งานกับทาง Airpod Pro นั้นเอง แน่นอนว่าถ้าฟังเพลงค่ายนี้ก็ถือว่า แบบสายก็มีกำลังขับที่ดีพอสมควรอยู่เหมือนกัน เสียงใส ชัด เน้นฟังรายละเอียดดีกำลังขับดีกว่าเรือธงตัวอื่นๆอยู่เหมือนกัน แต่ถ้ามาใช้งานแบบไร้สายเสียงก็จะขึ้นอยู่กับ หูฟังเป็นหลักนั้นเองครับทำให้เสียงที่ออกมานั้นเน้นใช้งานทั่วไป ไม่ได้เด่นด้านใดด้านนึงมากนัก แต่การเชื่อมต่อนั้นสบายๆ ไมค์ดีตามระดับของหูฟังตัวนี้

TRUE 5G TEST 

ในยุคใหม่ๆหลายคนก็เน้นใช้งาน 5G กันมากขึ้นรวมถึงในไทยเองนั้นเรื่องนี้ก็ต้องบอกว่ามีการตอบรับที่ดีในการใช้งาน เน้นในเมืองเป็นหลักก่อนครับ ทางที่แอดได้ซื้อจริงๆมันเป็นราคาพร้อมแพ็กเกจทำให้ค่อนข้างคุ้มและรองรับการใช้งานได้ดี จริงๆแพ็กนี้ข้อดีคือมันมีซิมให้อีก 3 ซิม พร้อมกับใช้งานได้ทันที และก็รองรับกับมือถือใช้งานได้ค่อนข้างไวและไม่มีปัญหาครับ ทางด้าน iPhone นั้นแน่นอนว่าใช้งาน โมเด็มของ Qualcomm รุ่น X55  ที่เราคุ้นเคยกันในเรือธงค่ายอื่นๆที่ใช้งาน Snapdragon นั้นเองจึงหมดห่วงไปเลยเรื่องของการรองรับการใช้งานต่างๆ 5G NR (ย่านความถี่ n1, n2, n3, n5, n7, n8, n12, n20, n25, n28, n38, n40, n41, n66, n71, n77, n78, n79) บอกเลยว่ารองรับทุกคลื่นความถี่สบายๆ ส่วนในการใช้งาน ทดสอบความเร็วจริงๆอยากจะให้เข้าใจกันก่อนว่า แล้วแต่พื้นที่ สถานที่ ทราฟฟิคคน บริเวณนั้น หรือ การใช้งานอีกทีเพราะทดสอบกันหลากหลายที่ความเร็วก็ไม่เท่ากัน ซึ่งแน่นอนว่าบางที่นั้นค่าเฉลี่ยพุ่งไป 500+ ก็มี แต่ถ้าเอาตามความจริงใช้งานจริงนั้น จะได้ 300+- เป็นค่าที่เจอบ่อยที่สุด และก็ถือว่าเพียงพอต่อการใช้งานทั่วไปแล้ว หรือจะทำงาน ดู 4K HDR ก็ไม่ต้องรอโหลดอะไรให้เสียเวลาครับ

5G ในปัจจุบัน

ถ้ามองกันใช้งานจริงก็ยังถือว่าเร็วระดับสูงมากๆอยู่ดีได้ 300+ ในการใช้งานจริงตลอดเลยเร็วแรงจนไม่ต้องพึ่ง WIFI ตามห้างเลยแม้แต่น้อยครับ ส่งผลทำให้เราจะดู Netflix หรือฟัง Spotify ก็สามารถดูแบบความละเอียด 4K แบบไม่ต้องรอโหลดได้แบบทันที เลื่อนเปลี่ยนช่วงหนังได้แบบไม่ต้องรอโหลดใหม่ หรือจะเป็นการฟังเพลงก็สบายๆในคุณภาพสูงที่สุดเลย ถ้าหากถามว่ามันจำเป็นไหมในตอนนี้ ส่วนตัวถ้าเลือกซื้อมือถือแน่นอนว่าต้องรองรับ 5G และ เครือข่ายที่รองรับ ครอบคลุมพร้อมใช้งานในสถานที่ที่เราใช้งานด้วยเช่นกันครับ ข้อดีที่เจอด้วยตัวเองคือการเข้าเว็บอะไรนั้นไวขึ้นหลากหลายเท่าตัว การดูรูปเว็บไหนที่รูปเยอะ หรือ แม้จะเป็นการดูหนังก็สามารถเปลี่ยนข้ามได้ทันทีไม่ต้องรอหมุนเลยแม้แต่น้อย รวมถึงการอัพรูป ส่งรูปทุกอย่างนั้นไวไปทั้งหมดเหมือนเรามี Wifi ความเร็วสูงพกพาไปตลอดแบบนั้น โดยที่ไม่ต้องไปลุ้น หรือเสียเวลามากนัก และที่ทดสอบของ TRUE 5G ก็รองรับได้สบายๆครับตัวนี้

