จริงๆเป็นรีวิวที่ตั้งใจจะเขียนกันไปซักพักแล้วครับ แต่หลังจากเจอปัญหาที่สีรอบๆเครื่องมีลอกไปก็เลยหาทางเคลมกันอยู่สุดท้ายทำอะไรไม่ได้ครับเลย เอามาใช้งานกันต่อดีกว่า และ ไหนๆแล้วก็มาเชิงเล่าประสบการณ์หลังการใช้งานมา 2 เดือนกันครับว่า เอามาทำงาน ใช้งานจริงๆเนี่ยมันมีปัญหาอะไรไหม หลังจาก 2-3 อาทิตย์แรกที่ซื้อจองวันแรกที่เปิดตัวในไทยก็มีการสีลอกเป็นจุดๆ และ นอกเหนือจากนั้นมันจะมีอะไรเพิ่มเติมหรือใช้งานจริงเจอปัญหาอะไรบ้าง เดี๋ยวมาเล่าประสบการณ์การใช้งานกันครับ ตัวเครื่องที่เราซื้อมานั้นจะเป็น iPhone 15 Pro Max สีน้ำเงิน Titanium Blue พร้อมกับขนาดความจุ 512GB นั้นเองครับ ซึ่งในการใช้งานเราจะใช้กับเคส Casetify นั้นเอง
iPhone 15 Pro Max มาพร้อมกับสเปกเด่นๆคือการปรับมาใช้งานวัสดุ Titanium Grade 5 เป็นครั้งแรกของค่าย และ มาพร้อมกับหน้าจอขนาด 6.7 นิ้ว Super Retina XDR (OLED) แบบ Dynamic Island 2796 x 1290 พิกเซล รองรับการแสดงผล HDR10+ Dolby Vision True-Tone และ Wide Color Gamut ความสว่าง 2,000 nits ใช้งาน ชิปเซ็ต Apple A17 Pro พร้อม RAM 8GB LPDDR5X และ STORAGE 512GB รวมถึงใช้งาน ลำโพง Stereo ทั้งด้านบนและล่าง และ กล้องหลักในรุ่น PRO MAX จะได้เทเลที่ดีกว่าเดิม มาพร้อมกับ กล้องหลักความละเอียด 48 ล้านพิกเซล F/1.6 sensor-shift OIS + ProRAW 4K 60FPS และ กล้องมุมกว้าง ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล มุมมอง120 องศา และจุดเด่นคือเป็นครั้งแรกที่ใช้งานกล้อง Telephoto 5x แบบ Periscope Zoom ซึ่งรุ่น 15 PRO ไม่มีนั้นเอง ส่วนทางด้านกล้องหน้า ให้ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล พร้อมระบบ Auto Focus และ ตัวแบต 4441 mAh รองรับกำลังชาร์จไฟ (20W) รองรับทั้ง ชาร์จไร้สาย (15W) แบบ MagSafe รวมถึง ดีไซน์อะไรทั้งหลายยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนครับ แต่จะได้ปุ่ม ACTION มาแทนปุ่ม Silent Switch ซึ่งถือว่าเป็นการเปลี่ยนหลักๆของรุ่นนี้คัรบ มันสามารถตั้งค่าได้หลากหลายแบบมากกว่าเดิม
DESIGN
งานออกแบบเป็นจุดที่น่าผิดหวังมากๆ หรือเราอาจจะคาดหวังมากไปครับเพราะถ้ามองผ่านๆหรือให้คนอื่นทั่วไปดูแทบจะไม่รู้สึกเลยว่ามันคือรุ่นใหม่ การวางกล้อง ดีไซน์สัดส่วนทุกอย่างเหมือนเดิมไปหมด ปรับเล็กๆน้อยๆตรงเลนส์กล้องเท่านั้น และ ขอบเครื่อง ฟีลลิ่งของผมในการเปลี่ยนมาจาก 14 แทบไม่รู้สึกอะไรใหม่ ส่วนน้ำหนักเบาขึ้นจากการใช้งานวัสดุไทเทเนียมนั้นเองเล็กน้อยครับ ส่วนความแน่นของตัวบอดี้ งานประกอบค่ายนี้ยังคงทำได้ดีไว้ใจได้เลยนะ
