iPhone 14 Pro Max และ iPhone 14 Pro ได้เปิดตัวด้วยหน้าตาที่เหมือนเดิมปรับเล็กน้อย แต่ส่วนที่เปลี่ยนมากที่สุดคือ ด้านหน้าจอที่เปลี่ยนจากติ่ง เป็น แบบหน้าจอเจาะรู หรือ Apple เรียกให้แตกต่างว่า Dynamic Island นั้นเอง ซึ่งเป็นการเอา จุดด้อยของมือถือ มาทำให้มันมีอะไรมากกว่านั้น แม้ทางฝั่ง Android หลายๆค่ายจะทำหน้าจอเจาะรูมานานแล้ว จนไปกล้องใต้หน้าจอกันแล้วก็ตาม และมีขนาดเจาะรูเล็กกว่าก็ตาม แต่ทาง Apple เองก็พยายามทำให้หน้าจอเจาะรูของตัวเอง มีฟีเจอร์การใช้งาน สามารถสัมผัส แตะ สั่งงาน แจ้งเตือนได้ให้มันดูไม่เกะกะ แต่สุดท้ายมันจะเกะกะไหม หรือ ใช้งานเป็นยังไง และ ในเรื่องกล้องที่ปรับเปลี่ยนมาแตกต่างกันมากน้อยแค่ไหน รวมถึงภาพรวมมันควรเปลี่ยนจริงๆไหมถ้ามาจาก iPhone 13 Pro Max ที่แตกต่างน้อยมากๆ และ สเปกไม่ได้หนีกัน
UNBOX
ตัวกล่องยังคงมีความบางเบา เพราะว่าทาง Apple อยากจะรักษ์โลก รักษ์สิ่งแวดล้อมจึงไม่แถมอะไรมาให้เช่นเดิม ทั้งหูฟังที่หายไปหลายปีแล้ว และ Adaptor ชาร์จไฟก็หายไปแล้ว เนื่องจากต้องการลดทรัพยากรเหลือๆที่คนซื้อไปอาจจะไม่ได้ใช้งาน แต่สุดท้ายคนที่ไม่มีก็ต้องไปหาซื้อแยกที่จะมีทั้งกล่องแยกเพิ่มเติม ถุงแยกเพิ่มเติมเวลาไปซื้อก็ตามครับซึ่งก็ไม่แน่ใจว่าจะต้องการรักษ์โลกอะไรยังไงนะ สุดท้ายหลายๆคนก็ต้องซื้อใหม่ เพราะหัว USB-C และ ชาร์จไวที่มันก็ปรับไปหลายๆรอบในแต่ละ 2-3 ปีก็ตามครับ แต่อย่างน้อยสายชาร์จก็ยังคงให้มาแม้จะเป็น Lighting ที่ความเร็วช้ามากๆ และพอร์ตแบบนี้ทำให้คนที่มีสาย iPad ก็ไม่สามารถใช้สายร่วมกันได้ หรือ แม้แต่บรรดา Android ก็ตาม ซึ่งส่วนตัวมองว่าถ้าอยากจะรักษ์โลกจริงๆ เปลี่ยนเป็น USB-C ซะที น่าจะช่วยจำนวนสายชาร์จได้เยอะมากกว่านะ
DESIGN
แน่นอนว่างานออกแบบ จ่ายเองเจ็บเองพูดกันตรงๆว่า ทีมออกแบบขี้เกียจทำงานใช่ไหม เพราะว่าเราจะเห็นการวาง Position กล้องแบบนี้ หน้าตาแบบนี้มา 4 ปีแล้ว ตั้งแต่ iPhone 11 ครับ ทำให้มันไม่มีความน่าตื่นเต้นในเรื่องงานออกแบบเลยในส่วนฝาหลัง รวมถึงการวางกล้อง จะมีแตกต่างกันแค่ ขอบเหลี่ยมบ้างจากรุ่นแรกๆ และ ขยายเลนส์กล้องใหญ่ขึ้นครับ แต่ภาพรวมเมื่อเทียบกับ 13 แทบไม่มีความต่างเลย ถ้าเป็นค่าย Android ออกแบบซ้ำกันแบบนี้ผมบอกเลยว่าโดนแซวเละ ส่วนวัสดุงานประกอบ ความเนียนของชิ้นงานผมว่า ค่าย Apple ทำได้สมราคามาเสมอ ไม่มี สีลอกแบบบางค่าย การทำสีบอดี้ของตัวเครื่องงานดี เงาสวยและแข็งแรงจุดนี้ขอชื่นชมค่ายนี้ทำมาได้ดีมาก