SPEAKER

ทางด้านลำโพงนั้นเป็นจุดที่ทาง HUAWEI พัฒนาขึ้นมาเยอะมากเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้าและมาพร้อมกับลำโพงคู่ที่มีความดังพอสมควรยิงตรงขอบเครื่องทั้งหมดทำให้รองรับการใช้งานได้ดี ส่วนทาง iPhone นั้นต้องบอกว่าในรุ่น Pro Max นั้นออกมาได้ดีเสมอทั้งเรื่องของความดัง มิติเสียง และในรุ่นนี้ก็ถือว่าต่อยอดพัฒนาได้ดี เสียงมีความใส ชัด และมีความกังวานมิติเสียงทำได้ดีกว่า แต่ความดังอาจจะไม่ได้หนีกันมากชัดเจนถ้าฟังจากคลิปครับ แต่ของจริงนั้นทางด้าน Huawei จะมีเสียงที่อ่อนกว่าถ้าไม่มีส่วนสะท้อนเสียงตัวผนังมาช่วย ส่วนมิติเสียง ความใสนั้นจะไม่เด่นเท่าไรครับ อาจจะต้องบอกว่าเสียงนั้นเป็นคนละแนวโทนกันแต่ถ้าเน้นรายละเอียด มิติเสียง ดีเทลนั้น iPhone เด่น

GPS

ในเรื่องของการนำทางนั้นค่ายนี้สบายๆอีกแล้วไม่เจอปัญหาอะไรครับใช้งานนำทางได้สบายๆแม่นยำไม่หลุดไม่เอ๋ออะไรเลย ทั้งใช้งานของ Google Maps และ จากทาง Apple เองครับสามารถใช้งานได้ดีทั้งความเร็วสุด หรือ ใต้ทางด่วน อุโมงค์อะไรเรื่องการนำทางนั้นไว้ใจได้เลยและด้วยราคาของมันเลยทำได้สมราคาและดีสุดในบรรดามือถือระดับเรือธงด้วยกัน จริงๆทางค่ายนี้ก็ไม่ค่อยเจอปัญหาเลยนะตั้งแต่ยุคแรกๆและออกแบบมาได้ดี แม้จะเป็นรุ่น SE ก็ยังคงเด่น และการใช้งาน ชิปอะไรของตัวเอง ค่ายตัวเองทำให้รองรับการทำงานได้ดีขึ้น รวมถึงมีการใช้งาน 5G ทำให้ทำงานร่วมกันได้ลื่นไหล ไวมากขึ้น อัปเดตอะไรได้เทพทันใจมากขึ้นไปอีกครับ จุดนี้ก็ถือว่าเป็นอีกข้อดีเลย

BATTERY

การใช้งานแบตรุ่นนี้ถือว่าเป็นจุดที่น่าเสียดายเพราะตัวแบตรุ่นนี้ให้มาแค่ 3,687mAh เท่านั้น และเหมือนจะน้อยกว่ารุ่น 11ProMax ก่อนหน้าด้วยนะ ซึ่งในการใช้งานจริงๆก็รู้สึกเลยว่ามันไหลไวมากๆในการใช้งานทั่วไปหรือแม้จะเปิด 5G ครับ จากที่ทดสอบนั้นใช้งาน ประมาณ 10-11 ชั่วโมงครับ และหน้าจอเปิดน้อยมากๆแค่ 3-4 ชั่วโมงเท่านั้น แบตเหลือกับมา 15% เท่านั้นเองครับ ถือว่าไหลไวเลยแหละ ส่วนการใช้งานชาร์จนั้นรองรับการชาร์จไร้สาย การชาร์จ MagSafe แบบไร้สายได้ และแน่นอนว่า ยังรองรับการชาร์จได้สูงสุด 20W นะครับแต่ อยากชาร์จไว ต้องไปซื้อ Adaptor แยกในราคา 690 บาทนะครับ ไม่มีแถมมาให้ ถือว่าแบตในรุ่นนี้ไม่ได้อึดเท่าที่ควร และการชาร์จยังล้าหลังกับ Android ในเรทราคาเดียวกันเยอะหลายๆรุ่นชาร์จ 40-65W แล้วก็ยังมีครับถือว่าน่าเสียดายจริงๆครับจุดนี้