ด้านหน้ายังคงเป็นหน้าจอแบบ Dynamic Island เช่นเดิมงานออกแบบไม่ได้เปลี่ยนอะไรแต่ขอบหน้าจอบางขึ้นนิดหน่อยครับ ลำโพงซ่อนอยู่ขอบบน และ กล้องหน้า กับ สแกนใบหน้าซ่อนอยู่ในแถบสีดำที่เริ่มมีประโยชน์มากกว่าเดิม
ส่วนขอบด้านล้างข้อดีของค่ายนี้คือออกแบบได้สมมาตรเหมือนกันรอบๆเครื่องทำให้ดูสวยและลงตัวถือว่างานดี และ UI ที่ออกแบบโค้งสัดส่วนแบบเดียวกันทำให้เวลาใช้งานมันดูเข้ากันไปหมด และด้านข้างเราจะเห็นปุ่มนึงที่เปลี่ยนแปลงไปครับ จากปุ่ม Silent เปลี่ยนเป็น Action แล้วซึ่งก็ได้ใช้งานมากขึ้น และเราจะเห็นว่าวัสดุแบบไทเทเนียมเนี่ย เวลาใช้งานมันจะรักษายากพอสมควรทั้ง รอยด่างต่างๆหรือคราวนิ้วมือแม้จะเช็ดก็ยังมีจางๆอยู่บ้างครับ
รวมถึงการวางตำแหน่งกล้องหลังเองเหมือนเดิมมากๆ แต่บริเวณรอบๆเลนส์กล้องเนี่ยแหละที่เปลี่ยนแปลงไปครับ เพราะว่าตัวนี้มาพร้อมกับการออกแบบใหม่ขอบหนาขึ้น และรักษาได้ง่ายขึ้นจากที่รุ่นก่อนๆเจอฝุ่นสะสมได้เยอะคตรับ ส่วนวัสดุเหมือนเดิมทั้งหมด รอบๆกระจกเป็นเงา และ บอดี้เป็นแบบสีด้านนั้นเองครับ แต่สีน้ำเงินปีนี้ก็ถือว่าสวยอยู่นะ
เมื่อเทียบกับ 14 Pro Max สีดำครับเราจะเห็นว่าเหมือนกำลังเล่นเกมจับผิดอยู่เลยนั้นเองจะเห็นความแตกต่างกันได้แค่บริเวณเลนส์กล้องเท่านั้น และต้องมองดีๆครับว่ารอบเลนส์รอบๆมีความหนามากกว่าเดิมแค่นั้นเลย การจัดวางเหมือนกันมากๆ แต่ทั้งนี้แม้จะเปลี่ยนน้อยแบบนี้แต่ก็ไม่สามารถใส่เคสร่วมกันได้นะครับทั้ง 2 รุ่นนี้มิติหลายๆส่วนต่างกัน ทำให้ใช้เคสร่วมกันไม่ได้ทั้งความหนา กว้างนิดหน่อยเท่านั้น และ เลนส์ก็มีขยับเล็กๆน้อยๆจากรุ่น 14 Pro Max
SCREEN
หน้าจอไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงขนาดหรือสเปกอะไรจากเดิมนักครับ มาพร้อมกับ ขนาด 6.7 นิ้ว Super Retina XDR (OLED) แบบ Dynamic Island 2796 x 1290 พิกเซล รองรับการแสดงผล HDR10+ Dolby Vision True-Tone และ Wide Color Gamut ความสว่าง 2,000 nits ซึ่งถ้ามองว่าเป็นหน้าจอที่ดีตัวนึงก็ว่าได้ครับผมว่าเป็นจุดที่ยังคงทำได้ดีทั้งความลื่นไหล และ สู้แสงตัวนี้สามารถทำได้สบาย