ทางด้านหน้าจอนั้นขนาด 6.7 นิ้วเหมือนเดิม แต่มีการเปลี่ยนงานออกแบบ สัดส่วนนิดๆทำให้เรื่องของฟิล์มอาจจะเปลี่ยนแปลงไป ทำให้ใช้กับรุ่นก่อนหน้าไม่ได้ครับ ส่วนขอบหน้าจอยังคงมีความบางพอๆกัน ไม่ได้บางขึ้นเท่าไรนะครับซึ่งตอนนี้ Android หลายๆค่ายทำได้บางกว่าไปบ้างแล้วเช่นกัน แต่ที่ชอบคือหน้าจอค่ายนี้ยังคงเป็นหน้าจอเรียบแบนไม่โค้งเลยแม้แต่น้อยทำให้การใช้งานจริง กันแตกได้ดี จับถือได้ง่าย และ ติดฟิล์มง่ายมากเช่นกันครับจุดนี้ถือว่าดีมาก
ด้านบนหน้าจอ DYNAMIC ISLAND ที่เป็นฟีเจอร์ชูโรงขนาดใหญ่ เกาะกลางหน้าจอที่มาพร้อมกับ เซนเซอร์สแกนใบหน้าแบบ 3 มิติ และ กล้องหน้าที่พัฒนาขึ้น ซึ่งจริงๆตัวหน้าจอเจาะรูแบ่งเป็น กล้อง และ เซนเซอร์แยกกันครับ คล้ายๆตัว i แต่ทาง Apple ถมดำทำให้มันเป็นเม็ดยาชิ้นเดียวกันนั้นเอง ซึ่งหลายๆคนก็ชอบ หรือ ไม่ชอบแล้วแต่ ส่วนที่รู้สึกได้ชัดเจนเลยว่ามันจะแอบใหญ่กว่ารุ่นก่อนหน้าเพราะกินพื้นที่ลงมาต่ำมากกว่าเดิมที่เป็นแบบติ่งหน้าจอนั้นแหละ
ส่วนขอบหน้าจอล่างเองนั้นชอบที่เค้าทำได้หนาเท่ากันทั้งหมด มันดูสมมาตรกันทั้งซ้าย ขวา บน แต่ถ้าสามารถพัฒนาได้บางมากกว่านี้ก็น่าจะยิ่งสวยขึ้น ส่วนการควบคุมแน่นอนว่าใช้งานแบบเดิมครับไม่มีอะไรเปลี่ยนไปในตัว iOS16
ขอบเครื่องวัสดุเงาสวยงามเช่นเดิมครับในรุ่นนี้ยังคงมีการออกแบบสมมาตร เหลี่ยมหน้าหลังแบนเหมือนเดิมไม่มีการเปลี่ยนแปลง ทั้งตำแหน่ง ไมค์ ลำโพง และ รู LIGHTING ที่ไม่ยอมเปลี่ยนเป็น USB-C ยังคงอยู่ตรงกลางแบบเดิม
ในด้านข้างเราจะมีปุ่ม ปรับโหมดเงียบเอกลักษณ์ของค่าย และ เพิ่ม ลด เสียง รวมถึงถาดซิม ซึ่งงานออกแบบเหมือนเดิมทั้งหมด แต่เปลี่ยนแค่สี ดำสนิทมากกว่าเดิม เข้มมากกว่าสีดำเดิมที่จะออกเงินๆเงาๆครับ แต่รุ่นนี้ดำเท่ขึ้นมาก
ในขอบเครื่องด้านบนเองนั้นเรียบๆเหมือนกันสะท้อนแสงสวยเงาวัสดุดี ใช้สีสวยขึ้น และ งานประกอบแน่นมากๆเช่นเดิมครับ ซึ่งส่วนตัวชอบงานออกแบบขอบเหลี่ยมๆแบบนี้ให้อารมณ์แบบ iPhone 4 รุ่นในตำนานถือว่าลงตัวมากๆ
และในด้านขวาเราจะเป็นปุ่มเปิด ปิด เครื่องที่มีตำแหน่งสูงพอกับการใช้งาน และมีขนาดใหญ่ใช้งานได้ง่าย ซึ่งจริงๆงานออกแบบแทบจะไม่มีจุดไหนพัฒนาหรือเปลี่ยนเลยแม้แต่น้อย ใครที่คาดหวังการเปลี่ยนแปลงรุ่นนี้ไม่ได้เยอะมาก