CAMERA

กล้องหลังในรุ่นนี้อาจจะไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอะไรเยอะมากถ้าเทียบกับรุ่นก่อนในเรื่องของสเปก แต่การเปลี่ยนแปลงนั้นจะเป็นที่ เลนส์ รูรับแสง และ เสริม LiDAR เข้ามา ถ้ามองเทียบกับสเปกกันนั้นจะได้  iPhone 12 Pro Max มีสเปกกล้อง มุมกว้าง 12MP  f/2.4  มุมปกติ 12MP  f/1.6 เทเล 2.5X 12MP  f/2.2 ส่วนทางด้าน iPhone 11 Pro Max มีสเปกกล้อง  มุมกว้าง 12MP  f/2.4  มุมปกติ 12MP  f/1.8 เทเล  12MP 2X f/2.0 ซึ่งรูรับแสงแตกต่างกัน ซูมได้มากกว่า และ เทคโนโลยีอะไรก็พัฒนาขึ้นด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะมุมกว้าง ลดความบิดเบี้ยวได้เยอะมากๆ และ งานวีดีโอนั้นจะใช้งาน บันทึกวิดีโอ HDR ในแบบ Dolby Vision สูงสุด 60 fps เป็นครั้งแรกของมือถือในตอนนี้ และ เทคโนโลยี iPhone 12 Pro Max ใช้ระบบกันภาพสั่นแบบออปติคอลด้วยการปรับตำแหน่งเซ็นเซอร์ ทำให้การใช้งานนั้น แม้จะเป็น 12MP เท่าเดิมแต่ทุกอย่างนั้นยกระดับเปลี่ยนแปลงขึ้นและบอกเลยว่าคุณภาพนั้นไม่ธรรมดา ภาพมีความเรียล สวย และ เอาไปทำต่อได้ง่ายรวมถึงถ่ายอะไรโฟกัสทำได้ดีเช่นกันครับ

ในรุ่นนี้ที่เด่นๆหลังจากการอัปเดต iOS 14.3 นั้นคงหนีไม่พ้นการที่จะได้ใช้ไฟล์ภาพต้นฉบับแน่นๆหรือเรียกกันว่า ProRAW ซึ่งเมื่อถ่ายออกมานั้นจะได้ไฟล์ .DNG เหมือนกับทางกล้อง DSLR ทำให้เราสามารถ ขุดสี ขุดแสงได้ดีกว่าเดิม แน่นอนว่าการถ่ายปกติทั่วไปก็จะมี Nightmode อะไรให้อยู่แล้ว ซึ่งถ้าคนทั่วไปใช้แบบนั้นก็จะดีกว่าครับแต่ถ้าใครที่สายช่างภาพแน่นอนว่า DNG ทำอะไรได้มากกว่าเยอะ และเอามาทำต่อได้หลากหลาย และบอกเลยว่าไฟล์ของทาง iPhone 12 Pro MAX DNG นั้นไม่ธรรมดาและดึงได้เยอะแต่คุณภาพรายละเอียดนั้นยังคงทำได้ดีมากๆ

PORTRAIT 

ในภาพอาจจะมี หนึ่งคนขึ้นไป, ข้อความพูดว่า "Befo Before After"