แต่มันก็มักจะเจอปัญหาถ้าเราใช้งานกลางแจ้งบ่อยๆ แสงหน้าจอจะเริ่มดรอปเพราะว่าความร้อนสูงครับ ทำให้หลายๆครั้งเวลาใช้งานมันเลยไม่สว่างเต็มที่ที่มันทำได้ โดนลดแสงเพราะเครื่องร้อนสูงนั้นเองเป็นจุดที่ยังคงเจอทั้งรุ่นก่อนหน้า และ รุ่นล่าสุดแบบนี้ถือว่าน่าเสียดานครับ อีกทั้ง การตอบสนองต่อการสัมผัส ความไวต่างๆนั้น UI UX ตอบสนองได้ดีทั้งหมด ติดนิ้วและไม่มีปัญหา
และเมื่อมามองในตัว DYNAMIC ISLAND เองนั้นตอนแรกหลายๆคนอาจจะบ่นกันว่าไม่สวยเกะกะก็ตามแต่หลังๆมีการพัฒนาฟีเจอร์การใช้งานาร่วมกับหลายๆแอปมากขึ้น รวมถึงแอปไม่ว่าจะเป็นการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า ผลบอล หรือ อีกมากมาย เวลาอัพ Story IG ก็มีบอกสถานะด้วยว่าอัพเสร็จหรือยังพวกนี้มันเลยกลายเป็นประโยชน์มากกว่าเดิมและผมว่ามันเริ่มเข้าที่แล้ว ไม่ได้เกะกะแบบที่คิด และ สำหรับผมไม่ใช่สายเกมก็ถือว่ารับได้กับเจ้าเกาะกลางตัวนี้นะ
TITANIUM สีลอก
อันนี้ผมว่าน่าจะเป็นเครื่องแรกๆในไทยเพราะวันที่ลอกเป็นช่วง 2-3 อาทิตย์หลังจากซื้อมาครับ จริงๆอาจจะเกิดจากหลายๆสาเหตุ แต่ถ้าไม่สังเกตจริงๆอาจจะไม่เห็นนะเพราะมันน้อยมากๆ เป็นรอยลอกคล้ายๆกับฝุ่นกัด ทั้งที่ตัวเครื่อง และ เคสของเรามีการทำความสะอาดบ่อยมากๆ และ เคสก็ได้มาตรฐานผมเคยใช้งานกับ 14 PRO MAX ก็ไม่เคยมีปัญหานี้นะ แต่พอเจอวัสดุแบบไทเทเนียมที่เป็นการเคลือบสีแบบนี้รู้สึกเลยว่ามันไม่แข็งแรงเท่ากับรุ่นก่อนๆหน้านี้เท่าไรครับ และ เป็นจุดที่เคลมไม่ได้ทำอะไรไม่ได้เลยต้องทนใช้งานกันไป เพราะว่าถ้ามองไปอีกค่ายแบบ SS ที่ผมใช้เคยเจอปัญหาแบบนี้เหมือนกัน แต่ทางค่ายนั้นสามารถเคลมให้ได้สบายๆในประกันของเค้าครับ เป็นจุดนึงที่น่าเสียดายมากๆสำหรับค่ายนี้ที่ไม่สามารถเคลมได้ เพราะเกิดจากการทำสีรอบๆตัวเครื่องที่อาจจะไม่ได้ทนทานมากพอก็ตาม
และนอกเหนือจากสีที่ลอกไปนั้นแน่นอนว่าจุดนึงที่คนจะใช้งานวัสดุไทเทเนียมแบบเข้มๆต้องทราบคือ ไทเทเนียมจะเป็นวัสดุที่ เกิดรอยคราบนิ้วมือได้ง่าย และเมื่อเจออากาศเปลี่ยนแปลงไวๆบางทีก็จะเกิดคราบด่างๆแบบในภาพบริเวณปุ่มที่เราใช้งายบ่อยๆครับ แก้ไขโดยเช็ดหรือรอซักพักก็จะเริ่มจางไปนั้นเอง แต่มันก็ยังมีรอยบางๆอยู่เป็นปกติของวัสดุแบบนี้นั้นเองนะไม่ต้องกังวลไปครับ ซึ่งถ้าใครซื้อแบบสีสว่างๆปัญหาแบบนี้ก็จะเจอได้ยากกว่าสีเข้มนิดหน่อย
ACTION BUTTON ใช้งานจริง ?