ด้านหลังรูปนี้ไม่ใช่ iPhone 13 Pro Max แต่อย่างใด แม้การออกแบบ สัดส่วน กล้องทุกอย่างจะเหมือนกันก็ตาม แต่ที่จะเห็นชัดเจนคือ กล้องใหญ่ขึ้น และ สีดำเข้มขึ้นเท่านั้นเป็นดีไซน์ที่ไม่เปลี่ยนมา 4 ปี ซึ่งคาดว่ารุ่นหน้าก็ไม่น่าเปลี่ยนแปลงไปเท่าไร แต่ถ้าถามถึงความสวยมันก็ยังคงสวยอยู่นะ มองแล้วรู้ว่าเป็นค่ายไหน แต่ที่ชอบคือสีดำด้านที่เข้มขึ้น ไม่ใช่เทาแบบรุ่นก่อนทำให้มันดุดันและเท่ขึ้นเยอะมากๆ เป็นดำที่สนิทมากเมื่อไม่เจอแสงสะท้อนจะดำเข้ม
และทางด้านกล้องหลังกระจกเงาดำขึ้นเยอะมากเช่นกัน และ ขยาายใหญ่ขึ้นกว่ารุ่นก่อน เราจะเห็นว่าเลนส์นูนขึ้นกว่าเดิมและยังคงใส่เซนเซอร์อะไรมาให้ครบรวมถึง มีการเปลี่ยนแปลงงานออกแบบไฟแฟลชใหม่เป็นแบบวงกลมล้อมวงเล็กนั้นเองเป็นจุดที่มองแตกต่างที่สุด มาพร้อมกับสเปกกล้อง Ultra Wide 120 องศา 12MP (f/2.2), เลนส์ 6P กล้อง Telephoto 3x 12MP (ƒ/2.8 ), OIS, เลนส์ 6P lens, ระยะซูม optical สูงสุด 6x, ซูมแบบ digital สูงสุด 15x แฟลช True Tone และ การเปลี่ยนแปลงชัดเจนคือ กล้องหลัง เลนส์กว้าง 48MP (f/1.78 ), เลนส์ 7P lens, OIS, Telephoto 2x, ที่เปลี่ยนเป็น 48MP แต่รูรับแสงแคบขึ้น ทั้งเลนส์หลัก และ มุมกว้างนั้นเองครับ แต่คุณภาพ การปรับเปลี่ยนทำได้ดีกว่าเดิมในเรื่องของความคมของภาพ และ ความสวยงามเก็บแสงได้ดีขึ้นด้วยเช่นกัน
14 ProMax VS 13 ProMax
และแน่นอนว่าในครั้งนี้เป็นการที่ตัวผมเองเปลี่ยนจาก 13-14 ทำให้ขอลองเอามาเทียบกันนิดหน่อยว่ามันมีจุดไหนที่แตกต่างกันบ้าง ในโทนสีดำเหมือนกันซึ่งในรุ่น 13 Pro Max จะใช้ชื่อ Graphite ส่วน 14 Pro Max จะใช้ชื่อ Space Black นั้นเองครับ ทำให้เมื่อวางเทียบกันก็ตามชื่อเลย 14 จะเน้นเข้มมากกว่าทั้งเลนส์ ฝาหลัง และขอบเครื่อง ส่วนงานออกแบบเหมือนกันทั้งหมดไม่มีจุดไหนที่แตกต่างกันรวมถึงขอบเครื่องและน้ำหนัก ภาพรวมใกล้กันมาก
เมื่อมีใครถามว่าใช้ iPhone รุ่นไหนก็แค่หันหน้าจอไปเท่านั้น เพราะว่ามันเป็นจุดที่แตกต่างกันมากที่สุดของ iPhone ระหว่าง 12-13 และ มาเทียบกับ 14 เพราะว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุดของหน้าจอ ไม่มีติ่งหน้าจอแล้ว แต่จะเป็นหน้าจอ แบบเจาะรู หรือ เกาะกลางจอ Dynamic Island ชื่อเรียกของทางค่ายซึ่งทำให้มันเป็นจุดขายจนหลายๆคนอยากจะเปลี่ยน แม้ว่าตำแหน่งจะเกะกะหน้าจอมากกว่าเดิมเพราะต่ำกว่าเดิมก็ตาม ส่วนขอบเครื่องนั้นไม่ต่างกัน ความบางของขอบหน้าจอรอบๆยังคงเท่ากัน ไม่ได้บางลงมากกว่าเดิม และ ขนาด 6.7 นิ้วเหมือนเดิมครับ