APPLE PRO RAW TEST 

ในภาพอาจจะมี หนึ่งคนขึ้นไป และสถานที่ในร่ม

ในภาพอาจจะมี หนึ่งคนขึ้นไป และสถานที่ในร่ม

ในภาพอาจจะมี ท้องฟ้า และสถานที่กลางแจ้ง

ไม่มีคำอธิบายรูปภาพ

ในภาพอาจจะมี รถยนต์, กลางคืน และสถานที่กลางแจ้ง

ในภาพอาจจะมี หนึ่งคนขึ้นไป, กลางคืน และสถานที่ในร่ม

SELFIES

กล้องหน้าในรุ่นนี้ยังคงใช้งานการออกแบบที่คล้ายเดิมมาพร้อมกับติ่งหน้าจอขนาดใหญ่ สเปกกล้องนั้นใช้งานเหมือนเดิมทั้งหมด 12MP F2.2 ทุกอย่างนั้นใช้งานตัวเดิม แต่จะเน้นไปที่การถ่ายที่รองรับได้ดีขึ้นและแน่นอนว่าปรับมุมภาพได้เช่นเดิมครับ ตัวกล้องหน้าที่จะพัฒนาขึ้นจะเป็นการถ่ายวีดีโอ บันทึกวิดีโอ HDR ในแบบ Dolby Vision สูงสุด 30 fps รองรับ Deep Fusion และ โหมดกลางคืนกล้องหน้า แน่นอนว่า HDR ก็ใช้งานแบบใหม่จะเห็นว่าเน้นไปทาง Software เป็นหลักครับ ส่วนการละลายหลังยังคงใส่เข้ามาให้ แต่พวกโหมดแต่งหน้า หรือความเนียนยังไม่ได้มีอะไรเสริมเข้ามา และภาพที่ออกมานั้นจะเน้นความเรียลมากๆเป็นหลักทำให้ไม่ได้ ใส สวยเนียนมากนักครับ

VIDEO 

งานวีดีโอต้องบอกว่ายังคงยกให้เป็นค่ายที่ถ่ายวีดีโอได้เทพ คุณภาพเทพที่สุดในตอนนี้ รวมถึงการรองรับ บันทึกวิดีโอ HDR ในแบบ Dolby Vision สูงสุด 60 fps เจ้าแรกของโลกพร้อมกับรองรับการถ่าย 10BIT ทำให้เหมาะแก่การเอาไปทำสี ดึงคุณภาพให้ดีมากขึ้น Dynamic Range ดีมากขึ้นแน่นอนว่า รองรับ 4K60-30-24 สบายๆ รวมถึงการกันสั่น ความเนียนตาและสีสันค่อนข้างตรงที่สุดเลยในบรรดามือถือทั้งหมด รวมถึงเสียงไมค์นั้นเน้นเสียงชัด แน่น นุ่ม แต่การตัดเสียงอาจจะไม่เด่นเท่าไรนัก และการถ่ายวีดีโอรองรับเลนส์ทุกเลนส์ในการถ่ายทุกความละเอียดครับ ต้องบอกว่าเหมาะแก่การเอาไปทำต่ออย่างมาก แต่ถ้าถ่ายสวยจบ ฟีเจอร์อะไรพวกนี้อาจจะยังสู้ตัวอื่นๆไม่ได้ครับ