ปุ่มที่ใช้งานน้อยมากๆในรุ่นก่อนหน้าคือ Silent Switch นั้นเอง ปุ่มที่เลื่อนขึ้นลงเพื่อปิดเสียง ผมใช้ 2 ครั้งคือตอนซื้อเครื่องมา และ ตอนเปิดเพื่อเช็ดเครื่องแค่นั้น และหลายๆคนน่าจะไม่ค่อยใช้งานกันทำให้ปีนี้ Apple เปลี่ยนเป็นปุ่ม Action Button สามารถตั้งค่าอิสระได้ทั้งหมดว่าจะทำงานเป็นหน้าที่อะไร เป็นกล้อง โหมดต่างๆ ตั้งเวลาหรือทำได้อีกมากมายครับ ซึ่งสามารถสั่งเปิดเปิด ตั้งค่าให้สแกนจ่ายในแอปมือถือ และ อีกมากมายผ่านคำสั่ง Shortcut นั้นเองซึ่งลองเล่นกันดูครับเป็นคำสั่งที่ปรับแต่งได้เยอะมากก สำหรับปุ่ม Action Button ตัวนี้เป็นการเปลี่ยนที่น่าสนใจ ใช้งานได้จริง และ ปรับแต่งได้อิสระอย่างมากสำหรับรอบนี้ หลายๆคนน่าจะลองปรับใช้งานกันดู
CAMERA 5X PORTRAIT คือดี
จุดเด่นที่หลายๆคนได้ลองและชอบคือ TELE 5X ครับ เพราะว่ารุ่น 15 Pro ไม่มีต้องเป็น 15 Pro Max เท่านั้นและเป็นครั้งแรกที่เปลี่ยนมาใช้งาน Periscope หรือ เลนส์แบบสะท้อนแสงคล้ายๆกับระบบที่หลายๆค่ายเริ่มเอามาใช้งานกันครับ ทำให้ได้ระยะซูมเยอะกว่าตัวเดิม และ ดีเทล รายละเอียดสวยงามกันมากกว่าเดิมนั้นเอง และ ยังเป็นการใส่ฟีเจอร์ถ่ายแบบ Portrait เข้ามาเป็นครั้งแรกในระยะแบบนี้ ซึ่งคู่แข่งหลายๆค่ายก็ไม่มีตัวไหนที่มีระยะแบบนี้และถ่ายคนละลายหลังได้ครับ ทำให้ระยะ ความสวยงามการละลายเลนส์หลัง เบลอหลัง และ มุมกล้องมันจะไปคล้ายกับกล้องใหญ่ได้ทันที ที่ใครหลายๆคนได้ลองก็ชอบกันครับ และเท่าที่ผมทดสอบมาหลายๆรอบ เลนส์ ระยะ เบลอมันทำได้ดี ว้าว สวยจริงๆ ใครที่ได้ทดสอบกันเองจะค่อนข้างติดใจกันมาก แต่กล้องเองก็มีจุดให้บ่นอยู่หลังจากที่ผมใช้งานคือ เลนส์มุมกว้าง กับ เลนส์หลัก มีการแตกต่างกันของ WB เยอะมากๆ ทั้งวีดีโอ ภาพนิ่ง ซื้อตัว 14 Pro Max นั้นไม่เจอปัญหานี้ครับ เป็นจุดที่ทำให้ยังไม่โอเคเท่าไรในการเอามาทำงานจริงๆ การทำสี White Balance ของ 14 Pro Max ยังคงทำได้ดีกว่าเยอะมากๆ น่าจะสามารถอัพเดทได้ครับเรื่องนี้ แต่ตอนนี้ก็ยังไม่มีการแก้ไขอะไรมาให้ครับ
PORTRAIT 5X
OVERALL PHOTO
HEAT เครื่องร้อน แอปค้าง
ปัญหานี้น่าจะเป็นจุดที่ผมใช้งานและเจอค่อนข้างบ่อย อย่างที่ทราบกันเครื่องนี้คือเครื่องหลักที่ผมเอามาทำงาน ถ่ายคลิป ตัดต่อ และ ลง TIKTOK ซึ่งใช้งานมันแบบเต็มที่แน่นอน ทำให้หลายๆครั้งเจออาการเครื่องร้อนได้ง่าย ทั้งการถ่ายภาพนิ่ง หรือ วีดีโอ จนเครื่องต้องเตือนให้พักการถ่าย หรือ จำกัดการใช้งานบางส่วน และ หน้าจอดรอปแสงอันนี้เจอเป็นประจำ ด้วยสภาพอากาศเมืองไทย และ การจัดการความร้อนแบบนี้ครับ เป็นปัญหาที่ทำงานค่อนข้างลำบาก หวังว่าการอัพเดทจะดีขึ้น