และเมื่อเทียบขอบข้างเราจะเห็นว่างานออกแบบคงเดิม แต่สีดำเข้มขึ้น กลายเป็นว่ารุ่นก่อนหน้าคล้ายกับเป็นสีเงินๆโครเมียมรมดำมากกว่า แต่รุ่นใหม่กลายเป็นดำเข้มทันทีสวยงามพอสมควรครับ และเลนส์กล้องนูนขึ้นเยอะกว่าเดิมนะ
และถ้าเรามองดีๆขนาดตัวสี่เหลี่ยมรอบๆเลนส์ใหญ่ขึ้นเล็กน้อย และ ไฟแฟลชแตกต่างกันรวมถึงความนูนหนาของตัวเลนส์ครอบเลนส์นั้นเมื่อมาเทียบมองด้านข้างคือ แตกต่างกันเลยทีเดียวครับ ทำให้เรื่องการถ่ายภาพก็ดีขึ้นไปด้วย
SPEC
- หน้าจอ OLED Super Retina XDR ขนาด 6.7 นิ้ว ความสว่างสูงสุด 1200 nits, HDR, True Tone, เคลือบ Ceramic Shield
- ชิปประมวลผล A16 Bionic
- ความจุ 128GB, 256GB, 512GB, 1TB
- iOS 16
- ตัวเครื่องกันน้ำและกันฝุ่นมาตรฐาน IP68
- ซิมคู่ (nano + eSIM)
- กล้องหลัง เลนส์กว้าง 48MP (f/1.78 ), เลนส์ 7P lens, OIS, Telephoto 2x, ถ่ายวิดีโอรองรับ HDR และ Dolby Vision สูงสุด 4K 60 fps, Slo‑mo 1080p ที่ 240fps, Cinematic mode 4K HDR ที่ 30 fps
- กล้อง Ultra Wide 120 องศา 12MP (f/2.2), เลนส์ 6P
- กล้อง Telephoto 3x 12MP (ƒ/2.8 ), OIS, เลนส์ 6P lens, ระยะซูม optical สูงสุด 6x, ซูมแบบ digital สูงสุด 15x แฟลช True Tone
- กล้องหน้า TrueDepth 12MP (ƒ/1.9), Autofocus พร้อม Focus Pixels, แฟลช Retina, ถ่ายวิดีโอรองรับ HDR และ Dolby Vision สูงสุด 4K 60 fps, Slo‑mo 1080p ที่ 120fps
- รองรับ FaceID, ลำโพง Stereo
- ขนาดตัวเครื่อง: 160.7×77.6×7.85มม.; น้ำหนัก: 240 กรัม
- รองรับ 5G (sub‑6 GHz), LTE, 802.11ax Wi-Fi 6, Bluetooth 5.3,
- Ultra Wideband chip for spatial awareness, NFC with reader mode,
- GPS with GLONASS
- แบตเตอรี่ lithium-ion รองรับ 15W MagSafe, fast charging 30W,
- ใช้งาน video playback ติดต่อกันนานสุด 29 ชั่วโมง
IOS 16
iOS 16 มีการปรับปรุงในหลายๆอย่าง แต่ในช่วงแรกที่ใช้หลายๆคนก็แอบเจอการจัดการแบตพอสมควร หรือ บัคหลายๆส่วนที่ยังไม่ลงตัว ซึ่งอาจจะเป็นเรื่องปกติของมือถือใหม่ๆ แม้จะเป็นค่ายดังๆก็ตาม และ ใน iPhone 14 Pro Max ก็เจอเช่นกันทั้งบัคกล้องหน้า หลัง หรือ แบตไหล เข้าแอปกล้องสั่นต่างๆ แต่ก็แก้ไขกันไปเรื่อยๆได้ไม่มีปัญหา