IPHONE 12 PRO MA

” iPhone ก็ยังคงเป็น iPhone ดีไซน์สวย กล้องเทพขึ้น พร้อมกับการรองรับ 5G “

จริงๆ iPhone มันมีอะไรหลายๆอย่างทำให้ตัวเครื่องมีความรู้สึกว่าใช้ iPhone แน่นอนว่าเป็นเอกลักษณ์ในการใช้งานอย่างนึงครับ และคนที่ใช้งานก็จะใช้งานยาวๆไม่ค่อยเปลี่ยนไปค่ายไหนมากนัก และทุกๆครั้งที่ออกมือถือใหม่มามันอาจจะไม่ได้ว้าวมากแต่ก็ออกมาแก้ไขจุดบกพร่องรุ่นก่อนๆ และลงตัวมากขึ้นไปเรื่อยๆนั้นเอง เน้นใช้งานแบบเต็มที่และเช่นกันในรุ่น iPhone 12 Pro Max ก็สามารถทำออกมาได้ดี ส่วนตัวประทับใจเรื่องงานออกแบบ ดีไซน์ และ ชอบมากๆในเรื่องของกล้องหลังที่พัฒนาขึ้น ไฟล์ภาพเอาไปทำต่อได้ง่ายและใช้งานได้จริง และงานวีดีโอที่เทพเช่นเดิม พร้อมกับหน้าจอที่สวยและคมชัด รวมถึงระบบหน้าตา และความนิ่งของตัว iOS ยังคงเป็นจุดเด่น พร้อมกับการใช้งาน 5G ที่รองรับได้สบายๆ ทำให้เป็นเรือธงของค่ายที่ใช้งานได้แบบเต็มที่ทั้งประสิทธิภาพ ความเร็วแรง กับ A14 ตัวนี้ แต่ก็ยังมีข้อให้บ่นอยู่เช่นกัน ทั้งเรื่องของหน้าจอ 60Hz การตัดของแถมในกล่อง การชาร์จไว และแบตไหลพวกนี้ก็ยังเป็นจุดที่ต้องบ่นจริงๆ ซึ่งอาจจะเป็นส่วนที่เก็บไว้จัดเต็มในรุ่นต่อไปหรือไม่นั้นต้องรอดู แต่ถ้าใครที่ใช้ iPhone 11 Pro Max มาก่อนยังไม่ค่อยเห็นด้วยนักถ้าจะเปลี่ยนมาเป็นตัวนี้ แต่ถ้ารุ่น XS หรือ ก่อนหน้านั้นลงไปบอกเลยว่าสมควรแก่เวลาแล้ว ที่จะขยับมาเป็นรุ่นนี้เพราะทุกๆอย่างนั้นอัพเกรดขึ้นมาทั้งหมดจนรับรู้ได้ถึงความแตกต่างมากขึ้น

ข้อดี

  • ดีไซน์ตัวเครื่อง เหลี่ยมสวย คลาสสิก
  • A14 Bionic นั้นยังคงทำได้เร็ว แรง รองรับสบายๆในการใช้งาน
  • หน้าจอสู้แสงได้ดี คุณภาพสี มิติของภาพทำได้ดี
  • กล้องหลังพัฒนาขึ้น คุณภาพดีขึ้น มุมกว้างลดการบิดเบี้ยวได้เยอะ
  • Apple PRO RAW รองรับการถ่ายได้ดี ขุดได้เยอะ
  • กล้องดีขึนในทุกๆฟีเจอรฺ์ รองรับหลากหลายเลนส์มากขึ้น
  • รองรับการใช้งาน 5G
  • Mag Safe ออกแบบมาน่าสนใจ
  • ลำโพงคู่ คุณภาพเสียงดี  มิติเสียงดี ความดังทำได้ดี
  • รองรับการถ่าย บันทึกวิดีโอ10BIT HDR ในแบบ Dolby Vision สูงสุด 60 fps เจ้าแรกในตอนนี้
  • ทนน้ำถึงระดับความลึก 6 เมตร

ข้อสังเกต

  • ตัวเครื่องมีน้ำหนักเยอะพอสมควร
  • แบตลดไวมากๆในการใช้งานจริง
  • หน้าจอยังคงเป็น 60Hz
  • งานออกแบบด้านหน้ายังไม่มีการเปลียนแปลง
  • ชาร์จไว 20W และ ไม่แถมที่ชาร์จมาในกล่อง

 

สำหรับรีวิวนี้ผมก็ต้องขอตัวลาไปก่อนสำหรับรุ่นอื่นๆก็ติดตามกันได้เลย ถูกใจฝากกดไลค์กดแชร์ด้วยนะครับ  มีข้อผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ  เพื่อนๆสนใจอยากให้พวกผมรีวิวรุ่นไหนสามารถ Inbox มาบอกเราได้เลยนะ

ฝากไลค์เพจ FACEBOOK เราด้วยนะครับ >>>>>>>>>  TECHHANGOUT

เข้าร่วมกลุ่ม TECHHANGOUT พูดคุยแลกเปลี่ยน ข้อมูล คุยกันเองชิลๆได้เลยที่ — Facebook  Techhangout พูดคุย Smartphone gadget 

Review by Nineztr 

*รูปถ่ายจากกล้องมือถือทุกรูป ไม่มีการปรับแต่ง และ สามารถกดดูไฟล์เต็มแบบต้นฉบับได้นะครับ