แม้จะผ่านมา 2 เดือนแล้ว แต่ก็มีเจอปัญหานี้บ้างแต่ดีกว่าตอนแรกๆครับ ส่วนแอปค้างหนักๆจะเป็นช่วงก่อนอัพเดท แต่ตอนนี้ดีขึ้นยังไม่เจออาการเอ๋อมากนัก แต่ก็มีบางครั้งที่หน้าจอไม่ยอมเปลี่ยน หรือแตะไม่ไปบ้างเหมือนกันครับ ซึ่งปัญหาแบบนี้ แก้ไขไม่น่ายากเท่าไรนัก ต้องรอดูว่าจะมีแก้ไขทั้ง ความร้อนและค้างมาเมื่อไร แต่ตอนนี้ใช้งานได้ดีขึ้นกว่าช่วงอาทิตย์แรกๆเยอะครับ แต่ความร้อนขึ้นไวก็ยังคงเจออยู่หลายๆครั้งที่ถ่ายงาน
iPhone 15 Pro Max
” การพัฒนาที่น้อยนิดในแง่ของการออกแบบ แต่การใช้งานก็ถือว่าไม่แย่นะ ”
ถ้าถามมุมมองจากคนที่ใช้ 13-14 และ มา 15 Pro Max ถ้าถามสายถ่ายภาพแบบผม ควรเปลี่ยนแน่นอนระยะเลนส์มันดีขึ้น เล่นอะไรได้เยอะแต่บางครั้งก็แอบคิดถึงระยะ 3X เพราะไม่ต้องถอยไกลเท่าไร แต่ภาพรวมผมก็โอเคกับมันนะ ติดแค่ เลนส์ระยะต่างๆสียังเพี้ยน และ ต่อไมค์นอกแบบเดิมไม่ได้ ทำให้ผมทำงานไม่ได้เป็น 2 จุดหลักๆที่ยังไม่ค่อยโอเคกับมัน แต่เรื่องอื่นๆก็รับได้นะ และการเปลี่ยนมาเป็น USB-C ทำให้ใช้ชีวิตสะดวกขึ้นเยอะ แต่ถ้ามองกลับกันคนที่ไม่ใช่สายเทค ไม่ใช่สายถ่ายภาพ ผมยังไม่ค่อยเห็นประโยชน์จากการขยับมา 14-15 เท่าไร ถ้าชีวิตคุณสามารถใช้สาย LIGHTING กันได้แบบไม่ยุ่งยากกับการพกพาสาย มันก็ยังไม่ถึงเวลาต้องขยับอะไรทั้งนั้นเลยแม้แต่น้อย หน้าจอ กล้องหลัก หล้องหน้า หลายๆส่วนมันแทบจะไม่ได้รู้สึกเปลี่ยนครับ เพราะฉนั้นรอรุ่นต่อไปได้เลย แต่ถ้าใครอยากอัพเลย เงินเหลือ ก็ไม่มีปัญหา แต่จะไม่ค่อยว้าวเท่าไรถ้ามองกันตรงๆครับ ซึ่งก็แล้วแต่ชอบละกันว่า USB-C จำเป็นไหม สายถ่ายภาพไหม ถ้าใช่แน่นอนว่าเปลี่ยนได้เลยครับ แต่ถ้าไม่ผมว่ารอได้ไม่เสียหาย และ เซฟเงินได้อีก
ข้อดี
- หน้าจอสวย ลื่นไหลสู้แสงได้ดี และ คมชัดสีตรงในการทำงาน
- ลำโพงดัง มิติดี
- ระบบหน้าตา UI DYNAMIC ISLAND มีการพัฒนาขึ้น ใช้งานได้จริงมากขึ้น
- ความเร็ว แรง ทำได้ดีสุดในบรรดามือถือด้วยกัน ตัดต่องานได้สบาย
- งานวีดีโอยังคงเป็นอันดับ 1 ของการทำงานจริง ใช้งานจริง
- การซิงค์ข้อมูล ECOSYSTEM ของค่ายตัวเองโดดเด่น ลื่นไหล และ ไว
- ปุ่ม ACTION BUTTON พัฒนาปรับได้เยอะมาก
ข้อสังเกต
- ความร้อนสูงไว หน้าจอแสงดรอปง่าย
- ต่อไมค์นอก แบบใช้สายแปรง USB-C ยังไม่ได้ ต้องรออัพเดท
- แบตไม่ได้อึดกว่าเดิมมากนักถ้ามาจาก 14 Pro Max
- กล้องหลัง ไม่ได้หนีจากเดิม ไม่นับระยะ 5X
- แสงสียังเพี้ยน ระหว่างเลนส์มุมกว้าง และ ระยะปกติ
- แอปเอ๋อ ค้างอยู่บ้างในหลายๆครั้ง ใช้งานหนักๆ
- สีไทเทเนียมแบบเคลือบ ลอกง่าย และ ไม่ทน
- ไม่รู้สึกในการเปลี่ยนแปลงในการออกแบบ