ส่วนหน้าตาหลักๆแน่นอนว่าไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากนัก แต่ที่เปลี่ยนแปลงที่เราจะพูดกันคือหน้าจอล็อกที่เปลี่ยนใหม่ในครั้งนี้ทำให้มันคล้ายกับมือถือ Android มากขึ้นไปอีกคือการปรับเปลี่ยนแต่งหน้าจอได้หลากหลายขึ้น มี Widget มากขึ้น แอบไปคิดถึงสมัยตอนโมรอม Android เล่นกันตกแต่งกันได้เยอะมากๆ และ iPhone เองก็ทำได้แล้วเช่นกัน
เราจะเห็นว่าการปรับเปลี่ยนหน้าจอล็อก สามารถปรับเปลี่ยนได้เยอะมากๆ ทั้งการเปลี่ยนไอคอนพื้นหลังที่ออกแบบเองได้ ฟอนต์แบบใหม่ และ การเล่นตัวเลขเวลา กับ พื้นหลังซึ่งเหมือนกับภาพมีมิติมากขึ้น เป็น 3 เลเยอร์นั้นเอง ทำงานกับพื้นหลังที่สามารถเล่นกับตัวเลขได้ ไม่ว่าจะเป็นรูปตึก หรือ รูปคน อันนี้ผมถือว่าสวยและฉลาดเป็นการต่อยอดได้ดีและพัฒนาได้ดีกว่าหลายๆค่ายเลยนะ รวมถึง Widget ก็สามารถเลือกได้เยอะมากๆปรับแต่งได้อิสระมากๆ ซึ่งเป็นการปรับเปลี่ยนได้อิสระจากที่แต่ก่อนค่ายนี้จะเน้นเรียบง่าย แต่หลายๆอย่างก็พัฒนาเปลี่ยนไปเยอะขึ้นเช่นกันครับ
SCREEN
ทางด้านหน้าจอนั้นมาพร้อมกับการพัฒนาทั้งเรื่องของการออกแบบ และ การพัฒนาเรื่องของคุณภาพมาพร้อมกับ หน้าจอ OLED Super Retina XDR ขนาด 6.7 นิ้ว ความสว่างสูงสุด 1200 nits, HDR,True Tone, เคลือบ Ceramic Shield ซึ่งเมื่อมองดูสเปก ขนาดหน้าจอ ความคมชัดไม่ได้หนีกันมากนัก แต่เรื่องของความสว่างอันนี้ทำได้ดีกว่าเดิม จอสามารถสู้แสงได้ดี อาจจะเป็นจุดที่มองเห็นและส่งผลได้ชัดเจนที่สุดเลยก็ว่าได้ถ้าเทียบกับรุ่นก่อนหน้านอกเหนือกับการเปลี่ยนงานออกแบบ ทำให้ใครที่ใช้งานถ่ายรูปภายนอก ใช้งานกลางแจ้งต่างๆสามารถสู้แสงได้ดีกว่าเดิมแบบชัดเจนครับ ส่วนทางด้านงานออกแบบแน่นอนว่าแอบมีส่งผลต่อการใช้งานในหลายๆส่วนด้วยเช่นกัน
การที่ใช้งานหน้าจอแบบติ่งเมื่อเทียบกับหน้าจอรุ่นใหม่อย่าง DYNAMIC ISLAND เมื่อใช้งานทั่วไปอาจจะไม่เห็นผลเท่าไรนัก แต่ถ้าเราใช้งานดูหนังในบางสัดส่วนเราจะเจอว่าหน้าจอแบบใหม่ถ้าดูในขนาดที่เท่ากันมันจะกินพื้นที่มากกว่าชัดเจน หรือเรียกได้ว่าเกะกะมากกว่าเดิมเมื่อดูหนัง อาจจะด้วยตัวหน้าจอเจาะรูที่ตำแหน่งกินพื้นที่ลงมาต่ำกว่าเดิมทำให้เมื่อดูหนังเทียบกับรุ่น 13 PRO MAX ทำให้มันจะมีติ่งหน้าจอเกะกะเข้ามาทันทีซึ่งเป็นข้อเสียหลักๆที่แม้จะปรับ SOFTWARE มาใหม่ก็ไม่น่าจะหลีกเลี่ยงในส่วนนี้ได้แน่นอนครับ และถ้าขยายหน้าจอให้เต็มมันก็จะเป็นเกาะกลางหน้าจอแบบชื่อเลย ซึ่งก็ต้องยอมรับก่อนที่จะเลือกซื้อกันถ้าใครสายดูหนังมันอาจจะเกะกะมากกว่ารุ่นเดิมนะ
รวมถึงรอบนี้เป็นครั้งแรกของทาง iPhone ที่ใส่หน้าจอแบบ Always On Display เข้ามาให้ด้วยเช่นกันซึ่งการใช้งานหน้าจอใหม่ก็ทำให้รองรับฟีเจอร์นี้ด้วย แต่มันจะไม่ใช้ Always On แบบที่เราเจอกันใน Android ที่จะเป็นพื้นหลังดำ และ มีนาฬิกานิดหน่อย แต่ทาง Apple ทำแบบเต็มจอเหมือนกับจอติดตลอดเวลาจริงๆแต่ลดแสง ลดฟีเจอร์บางส่วนเอา เพราะทางค่ายพยายามทำให้ Always On นั้นสีสวยตรง ภาพคนสีผิวสวยสมจริง ไม่ดรอปกว่าเดิมนั้นเอง ทำให้มันจะเหมือนลืมปิดหน้าจอ ทั้งที่จริงๆแล้วคือฟีเจอร์ของมัน แต่บอกเลยว่ากินแบตเอาเรื่องมากๆเลยครับ
DYNAMIC ISLAND
การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เกาะกลางหน้าจอ Dynamic Island ตัวนี้บอกเลยว่าเป็นการพัฒนาจุดด้อยบนมือถือ ให้กลายเป็นฟีเจอร์ จุดเด่นได้ดีอย่างมากเลยทีเดียว ซึ่งการที่ใช้งานแบบนี้ APPLE เองได้เป็นหน้าจอเจาะรูแบบ ตัว i แนวนอน แต่มีการถมดำเข้ามา สานต่อระหว่างตัว จุด และ ขีด ทำให้เมื่อเปิดตัวกลายเป็นเม็ดยาแนวยาแนวนอน และ มีฟีเจอร์ใช้งานหลากหลายเยอะมาก แต่เมื่อใช้งานจริงจะเป็นยังไง และ ตัว Dynamic Island เนียนแค่ไหนกัน
แน่นอนว่า APPLE พยายามทำให้ตัวเกาะกลางหน้าจอไม่เป็นที่เกะกะ ทำให้มันกลายเป็นส่วนนึงของการแจ้งเตือนบ้าง กลายเป็นส่วนนึงของระบบบ้าง ซึ่งส่วนตัวมองว่ามันก็ช่วยได้นะในหลายๆครั้ง ฟีเจอร์ที่ออกแบบมาบอกเลยว่าคิดมาดี สามารถแตะเข้าไปสั่งงานได้ถือว่าสะดวกกว่าเดิมในหลายๆด้านเช่นกัน และแอนิเมชันเคลื่อนไหวของค่ายนี้ทำได้ดี
และก็มีหลายๆแอปที่เริ่มทำออกมาเล่นกับตัว Dynamic Island เช่นกันครับถือว่าโอเคเลยแหละ ตัวแอปของ Apple เองหลายๆการแจ้งเตือนคือ เราสามารถแตะข้างเพื่อเข้าไปสั่งงานได้ไม่ต้องเข้าแอปเช่นนับถอยหลัง เปลี่ยนเพลงต่างๆ ซึ่งจุดนี้รุ่นก่อนไม่สามารถทำได้นั้นเองถือว่าเป็นข้อที่พัฒนาได้ดี แต่มันอาจจะเกะกะกว่าเดิมแบบชัดเจน
แต่ทั้งนี้เมื่อเวลาเจอแสงแดดเราจะเห็นเลยว่าตัวหน้าจอจริงๆมันมีแค่ไหน มันเป็นส่วนสแกนใบหน้าตรงกลาง และ กล้องหน้าแยกออกจากกันครับ ซึ่งผมมองว่าจริงๆแบบตัว i วางนอนแบบนี้ก็สวยแล้วนะไม่ต้องถมดำอะไรใส่เข้ามาให้มันเป็นก้อนเดียวกัน แถมเวลาเจอแสงก็ไม่ได้หลอกตาแบบที่ทำออกมาด้วยซึ่งมันเป็นจุดนึงที่อาจจะดูแปลกๆเมื่อเจอแสงนั้นแหละ แต่ถ้าถามว่าส่งผลต่อการใช้งานไหมก็ไม่ได้มากขนาดนั้นครับ และพัฒนาตัวสแกนหน้าเล็กลงกว่าเดิมได้ดีมากๆจากรุ่นก่อนที่เป็นติ่งหน้าจอก้อนใหญ่ๆ แต่ครั้งนี้ลดลงมาเหลือเล็กมากๆซึ่งจุดเนี่ยแหละเปลี่ยนแปลงชัดเจน
CAMERA
แน่นนอว่าเรื่องกล้องหลังเปลี่ยนแปลงเยอะที่สุดในบรรดารุ่นก่อนหน้า และย้อนหลังไปหลายปีเพราะเรามักจะเห็นกล้อง 12MP มาตลอด และครั้งนี้เลนส์หลักเปลี่ยนเป็น 48MP แล้วนั้นเองซึ่งถือว่าเป็นเรื่องดีมากๆเพราะไฟล์ใหญ่สามารถทำอะไรได้เยอะในการตกแต่งต่างๆสำหรับสายช่างภาพ แต่ในการถ่ายทั่วไปมันกลับไม่ได้หนีจากรุ่นเดิมเท่าไรนักในช่วงแรก อาจจะด้วย Software ตัวใหม่ และ เซนเซอร์ใหม่ยังไม่ค่อยลงตัวเท่าไรนั้นเองเมื่อเทียบกับ 13 PRO MAX ทำให้หลายๆคนกลับชอบรุ่นเดิมมากกว่า แต่ทั้งนี้เราจะมาเทียบ และ ลองดูกันครับว่าชอบแบบไหน แน่นอนว่าทางด้านสเปกนั้นมาพร้อมกับ กล้องหลักความละเอียด 48MP ระยะ 24 มม. พร้อมรูรับแสงที่แคบกว่าเดิมในขนาด ƒ/1.78 จากรุ่นก่อนหน้าที่ 1.5 นั้นเอง และ กล้องอัลตร้าไวด์ความละเอียด 12MP ระยะ 13 มม. พร้อมรูรับแสงขนาด ƒ/2.2 และมุมมองภาพ 120° ปรับเปลี่ยนจากรุ่นเดิม รูรับแสงแคบขึ้น และ ตัวนี้มีการครอปจาก 48MP เป็น กล้องเทเลโฟโต้ 2 เท่าความละเอียด 12MP ในระยะ 48 มม. และ ตัวเลนส์กล้องเทเลโฟโต้ 3 เท่าความละเอียด 12MP: 77 มม., รูรับแสงขนาด ƒ/2.8 ตัวเดิม และซูมดิจิทัลได้สูงสุด 15 เท่า และมี OIS ทั้งเลนส์หลัก และ เทเล
13 PRO MAX VS 14 PRO MAX
LIGHTROOM RAW EDIT
และแน่นอนว่าการที่ปรับ 48MP ทำให้จุดเด่นนึงคือตัวไฟล์ RAW ที่ขนาดใหญ่ขึ้น 48MP ที่รองรับมิติที่ดีขึ้น และ ขนาดไฟล์ที่ใหญ่ขึ้นเท่าที่ลอง ขนาดไฟล์ประมาณ 65-80MB เลยทีเดียวถือว่าใหญ่กว่าเดิมเยอะเลยทีเดียวครับ ซึ่งการที่ขนาดไฟล์ใหญ่ขึ้นทำให้เราได้อิสระในการดึงสีที่มีระยะกว้างขึ้นแต่งได้มากกว่าเดิม แต่ทางด้านเลนส์เทเลไม่ได้ต่างกับเดิมเท่าไรครับ หลังจากที่ทดลองถือว่าดึงท้องฟ้า แสง ย้อนแสงได้โหดเอาเรื่องเลยนะ และไฟล์เดิมๆจะค่อนข้างมืดครับถ้าเอามาแต่งในตัวเลนส์หลัก แต่ถ้าเลนส์ระยะอื่นๆยังไม่ได้มืดมากนัก ซึ่งอาจจะเป็นการเซ็ทค่าสำหรับตัวเซนเซอร์ใหม่ที่อาจจะมีปรับให้รองรับได้ในอนาคต หรือ ดูง่ายขึ้น แต่การดึงไฟล์มาแต่งนั้นถือว่าทำได้โหดขึ้นชัดเจน
IPHONE 14 PRO MAX
” ไม่แตกต่างกับ 13 PRO MAX แต่ถ้าคนมาจากรุ่นเก่ากว่านี้ ถือว่าน่าสนใจที่จะเปลี่ยน ! “
ภาพรวมส่วนตัวมองว่า 14 PRO MAX ถ้าย้ายมจาก 13 PRO MAX ไม่คุ้ม และ ไม่ประทับใจเท่าไรนักในการเปลี่ยนครั้งนี้ แต่ถ้ามองว่ามาจากรุ่น 11-12 หรือเก่ามากๆมันคือการพัฒนาที่ดีมากๆเช่นกันครับ ซึ่งแน่นอนว่ามันมีหลายๆส่วนที่ดีกว่า 13 นะ ทั้งหน้าจอสู้แสงดี ไฟล์แต่งได้อิสระมากขึ้น กล้องหน้ามี AF ดีไซน์หน้าจอเปลี่ยนใหม่ แต่ทั้งนี้มันกลับไม่ได้ทำให้คนที่ถือ 13 อยู่ว้าวมากอะไรขนาดนั้น เผลอๆบางทีติ่งหน้าจอก็เกะกะกว่าเดิมด้วยเช่นกันครับ ซึ่งอาจจะต้องถามตัวเองว่า เน้นอะไรหรือใช้งานอะไร ส่วนตัวผมใช้ถ่ายงานการที่ได้หน้าจอสู้แสงดีขึ้น ก็ถือว่าทำเป็นจุดที่จะลงทุนได้แล้ว หรือ ไฟล์ภาพที่ดีขึ้นแต่งง่ายขึ้น เอามาถ่ายงานได้ดีขึ้น แต่ถ้าคนที่ใช้งานทั่วไปอาจจะไม่ได้ว้าวมากและมองว่ารุ่น 13 กลับทำได้ดีกว่านั้นเองจึงเป็นรุ่นที่น่าจะทำได้ว้าวดีขึ้นกว่านี้ในหลายๆส่วนเหมือนเดิมไปหน่อย
ข้อดี
- สีดำ Space Black สวยขึ้น เท่ขึ้น ดำเข้มขึ้น
- หน้าจอขนาดเดิม แต่สว่างขึ้นเยอะ สวยขึ้น
- ควบคุมความร้อนกลางแจ้งได้ดีกว่าเดิม
- ลำโพงเสียงดี ดัง มิติเสียงดี
- กล้องหน้าพัฒนาขึ้นหลายเท่า มี AF เข้ามาให้
- ดีเทลภาพในกล้องหลังดีขึ้น มิติภาพดีขึ้น เอามาแต่งได้ดีขึ้น
- ไฟแฟลชควบคุมความสว่างได้ดี แสงไม่หลอกตา
- งานวิดีโอดีที่สุดในบรรดามือถือทั้งหมดเช่นเดิม
- กันสั่นทำได้ดีใน Action Mode ดีกว่าหลายๆค่าย
- ความลื่นไหลของระบบ และ หน้าตา UI UX ทำได้ดี
ข้อสังเกต
- แบตไม่ได้อึดขึ้นกว่าเดิมเมื่อเทียบกับ 13 Pro Max
- งานออกแบบเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
- Dynamic lsland เกะกะกว่าเดิมในบางจังหวะ
- ยังคงใช้ Lightning ที่ความเร็วเทียบเท่า USB 2.0
- ชาร์จไวแบบสายยังได้แค่ 30W
- กล้องหลังดูภาพรวมยังไม่ได้หนีจากเดิมเท่าไร
สำหรับรีวิวนี้พวกเราก็ต้องขอตัวลาไปก่อนสำหรับรุ่นอื่นๆก็ติดตามกันได้เลย ถูกใจฝากกดไลค์กดแชร์ด้วยนะคะ มีข้อผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ เพื่อนๆสนใจอยากให้พวกเรารีวิวรุ่นไหนสามารถ Inbox มาบอกเราได้เลยนะ
ฝากไลค์เพจ FACEBOOK เราด้วยนะคะ >>>>>>>>> TECHHANGOUT
เข้าร่วมกลุ่ม TECHHANGOUT พูดคุยแลกเปลี่ยน ข้อมูล คุยกันเองชิลๆได้เลยที่ — Facebook Techhangout พูดคุย Smartphone gadget